วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

อหังการ NETFLIX กับอนิเมชั่น AKUMAJOU DRACULA สู่ซีซั่น 2 กับสัพเพเหระ และผู้สืบทอดตำนานพิฆาตมาร

ความจริงก็ดูเป็นเรื่องงงๆเล็กน้อย ที่ ปราสาทมารแดร็กคูล่า หรือ Akumajou Dracula ซีรี่ส์เกมชื่อดังของค่าย Konami ที่ในช่วงนี้กระแสเกมก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ในที่สุดก็ได้กลายมาเป็นอนิเมชั่นซีรี่ส์โดย Netflix และผลตอบรับก็ดีใช่ย่อย จนมีการประกาศสร้างซีซั่น 2 ตามมาแล้ว

นอกจากนั้นอาจเพราะประสบความสำเร็จกับคอนเซ็ปท์นี้ใช่น้อย Netflix ยังมีแผนประกาศสร้างอนิเมชั่นจากเกมอื่นตามมาอีกต่างหาก เกมๆนั้นคือ บัญญัตินักลอบสังหาร อย่าง Assassin's Creed (แม้จะมีหนัง Live-Action ที่แป๊กไปก่อนหน้านั้นก็ตาม - ซึ่ง..เราก็ยังไม่ได้เขียนถึงตามโพยฮะ) นั่นเอง

และนอกจาก ณ ตอนนี้ยอดสมาชิก Netflix ยังแซงยอดสมาชิกเคเบิ้ลทีวีในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกแล้ว  อหังการอย่าง Netflix ยังมีแผนจะปล่อยอะไรที่ชาวบ้านทั่วไปเขาไม่ทำกันอย่างการมีแผนสร้างภาพยนตร์ Interactive ที่ให้ผู้ชมเลือกได้ว่าเรื่องจะดำเนินไปทางไหน!? น่าจะคล้ายกับการ์ตูนเลือกทางเดิน(แลกได้จากผลิตภัณฑ์อะไรซักอย่างสมัยก่อน ใช่โฟร์โมสต์สมัยยังทำไอติมไหม?)สมัยก่อน นิยายเลือกทางอะไรแบบนั้น (ตรงนี้ใครยังนึกไม่ออก หรืออยากหามาเล่นใหม่ ขอแนะนำให้ไปหา การ์ตูนไทย ชมรมวารสารตำนานสถาบัน (ผู้เขียน เจ้าหนูข้าวจี่ ทำไมรีบจบบบ - ยังไม่ได้เขียนถึงทั้ง 2 เรื่อง แต่ไม่ต้องรอดอก ซื้อหามาอ่านเลย สนุก!) เป็นการ์ตูนแก๊ก4ช่อง(เป็นส่วนใหญ่ 92.385%)อ่านสนุกสนาน ขณะนี้ออกมา 3 เล่มแล้ว (รอเล่มต่อไปอยู่เน้อ) ท้ายทุกเล่มจะมีเซกชั่นสไตล์ที่ว่าให้เล่นฮะ ซื้อมาก็อย่าเพิ่งเปิดไปเล่น อ่านมาแต่ต้น เล่นเมื่อจบเล่มจะได้อรรถรสยิ่ง)  เอาเป็นว่าแม้ไม่รู้มันจะสนุกหรือไม่? (อย่างลองนึกถึงหนังแบบ Inception เลือกให้โทเทมหมุนตลอดกาลไปเล้ยย หรือ แบบ Titanic เลือกให้เรือไม่ชนภูเขาน้ำแข็ง เรือเล่นเข้าฝั่งทุกคนปลอดภัย จบ. เอ็งอยากดู แจ็ค กับ โรส หนีตามกันล่ะซิ!) เราก็รอดูกันไปก่อน

แถมในวงการวงวารภาพยนตร์ Netflix ก็พาภาพยนตร์ลงตังค์สร้างเองไปเดินประกวดในพรมแดงคานส์ (งานเดียวกับที่คุณชมพู่ไปฮะ อันนี้ไปในสายประกวด) อย่าง  Okja ของ ผกก.บองจุนโฮ (ผู้กำกับ Snowpiercer) และ The Meyerowitz Stories ของ ผกก.โนอา บอมบัค ซึ่งพอเข้าสายประกวดไปแล้วก็มีดราม่าใหญ่โตใช่ย่อย ค่าที่ Netflix ก็ไม่ได้ตั้งใจส่งหนังออกตังค์เองทั้งสองเรื่องนี้ลงจอฉายในโรงภาพยนตร์ แต่ได้รับเชิญเข้าสายประกวด ร้อนถึงกระทั่งผู้กำกับอย่าง เปโดร อัลมาโดวาร์ ออกมาประกาศกร้าวว่าจะไม่มอบปาล์มทองให้สองเรื่องนี้เด็ดขาดด จนมีการตั้งกฏของหนังเข้าประกวดที่คานส์ให้ชัดเจนเพิ่มขึ้นอีกในปีต่อไปเลยทีเดียว (ลองอ่านดูเป็นน้ำจิ้มได้ ที่นี่) ซึ่งขณะที่หลายคนมองอย่างกังขาจริงๆ หลายคนก็มองว่านี่เป็นช่องทางอีกหนึ่งที่เกิดขึ้นและผู้กำกับสามารถถ่ายทอดผลงานของตนออกมาได้ Okja ตอนนี้ก็มีโฆษณาให้เห็นในโซเชียลเต็มไปหมดแล้ว ใครเป็นสมาชิก Netflix อยู่แล้วก็ลองไปหาดูกันได้ฮะ (ส่วนผมไม่ใช่เน้อ แต่ก็อยากดู Okja มากก เหตุผล แค่ชอบ Snowpiercer มากก นี่ก็มากกว่าพอแล้วว)

โปสเตอร์หนัง Okja
เขียนเกี่ยวกับ Akumajou Dracula ...รูปแรกเป็น Okja
ไม่เกี่ยวอะไรกันเลยซะงั้น... 

แต่เนื่องจากในบทความนี้เราตั้งใจจะพูดถึงอนิเมของ Akumajou Dracula เป็นหลัก เรื่องอื่นก็เอาไว้เท่านี้แหละ ไว้ไปลองตามอ่านต่อกันเองนะฮะ (ยังจะกล้าพูดนะ...)


ว่าไปความจริงดูๆก็ออกจะแปลกๆเสียหน่อยที่ซีรี่ส์เกมสุดดังในญี่ปุ่น สุดท้ายจะกลายไปเป็นอนิเมชั่นด้วยฝีมือของทีมงานฝรั่งเสียนี่ ถึงแม้ว่าก่อนนี้จะมีเกมญี่ปุ่นที่กลายไปเป็นหนังฝรั่งอย่าง Bio Hazard (Resident Evil) ที่เพิ่งจบตำนานกันไป (นี่ก็ยังไม่ได้เขียนถึง...) หรือเก่ากว่านั้นอย่าง Street Fighter หรือ Mario Bros. แถม แว่วๆว่ามีคนอยากรีบู๊ทกันอีก (พักก่อนเฮอะ - -) หรืออนิเมชั่นสไปเดอร์แมนที่ฝรั่งจ้างญี่ปุ่นทำ หรือขบวนการห้าสีที่ฝรั่งซื้อไปทำใหม่จนโด่งดังพอตัวแถมนี่ก็เพิ่งมีการรีบู้ทกันไปหมาดๆ (นี่ก็ไปดูมาด้วยนะเออ...) หรือ หนังฝรั่งจากมังงะญี่ปุ่น หรือมังงะกลายไปเป็นหนังเกาหลีแล้วถูกซื้อไปทำหนังฝรั่ง (หรือการ์ตูนไทยกลายเป็นหนังไทยแล้วไปเป็นหนังฝรั่งก็มีนะ อย่างกล่าวถึงไปใน 13 เกมสยอง) อนิเมชั่นญี่ปุ่นที่สร้างจากมังงะ แล้วกลายไปเป็นหนังฝรั่งอีกที (นี่ก็.... พอเฮอะ) และยังมีเรื่องจ่อคิวในทำนองนี้อยู่อีกหลาย

แต่ว่าไปการที่เกมดังในญี่ปุ่นซึ่งก็ถือว่าเป็นจ้าวแห่งอนิเมชั่นโดยเฉพาะอนิเมชั่นที่นำเสนอภาพแบบ 2 มิติ กลายไปเป็นอนิเมชั่นโดยฝีมือของฝรั่งนั้น แถมยังดูจะประสบความสำเร็จใช่ย่อยนั้น(อันนี้ที่สงสัยก็คงว่ากันไม่ได้...) ออกจะเป็นเรื่องที่ทำให้แปลกใจได้อยู่เหมือนกัน

ในญี่ปุ่นโปสเตอร์ฉบับญี่ปุุ่นก็ลุคได้ใจแฟนเกมดีทีเดียว

ภาพโปสเตอร์อนิเมเวอชั่นญี่ปุ่น จาก www.megaxgame.com

เนื้อเรื่องของอนิเมชั่นสร้างมาจาก Akumajou Densetsu ซึ่งเป็นเกมภาค 3 บนเรื่อง Famicom (หรือ Castlevania III: Dracula's Curse บน NES) ซึ่งก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียวเพราะมีตัวละครหลากหลาย 

ซึ่งจริงๆเกมภาคนี้ก็ออกมาตั้งแต่ โน่น ค.ศ.1989 1990 โน่น จริงๆก็นึกไม่ค่อยออกว่าทำไมตระกูลนี้ถึงไม่กลายไปเป็นอย่างอื่นบ้าง? หรืออาจเพราะพระเอกตระกูลเบลมอนด์พี่แกใช้แส้ละมัง? ประมาณว่ามันทำยากอ่ะ จะใช้คนแสดง หรือจะวาดอนิมเชั่นก็เถอะ ...รึเปล่า ก็ไม่อาจทราบ เท่าที่มีความพยายามจะกลายไปเป็นภาพยนตร์ ก็ค้นเจอโปรเจกค์ของฝรั่งแฮะ ซึ่งป่านนี้ก็ยังไม่รู้จะได้สร้างไหม? 

ภาพปก Akumajou Dracula ภาคแรก เวอชั่น Disk System บน Famicom 


เออ หรือเพราะมีคนซื้อลิขสิทธ์ไปถือไว้? จะสร้างก็เลยยังสร้างไม่ได้?? แต่ก็นะ... ขนาดก๊อตซิลล่าตอนนี้ยังมี 2 ฝั่งฟากได้เลยหนิ? (สงสัยที่ขึ้นฝั่งคนละประเทศเป็นคนละตัว - ขอบอกอีกที โคตรชอบเลยครับ Shin Godzilla เนี่ย!)

จะยังไงก็ไม่ทราบ? แต่เท่าที่นึกได้ จำได้ และพยายามไปค้นให้เจอ ก็จำไม่ได้ และไม่เจอ ว่าเกมนี้เคยถูกสร้างเป็นอนิเมชั่นมาก่อนหรือไม่? ที่พอจะใกล้เคียงที่นึกออกก็มีแค่ฉากคัทซีนของ Akumajou Dracula X : Rondo of Blood บน PC-Engine CD (หรือ TurboGrafx-16 CD) เท่านั้นเอง? ซึ่งก็สวยงามดีเหมือนกัน ตอนนั้นก็สงสัยว่าทำไมไม่มีทำอนิเมชั่นเกมนี้มั้งน้า?

มานึกๆดูแม้ญี่ปุ่นจะมีเกมดังเยอะแยะมากมาย แต่ว่าไปก็นึกไม่ค่อยออกเหมือนกันว่ามีเกมดังๆกลายไปเป็นอนิเมชั่นซัก... อ่าว นึกได้แล้ว Pokemon นั่นไง งั้นข้ามไปเลย... (หรือ Final Fantasy ก็เคยกลายไปเป็นอหังการภาพยนตร์คอมพิวเตอร์กราฟฟิก (ซึ่งก็เรียกว่าอนิเมชั่นได้) อย่าง Spirit Within ที่น่าสนใจดี แม้ดูไม่ค่อยเกี่ยวอะไรกับเกมนัก และก็แป้กอีกต่างหาก ) หรืออย่าง Dragon Quest ก็เคยมาเป็นอนิเมชั่นคนละเรื่องราวกับเกมเลยเหมือนกัน (แต่ออกแบบคาแรคเตอร์โดยคนเดียวกัน คือ โทริยาม่า อากิระ - ไม่ใช่ภาค ได นะ) และเท่าที่จำได้ก็มีเวอชั่นอนิเมชั่นของ Final Fantasy ออกมาด้วย

Dragon Quest ทีวีอนิเมชั่น


Final Fantasy ออกเป็นภาคเฉพาะ OVA

มาหักมุมเอาว่าแม้จะสนข่าวนี้ แต่จริงๆก็ไม่ได้ตามดูเหมือนๆกับอนิเมชั่น JOJO นั่นล่ะ (อ่าว เอ็ง) แต่ดูๆไปก็น่าไปลองหามาดูเหมือนกัน เพราะซีซั่นแรกก็สั้นจึ๋งเดียว ดูไม่น่าต้องใช้เวลาตรากตรำอะไรมากนัก (กลับกันแควนๆน่าจะโคตรบ่นที่มันสั้นมากกว่านะ 55 ) ความจริงที่หาเรื่องเขียนข่าวนี้นอกจากสนใจเป็นการส่วนตัวแล้ว ก็เพราะ...ที่จริงเรากะจะตบกลับเข้าไปสู่เรื่องของเกมซะงั้นน่ะ

อย่างที่บอกครับว่า Akumajou Dracula (หรือ Castlevania) นั้นเคยเป็นหนึ่งในซีรี่ส์เกมดังของ Konami ในแดนสยามนั้นหลายคนเรียกว่า เกมแส้ เพราะพระเอกตระกูลเบลมอนด์นั้นใช้แส้เป็นอาวุธ ภาคแรกๆ แม้จะยังไม่รู้สึกโหดเท่า Makaimura (หรือ Ghosts 'n Goblins) ของ Capcom แต่ถ้าใครเล่นเกมแอ็คชั่นอย่าง Contra ของ Konami เอง หรือ Rockman (หรือ Megaman) ของ Capcom ที่ภาคแรกๆก็ยากสัสเหมือนกัน มาก่อน ก็อาจจะรู้สึกว่า โว้ยยย มันจะโดดเตี้ย อืดอาดไปไหน (Makaimura เร็วกว่าเยอะ...แต่ก็เดี้ยงเร็วด้วย... - - (ง่อยๆอย่างผม)ต้องค่อยๆเล่นอยู่ดีอ่ะ) อะไรแบบนี้ได้... กระนั้นจะเพราะความลงตัวอะไรบางอย่าง เราก็ยังเล่นต่อไป แม้จะเดินบันไดแล้วโดนหัวเมดูซ่าลอยชนตกบันไดไปไม่รู้กี่รอบ แถมเล่นก็ไม่ค่อยจะจบ อาจเพราะมันมีความลงตัวของแอ็คชั่นทั้งที่โดดเตี้ยและออกจะยืดยาด แถมยังมีดนตรีไพเราะติดหูยิ่ง ทำไปทำมาเราก็รู้สึกว่า เฮ้ย มันเป็นเกมเล่นเจ๋งที่เล่นสนุกดีดนตรีเพราะ เล่นๆไปทั้งที่ไม่ค่อยจบซะงั้นจนได้... ซึ่งหลายคนก็คงคิดแบบนี้ เกมสไตล์นี้มีมาหลายภาคหลายฮาร์ดแวร์ ตั้งแต่แบบ อาเขต (เกมตู้) แฟมิคอม เมก้าไดรพ์ ซูเปอร์แฟมิคอม พีซีเอนจิ้น(ซีดี) ชาร์ปคอมพิวเตอร์ เกมบอย ฯลฯ  

จนมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญอีกหนึ่งในซีรี่ส์ เมื่อองค์ประกอบของ Akumajou Dracula  ถูกดึงมารวมกับสไตล์เกมตำนานอีกหนึ่งของ Nintendo ที่พัฒนามาอย่างน่าตื่นตา Super Metroid และเพิ่มเอลีเมนต์ของ RPG เข้าไป เกมสไตล์กราฟฟิก 2 มิติ ที่พาหนึ่งในพรรคพวกตัวเอกจาก Akumajou Densetsu นาม Alucard ออกท่องปราสาทในภาคที่ชื่อ Akumajou Dracula X: Nocturne in the Moonlight หรือที่อาจจะคุ้นหูหลายคนกว่าในชื่อฝรั่งอย่าง Castlevania : Symphony of the Night ที่ออกวางตลาดในยุค PlayStation ที่เกมกราฟฟิก 3 มิติเริ่มเบ่งบาน (Final Fantasy ยังกลายไปเป็นภาคในตำนานอย่าง Final Fantasy VII) กลับกลายเป็นหนึ่งในตำนานบทสำคัญของเกมซีรี่ส์ Akumajou Dracula และหนึ่งในตำนานบทสำคัญของวงการเกม

ภาพปก Akumajou Dracula X: Nocturne in the Moonlight หรือ Castlevania : Symphony of the Night


หลายคนก็คงรู้จักเกมตระกูลนี้จากภาคนี้ และด้วยการประสบความสำเร็จของภาคนี้ เกมสไตล์ตะลุยปราสาทเปิดแผนที่เพิ่มความสามารถไปเรื่อยๆนี้ก็ถูกทำออกมาอย่างต่อเนื่องจำนวนหลายภาคในเครื่อง Gameboy Advance และ Nintendo DS ขณะเดียวกับที่มีความพยายามกลายร่างเกมตระกูลนี้อัพเดทไปเป็นเกมแอ็คชั่นตะลุยปราสาทในลุคกราฟฟิก 3 มิติ ทั้งใน Nintendo 64, PlayStation 2, PlayStation 3 XBox 360 แต่ก็ดูจะไม่ได้ประสบความสำเร็จระดับเปรี้ยงปร้าง แม้ภาพจะดูดีใช่ย่อย กระทั่งมีภาคนึงที่อยู่ในความดูแลของ ฮิเดโอะ โคจิม่า แห่ง Metal Gear (ตำนานวงการเกมที่ออกจาก Konami กันไปอย่างไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เฮียก็มีโปรเจคท์ใหม่แล้วดูล้ำๆมึนๆตามสไตล์ ไว้ว่ากัน...) ซึ่งก็เป็นภาคที่มีผลตอบรับสวยงามใช้ได้ มีกระทั่งภาค Fighting (ตามกระแส?) บน Wii ที่ก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่เหมือนกัน (คือ คำวิจารณ์นี่แบบ...)... - -

สไตล์ Fighting ภาค Judgment ที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่
และ Artwork ของ อ.ทาเคชิ โอบาตะ แห่ง Death Note และ Bakuman ก็ดูจะไม่อาจช่วยอะไรในเรื่องนี้ได้...
แม้ Symphony of the Night จะมีความยากของมันอยู่ แต่ด้วยลักษณะการเล่นความโหดหินของมันก็อาจไม่เทียบเท่าภาคแรกๆอันเป็นตำนานในหลายๆเครื่อง อย่างไรก็ตาม ความเท่ ความสนุก ความอะไรต่อมิอะไรของภาคนี้ก็ทำให้มันกลายไปเป็นเกมที่หลายคนชื่นชอบ รวมทั้งคนอย่างไอกระผมด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ล่าสุดเกมสไตล์นี้จะยังออกมาบน Nintendo 3DS และภายหลังก็ถูกพอร์ทไปลงคอนโซล ในซีรี่ส์ภาคต่อกลายๆของ Lords of Shadow ที่ภาคแรกเคยผ่านมือของ ฮิเดโอะ โคจิม่า กับภาค Mirror of Fate ซึ่งออกมาเมื่อราว 4 ปีก่อน ที่แม้กราฟฟิกจะเป็นไปเป็น 3D แต่ยังคงเล่นแบบ 2D และคงสไตล์ลุยปราสาทอยู่ คำวิจารณ์ก็ไม่เลว แต่ก็ไม่ได้มีผลตอบรับตูมตามอะไรนัก ออกจะเงียบไปซักหน่อย แต่ก็ยังอยากเล่นน่ะนะ เพราะถึงจะชอบเกมสไตล์เก่าของตระกูลนี้มาก แต่ก็ชอบตระกูลลุยปราสาทในรูปแบบของ Super Metroid ที่มีชื่อเรียกขานเกมลักษณะนี้ในเวลาต่อมาว่า Metroidvania มากๆด้วย (จะได้กล่าวถึงในเพลาต่อไป...เช่นเคย)

ปก Mirror of Fate


4ปีที่ผ่านไป ข่าวคราวของเกมในตระกูลก็ยังคงดูเงียบเหงา (ส่วนมีปาจิงโกะภาคใหม่ไหม เอาเป็นว่า ไม่ทราบแฮะครับว้อย...) Konami เองก็ใช่จะรุ่งเรืองพีคเหมือนในอดีตกับเกมคอนโซลหรือแฮนด์เฮลด์ แม้เขาจะบอกว่า Super Bomberman R บน Switch ขายดีซักหน่อย ยอดก็ใช่จะมากมาย คงต่างกับยุครุ่งเรื่องในอดีตมาก แถมเกมนี้ดั้งเดิมยุครุ่งเรื่องก็เป็นสมัยของ Hudson Soft ด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ดีแม้ข่าวจาก Konami จะเงียบ ก็คงเป็นเพราะในการปรับโครงสร้างอะไรต่ออะไร นักสร้างเกมในตำนานหลายคนก็ลี้จาก Konami ไม่ใช่แค่ ฮิเดโอะ โคจิม่า คนเดียวคนนั้นเสียเมื่อไหร่ และ อิการาชิ โคจิ (Igarashi Koji) หรือ IGA ที่แควนๆตะลุยปราสาทแดร็กคิวล่าหลายคนต้องเคยผ่านตา หรือรู้จักชื่อของเขามากันบ้างแหละ ก็ได้นำ Bloodstained: Ritual of the Night มารวบรวมทุนใน Kickstarter และได้ทุนถึงเป้าไปนานแล้ว (อ่าว) และแม้ชื่อจะไม่ได้แปะอะไรแดร็กคิวล่าๆเลย ใครๆก็รู้ว่านี่มันใช่ชัดๆ แถมยังมาพร้อมทีมงานเบื้องหลังเกมตระกูลแดร็กคิวล่า สตาฟฟ์จาก Capcom และที่น่าดีใจมากๆอีกท่าน คือ Yamane Michiru ก็จะตามมาประพันธ์ดนตรีประกอบให้ด้วยย และแม้จะเลื่อนโน่นนี่ให้สะดุ้งกันไปพอหอมปากคอเรื่อยๆ(เฮ้ย) แฟนๆ(โดยเฉพาะที่ระดมทุน - ซึ่งผมไม่ได้ร่วมกะเขาด้วย - อ่าว - -)ก็คงรอคอยด้วยใจหวังได้ ยังไงก็คงไม่แป๊กขนาดฮีโร่ตัวฟ้า Mighty No.9 แหละ(มัง)นะ ส่วนข้าพเจ้า แม้จะยังไม่รู้จะได้เล่นภาคนี้หรือไม่ (ขนาด Mirror of Fate ก็ยังไม่ได้เล่นเล้ย) แต่ก็จะขอลุ้นเกมที่จะออกมาด้วยคนต่อไป  จากวิดีโอตัวหลังๆที่ปล่อยเพิ่มมาเรื่อยๆ เกมก็ดูดีทีเดียว แม้กราฟฟิกอาจไม่ได้สวยเด๊ะเหมือนเกมทุนพันล้านค่ายยักษ์ก็ตาม แค่นี้ก็น่าชื่นใจใช่ย่อยแล้ว ตัวเอกหญิงก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใดเพราะภาคที่ชอบมากบน NDS ก็ตัวเอกหญิง (ว่าไปตอนดูวิดีโอก็นึกไปถึงภาคนั้นแหละ - แต่จริงๆว่าไปอีกที ก็ชอบทุกภาคนี่หว่า) ยาวแล้ว ก็พอก่อนเพียงเท่านี้ ดูวิดีโอกันไปพลางๆ (อาจไม่ล่าสุดด้วยเพราะเอาจริงๆก็ไม่ค่อยได้ตามแบบติดขอบสนามอะไร - - นี่เอ็งเป็นแควนๆแน่ใช่ไหมเนี่ย ก็แหม...)



ลองดูวิดีโออื่นๆ หรือที่เค้าคุยๆกันไปพลางดูได้ ที่นี่ ละกันฮะ

เอาเป็นว่า จนกว่าข่าวใหญ่(เล็กๆเดี๋ยวรับสัญญาณไม่ได้ - - ตกลงเอ็งแควนๆแน่นะ ความน่าเชื่อถือลดลงอีก 27.9562%)ต่อไปของ Bloodstained จะมา...

ขอพลังแห่งเลือดและแส้จงอยู่คู่กับคุณ...
(ได้ข่าวว่าหลังๆอาวุธเขาก็ไม่ค่อยใช้แส้แล้วไม่ใช่เรอะ มีให้เลือกเยอะแยะ... เอาน่ะ)


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเป็นเรื่องเป็นราวอีกหน่อยดูได้ ที่นี่ ละกัน



ว่าไป...ก็น่าแปะรูปอนิเม Castlevania ไว้ซักหน่อย...


ภาพจากอนิเม ซักหน่อย... ดูดีจนน่าลองไปหาดูจริงๆแหละ ว่าแล้วก็...


และก็น่าแปะโลโก้ Netflix ไว้ซักนิด...


โลโก้ Netflik ที่พาดพิงถึง



จบเนาะ...


จับฉ่ายชัดๆ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น