วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ก่อนออสการ์ 2020 (ที่มาไม่ทัน...) กับหนังจากสตูดิโอ N

*จริงๆอันนี้เขียนถึงหนังเข้าชิงออสการ์ ซึ่งเขียนๆทิ้งไว้กะจะแปะก่อนออสการ์ประกาศผล แต่ด้วยความไม่ตามข่าวอย่างรุนแรงแค่จำว่ามันประกาศผลต้นกุมภา แต่ดันไม่ดูว่าวันไหน ทีแรกกะจะปล่อยก่อนซักวันสองวัน แต่...เอาจริงๆพลาดรู้ตัวอีกที เอ้า ออสการ์ประกาศผลไปแล้วไอบ้า แต่จะทิ้งไปเลยก็เสียดาย (เสียเวลาเขียนซะยาว หลังไม่ได้เขียนมานาน… - - จริงๆเขียนๆเก็บๆไว้ประปราย แต่ไม่ค่อยเสร็จเป็นชิ้นอัน) แต่ตอนนั้นพอรู้ว่า อ่าว อ่าว อ่าว อ่าววว… แล้วก็ขี้เกียจเขียน พร้อมงานเข้ามาบ้าง ก็เลย… แต่ก็คิดว่า เอาน่ะๆ เขียนต่อให้เข้าที่ทางหน่อย แล้วแปะๆไปเหอะ ก็เลย… แบบนี้ล่ะนะครับ 


 ในที่สุดก็ใกล้จะถึงงานประกาศผลรางวัลออสการ์ประจำปี ของภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี 2019 (จริงๆที่ว่าจะเขียนนี่ กะจะขึ้นว่าในที่สุดออสการ์ก็ประกาศรายชื่อผู้เข้าชิง...แต่ตอนนี้...มันจะประกาศผลแล้ว) ว่าไปแล้วปีนี้ก็ใช่จะได้ดูหนังที่มีเอี่ยวเข้าชิงมากมายใกล้ครบทุกเรื่องเสียหน่อย แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้ดูหนังแบบเกือบครบจะได้อินมากขึ้นอีกหน่อยกับการประกาศรางวัล (ที่แต่ก่อนถึงกับหยุดมาดูที่เขาถ่ายทอด แต่ตอนนี้...ก็นะ...) ในปีหลังๆก็นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่หนังชิงออสการ์สาขาหลักๆ ไม่ว่าสายบันเทิงหรือสายดราม่า สายดูเพลิน ดูเอามันส์ได้ หรือดูยากหน่อย ส่วนใหญ่ก็ได้เข้ามาฉายบ้านเราแบบเกือบครบ บางปีก็ได้ลุ้นมากหน่อยเพราะดูมาเกือบครบ ชมได้ ด่าได้ สบายใจ (ถึงจะชมจะด่าอยู่ในกบาลตัวเองคนเดียวซะมากก็เหอะ…)


จริงๆก่อนใกล้ประกาศผู้เข้าชิงก็ไม่ค่อยจะอยู่ในอาการอยากลุ้นมาก เพราะได้ดูไปไม่เท่าไหร่ (อย่างเช่น เข้าชิงแหงๆอย่าง Once upon a Time In Hollywood หรือ Toy Story 4 (เอาจริงๆขนาดภาคต่ออนิเมชั่นชุดโปรดชุดนึงอย่าง How to train your Dragon ภาค 3 ป่านนี้ก็ยังไม่ได้ดู…))





จู่ๆขอหวนไปพูดถึงผลออสการ์ปีที่แล้วซะอย่างนั้น...
ปีก่อน จริงๆ Green Book ก็เป็นหนังโอเค ดูเพลิน ดูสนุก แต่ก็มีจังหวะต่อยดีๆอยู่ ชอบ 2 ดารานำ ได้เข้าชิงทั้งคู่ถือว่าเหมาะสม ไม่ได้เชียร์เรื่องนี้ (จริงๆได้ดูหลังประกาศรางวัลด้วยมัง?) แต่ได้ก็พอโอเค ขัดใจ Black Panther เข้าชิงนิดหน่อย (แต่เขาก็ทำตังค์ถล่มทลายจริงๆ ทำตังค์ในบ้านเกิดมากกว่า Infinity War ซะอีก คิดดู! คือไม่ได้แปลว่าอยากให้ Infinity War เข้าชิงไรแบบนี้แทนนะ หนังมันก็ดีโอเคแหละ แต่กระผมชอบ Infinity War มากกว่าแม้จะคิดว่าข้อเสียใหญ่คือ เอ็งทำมาแบบนี้คนไม่ได้ดู(หลายๆเรื่อง)มาก่อน มันจะดูรู้เรื่องรึฟะ? แต่มันกะจะอีพิคขนาดนี้ก็นะ...จะดูเอาอินมากหน่อยก็ต้องทำการบ้านมาเองอ่ะแหละ - - (ส่วนคนไม่ชอบแนวนี้ก็ไม่น่าเข้ามาดูอยู่แล้วมัง?)) ส่วน Bohemian Rhapsody อืม… จริงๆส่วนนึงต้องยกเครดิตให้ Rami Malek ระดับซิวออสการ์นำชาย แต่อันนี้เราว่าโอเค กะจังหวะหนังสนุกๆ ที่คนไม่ใช่แฟนเดนตายวง Queen อะไรอย่างผมคิดว่าหนังดูสนุกมาก เอเนอจี้ดี กะบวกคะแนนให้ Lucy Boynton ไป… (เฮ้ย! เออ เอาน่ะ) แต่ไงก็ไม่ได้อะไรมากเพราะคิดว่าตัวเองพลาดหนังที่สนใจไปหลายเรื่อง ที่อยากดูมากที่สุดแต่ไม่ได้ดู คือ The Favourite รองลงมาเป็น BlacKkKlansman 
(แต่ก็ไม่ได้เชียร์ Roma ด้วยน่ะนะฮะ แม้เราจะคิดว่ามันดีก็ตาม แต่ไม่ได้เชียร์ขนาดนั้น เอาจริงๆสาขาหนังต่างประเทศก็เชียร์เรื่องอื่นมากกว่า Roma - แต่ก็นั่นแหละ ไม่ได้ดูครบเสียหน่อย)



แอบเชียร์ Lady Gaga เล็กน้อย แต่ก็ดูไม่ครบเลยไม่ค่อยคิดอะไร ยังไงเจ๊กับ Bradley Cooper ก็ได้วาดลวดลาย ในหนังอุ่นๆอย่าง A Star is Born (พร้อมกับเฮีย Bradฯ โชว์กำกับด้วยอีก) ถือว่าดี 



เสียดาย The Ballad of Buster Scruggs ของพี่น้องโคเอนไม่ค่อยมีบทบาทมาก แต่สาขาที่เข้าชิงก็คิดว่าดีแล้ว ตอนได้ดูก็คิดว่าสเกลหนังมันอาจไม่ถึงระดับพิมพ์นิยมออสการ์ แต่มันเป็นหนังที่สนุกมากเลยนะ เราชอบมาก แก้คิดถึงพี่น้องโคเอนได้ดีเลย 





First Man ยังเป็นหนังเอเนอจี้พุ่งพล่านของ Damien Chazelle แม้ท่าทีจะคนละแบบกับสองเรื่องก่อนของเฮีย แต่ในแง่การเรียกความสนใจมันก็ไม่ได้อยู่ในทางแบบ Lala Land รึกระทั่ง Whiplash เราดูเองเราก็คิดว่าดี แต่เราก็ไม่ได้ติดใจมาก ประมาณว่าไม่ได้ชอบเป็นส่วนตัวขนาดนั้นแม้จะคิดว่ามันดี และไม่ได้เข้าชิงก็ไม่ได้แปลกใจอะไร 


แต่ดีใจที่ Mirai ได้เข้าชิงอนิเมชั่นยอดเยี่ยม จริงๆผู้เข้าชิงในสาขานี้เราชอบหมด (อาจจะมี Ralph2 ที่ง้องแง้งไปหน่อย แต่ฉากบรรดาเจ้าหญิงดิสนี่ย์รับน้องนี่ชอบมาก) ชอบมากๆชนิดไม่แน่ใจว่าถ้าตรูเป็นกรรมการตรูควรให้เรื่องไหนดี The Incridibles 2 ก็โคดสนุก Isle of Dogs ก็โคดสไตล์ (แต่ถ้าต้องตัดกันในหนัง ผกก. จิงๆเราชอบความกวนตีนของคาแรกเตอร์ใน Fantastic Mr.Fox มากก่า) แต่เอาจริงๆ Spider-Man: Into the Spider-Verse นี่คือโคดเซอไพรส์ สนุกสัสๆ ดีที่หลงตามคำเชียร์ที่คนอื่นเขาบอกมา ไม่งั้นทีแรกจะชวดไม่ถ่อไปดูละ สาขานี้ก็ค่อนข้างตรงใจ แม้จะชอบทุกเรื่อง แต่เราไม่มีปัญหาแม้แต่นิดที่ Spider-Verse ได้  





เอาแค่นี้แหละ ที่เหลือ… จำไม่ค่อยได้ละ นานเกิน ดันไม่ได้เขียนตอนผ่านไปหมาดๆ… 


ไว้ค่อยหาเรื่องเขียนย้อนแบบเบลอๆเลือนลางๆแบบนี้อีก…
(ซึ่งหนังที่เข้าเงื่อนไขนี้น่าจะมีระดับร้อยเรื่อง…)


กลับมาเข้าเรื่องออสการ์ 2020 ดีก่า…


หนังเข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้ดูในโรงไป 4 เรื่อง คือ Joker, Once upon a Time in Hollywood, Parasite  และก็ Ford V Ferrari ที่เหลือคืออยากดูมากๆหมด โดยเฉพาะ Jojo Rabbit กับ Little Woman 





ส่วนสาขาภาพยนตร์อนิเมชั่นยอดเยี่ยม...ได้ดูในโรงแค่ Toy Story 4 ซึ่ง...ก็จัดว่าสมศักดิ์อนิเมชั่นภาคต่อที่ทีแรกภาคต่อเมื่อหลายปีก่อนก็ตกใจแล้วว่า เอาจิงดิ แต่เขาก็ทำมาดีจริง อันนี้ก็ตกใจกว่า แต่ช่วงนี้เหนื่อยเลยตกใจแบบเนือยๆหน่อย แต่ของเขาก็ยังดีจริงอีกให้ตายเถอะ ถึงจะไปดูแบบเหนื่อยๆ และเอาจริงๆก็ไม่ค่อยเซอไพรส์อะไรแล้วหลังตกใจได้ราว 3 นาทีตอนรู้ข่าวประกาศสร้าง แต่ Pixar ก็มั่นใจแหละว่ามีของ เลยกล้าสร้างภาคต่อของ 1 อนิเมชั่นในตำนาน และเป็นที่รักของหลายๆคน 


ส่วน Star Wars ก็… 
ไตรภาคล่าสุด ผมชอบ The Last Jedi ที่สุดครับ





อันนั้นไว้ว่ากัน
กลับมาเข้าเรื่องต่อ
 
ก็ได้ดูมาแค่นี้ ผลผู้เข้าชิงก็มีเซอไพรส์เล็กๆน้อยๆบ้าง
ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เอาจริงๆ คิดว่า Joker เป็นหนังเนี๊ยบทั้งการถ่ายทำและการแสดง ซึ่งเป็นพยายามสานต่อจักรวาลดีซี (พร้อมรีบู๊ท…? แต่ดูๆไปไม่รู้มันจะมาอยู่ในจักรวาลหลักรึเปล่า? เห็นได้ข่าวแว่บๆโจ๊กเกอร์ของ จาเรด เลโต้ (ที่ไปโผล่ใน Suicide Squad แว่บๆ แต่ดันเฮี้ยนนอกจอมากกว่าในจอ...) อยู่เลย? มั่วกันมึนละทีนี้) ที่น่าสนใจดี หนังก็ดี เฮียวาคิน นกไฟ แสดงดี สมควรได้เข้าชิง (และก็มีโอกาสได้สูงอยู่ ถ้าเฮียจะได้ก็โอเค) เป็นงานกำกับของ ท็อด ฟิลลิปส์ (แห่งไตรภาคก๊วนเมาทะลุโลก The Hangover) ที่น่าสนใจ หนังมีคอนฟลิกอะไรที่อิมแพ็คท์ใช้ได้ แต่ไม่รู้สึกว่าถึงกับอยากให้เข้าชิงแฮะ Ford V Ferrari 
 เป็นหนังเซอไพรส์ ทีแรกไม่คิดว่าจะได้ดู ถือว่าบังเอิญประมาณนึง แล้วก็ดูโดยไม่ค่อยรู้อะไร (ตอนนั้นยังไม่ประกาศชื่อผู้เข้าชิง) แต่ดูแล้วจัดว่าชอบมาก ทั้งดราม่า นักแสดง และฉากแข่ง นั่นนี่ ฯลฯ ถือว่าได้ดูถูกจังหวะ  Once upon a Time in Hollywood จะว่าเป็นหนังนอนมาเข้าชิงแน่ก็ได้กระมัง? เนื่องจากพะชื่อเฮีย ทารันติโน่ และได้คำวิจารณ์ดีระดับนี้ รวมๆถือว่าเป็นหนังที่มันส์มาก ดูสนุก ระทึก อะไรของมัน (แต่ก็เป็นทางของเฮียแหละ) เฮียนักแสดงนำคู่หูเล่นกันมันส์ดี แต่รู้สึกนิดหน่อยว่าเรื่องนี้จะ impact กว่าถ้ารู้เรื่องราวเบื้องหลัง คือรู้สึกว่ามันจะคนละอย่างกันเลยละหว่างรู้กับไม่รู้ แต่ก็ทำให้มันเป็นหนังไม่กี่เรื่องที่มีเงื่อนไขแบบนี้ด้วย โดยรวมก็ไม่ได้ผิดหวังและยินดีที่หนังเข้าชิง ส่วน Parasite นี่ ทีแรกก็ว่าจะไม่ไปดู แต่ได้ดูแล้วก็แบบ ถือว่าสมกับคำชมที่ได้รับ ผมอาจมีส่วนที่ส่วนตัวติดอยู่นิดๆ ทำให้มันยังไม่หลุดเข้าไปเป็นหนังในดวงใจประจำปีซะทีเดียว แต่เป็นหนังเรื่องนึงที่ดูจบแล้วอิมแพ็คท์สูงมาก และคิดว่ามันเป็นตัวเปรียบกับ Joker ด้วย ถ้าต้องตัดกัน (ซึ่งสำหรับเราตัดกันในแง่นี้ Parasite จะนำอยู่ประมาณนึง) ถึงจะคิดว่าทิศทางของ Joker จะน่าสนใจดี แต่เราก็ยังชอบ Parasite มากกว่าอยู่ดี  





อืม… จริงๆที่ผ่านมาก็อาจมีหนังกระแสดีบางเรื่องที่ก็หลุดเวทีไป ซึ่งถ้าดูจากจำนวนที่นั่งเข้าชิง จริงๆก็คิดว่ามันก็อาจมีหนังบางเรื่องเข้ามาแทรกได้ บางเรื่องก็ไม่แน่ใจว่าทำไมหลุดหว่า บางเรื่องก็อาจพอเข้าใจได้ว่าทำไมมันถึงหลุด 


อย่างเช่น Us ของ ผกก. ที่หนังเรื่องก่อน Get Out นี่ถือว่าปีนั้นมาแบบอีพิคมาก คำวิจารณ์โคดดี ทุนน้อย แต่ทำรายได้เยอะมากเทียบกับทุน ทั้งวิธีการและเรื่องราวก็น่าสนใจ ตอนนั้นก็ได้เข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย ซึ่งก็ดูเป็นการชิงแบบมีลุ้นเอาด้วย แต่ปีนั้นผมก็รู้สึกว่ามัน hype ไปนิด คือผมก็ไม่ได้เชียร์มาก แต่คิดว่าถ้าได้ก็โอเค แต่แม้ไม่ได้เชียร์อะไรก็ยอมรับว่าหนังเรื่อง Us ก็เป็นผลงานที่น่าสนใจมาก คือคิดว่าถ้า Get Out เข้าชิงหนังเยี่ยม Us ก็น่าจะเข้าชิงได้ด้วย แต่ก็เข้าใจว่าเทียบกัน ท่าทีของ Get Out มันอาจจะเข้าถึงได้ง่ายกว่า หรือหนังสยองคำวิจารณ์ดีอย่าง The Lighthouse ของ ผกก. The Witch ก็ไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไร ไปเข้าชิงถ่ายภาพ (นี่ก็อยากดู) 
(ส่วน Midsommer อันนี้ได้ดู ซึ่งก็… คิดว่าไม่น่าจะเข้าชิงอยู่ละ แต่เรื่องความเฮี้ยนนี่...) หนังสายคอเมดี้คำวิจารณ์ดีมากอย่าง Booksmart (นี่ก็อยากดู) ก็ไม่มีติดมาแต่อาจเพราะมันไม่ตรงแนวของภาพยนตร์ยอดเยี่ยมออสการ์ละมัง อย่าง Knives Out หนังรหัสคดีหนุกๆคำวิจารณ์โคดดีเหมือนกันของ ไรอัน จอห์นสัน ก็ชิงบท แต่ก็ท่าคงไม่ใช่ทางของสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หรือ Ad Astra หนังไซไฟคำวิจารณ์ดีอีกเรื่องของเฮีย แบรด พิท ในปีนี้ก็ชิงแค่สาขา Sound Mixing (ซึ่งอันนี้ว่าไปก็ไม่แปลกใจ เราชอบการนำเสนอฉากอนาคตที่มันวาดกับประเด็นรอบๆมากกว่าประเด็นหลักๆที่มันพูดถึง แต่ก็ถือว่าติดกลุ่มหนังชอบของปี)




Disney ก็ซื้อ Fox ไปแล้ว


หรือ แม้ Frozen II จะคำวิจารณ์ไม่ดีขนาดภาคแรก แต่ก็หลุดไปจากชาร์ตอนิเมชั่นยอดเยี่ยมเฉย (แต่ไงก็เป็นอีกเรื่องที่ได้ตังค์ถล่มไปละ แม้คงไม่มีเวอชั่น Sing Along มาเข้าโรงอีก เพลงมันอาจไม่มีเพลงเด่นติดหูบิ๊วด์โคดๆได้อย่าง Let it Go ด้วย แต่หนังอ่ะสนุกอยู่) ถือว่าเป็นไม่กี่ปีในช่วงหลังที่อนิเมชั่นจาก Disney ไม่ได้เข้าชิง (Toy Story 4 นับเป็นของ Pixar - ส่วนความเท่คือปี 1997 Disney เข้าชิง 2 เรื่องในสาขานี้ จาก Moana และ Zootopia และก็เป็นเรื่องหลังที่คว้ารางวัลไป)


แต่ที่เซอไพรส์จริงๆ คือ... 


ขอย้อนไปก่อนหน้านั้นซักไม่กี่ปี
เมื่อไม่กี่ปีก่อนเคยมีดราม่าหนังเข้าชิงรางวัลที่เวทีหนึ่งที่บรรดาขาใหญ่วงการภาพยนต์บางท่านออกมาต่อต้านเรื่องหนังที่ลงบริการสตรีมได้เข้าชิงรางวัลในเวทีเดียวกับภาพยนต์ฉายโรง เช่น สำหรับรางวัลออสการ์ หรือ Academy Awards สปีลเบิร์ก ก็ชี้ว่ามีเวทีเอ็มมี่สำหรับหนังและรายการที่ผลิตสำหรับฉายทีวีอยู่แล้วและน่าจะเหมาะกับหนังกลุ่มนี้มากกว่า แต่บางคนก็ออกมาสนับสนุนการเข้าชิงของหนังสตรีมมิ่งเต็มที่ หนังเรื่องนั้นคือ Okja ของ ผกก. บอง จุนโฮ (แห่ง Parasite ปีนี้น่ะแหละ) จาก Netflix ที่มีประเด็นเป็นข่าวในตอนไปชิงรางวัลในเวทีคานส์นั่นเอง





แน่นอนว่าภายหลังตกลงกันเรื่องกฎโน่นนี่นั่นได้แล้วหนัง Netflix ก็มีสิทธิ์เข้าชิงรางวัล ถ้าพิจารณาแล้วเป็นไปตามกฎ รวมไปถึงการเข้าชิงออสการ์ด้วย โดยของออสการ์เองมีกฎว่าหนังต้องลงโรงฉาย commercial ในลอสแอนเจอลิส เป็นเวลาอย่างน้อย 7 วัน โดยมีรอบฉายจ่ายตังค์ดูอย่างน้อย 3 รอบต่อวัน (คงหมายถึงว่าไม่ใช่จัดรอบโปรโมท หรือการกุศลดูฟรี) ซึ่งถ้าเป็นหนังที่ฉาบในรูปแบบอื่นด้วยขอแค่ฉายในวันเดียวกับที่ลงโรงหรือฉายหลังจากนั้นก็โอเค ซึ่งในปีล่าสุดกฏนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน เพราะงั้นจะเป็นหนังจากสตูดิโอไหน จะเป็นเจ้าที่ปกติเน้นทำหนังลงทีวีหรือ streaming หรือไม่ ถ้ามีการออกฉายตามกฎที่ว่าก็มีสิทธิ์ได้ชิงหมด และที่ผ่านมาหนังจาก Netflix ก็มีบทบาทอย่างน่าสนใจ เช่น ตัวเต็งปีก่อน Roma นั่นก็คือหนังจาก Netflix (ซึ่งเป็นหนังที่ย้อนแย้งเล็กน้อยว่า มันเป็นหนังที่ถ่ายมาแบบ… น่าจะดีมากถ้าได้ดูในจอใหญ่ ยกเว้นใครจะมีทีวี 1000 นิ้วติดไว้ที่บ้านหรืออะไรแบบนั้น…เน็ตก็คงต้องโคดแรง มัง...) ซึ่งสุดท้ายก็คว้าภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมไป 


ทีนี้กลับมาปีนี้ต่อ ประกาศชื่อผู้เข้าชิงทีแรกก็ไม่คิดอะไร ส่วนนึงเพราะไม่ค่อยได้ตามดูตามไรนัก แต่พอดูดีๆ...รายชื่อผู้เข้าชิง 2 จาก 9 เรื่องที่เข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม คือ หนังจาก Netflix อันประกอบด้วย The Irishman ของ มาร์ติน สกอเซซี่ Marriage Story ของ โนอาร์ บอมบาค แถมแต่ละเรื่องยังส่งดาราไปชิงรางวัลกันอีก (สการ์เล็ต โจแฮนสัน ก็ได้ชิง 1 ใน 2 รางวัลการแสดงจาก Marriage Story ด้วย เลิฟเบย) หนังอีกเรื่องนึงที่มีบทบาทแม้ไม่ได้เข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมคือ The Two Popes นอกจากได้คำวิจารณ์ดีแล้วก็ส่งสองนักแสดงหลักเข้าชิงนำชายและสมทบชายในเวทีออสการ์ได้อีกด้วย





แถมในสาขาอนิเมชั่นยอดเยี่ยมที่ Frozen II ชวดไป (อันนี้ขอบอกว่าดีใจมากที่ Missing Link เข้าชิง และก็อยากดูมาก T T แม้มันจะได้ตังค์น้อยจังในบ้านเกิด) พอดูๆไป แล้วไอที่ไม่รู้จักอีก 2 เรื่อง นี่อนิเมชั่นจากที่ไหนหว่า? ซึ่งสองชื่อในสาขานี้ก็คือหนัง Netflix จริงๆ Klaus นี่เห็นมาตั้งแต่ช่วงปลายปีละ ช่วงก่อนคริสตมาสละ แต่เอาตรงๆก็ไม่ได้กะเกณฑ์ว่ามันดีไม่ดีอย่างไร (คือก็รู้ว่ามีแต่ก็แบบ เอาน่ะเก็บไว้ก่อนด้วยซ้ำ - -) คิดว่าเอาไว้ดูทีหลังก็ได้ (ประมาณไว้ดูแถวๆคริสตมาสปีหน้าก็ได้) แต่พอเห็นชื่อเข้าชิงนี่ ก็กลับไปอยากดูเลย 55 ซึ่งความรู้สึกคือ นี่เป็นอนิเมชั่นสไตล์ 2 มิติซึ่ง Disney เคยเป็นเอกในเวทีนี้อยู่ช่วงก่อนนี้นานมานั่นแหละ (   
ขณะ I Lost my Body อนิเมชั่นที่โปสเตอร์แบบ นี่มันจะยังไงกันนะ? เอาจริงๆดูชื่อก็เถอะ ดูเป็นอนิเมชั่นพิลึกที่ไม่ค่อยเห็นเข้ามาชิงในเวทีนี้บ่อยนัก พอมารู้ทีหลังว่า เฮ้ย นี่ก็ Netflix ! ก็แบบ...นี่ตรูต้องไปหาเวลาดูอีกแล้วซินะ
แค่นี้ก็ดูเท่อย่างไรไม่ทราบ…





เท่านั้นไม่พอ ในสาขาสารคดี 2 จาก 5 เรื่องก็มาจาก  Netflix คือ American Factory กับ The Edge of Democracy ซึ่งดูเอาจากแค่ชื่อก็รู้สึกว่าเป็น subject ที่ดูใหญ่อยู่และเรียกความสนใจได้ทันที (หรือไม่บางคนก็จะไม่อยากดูไปเลย...)



ขณะที่สารคดีคำวิจารณ์ดีบางเรื่องก็หลุด อย่างเช่น Apollo11 สารคดีบันทึกตำนานเดินทางสู่อวกาศ หรือ They shall not Grow Old สารคดีทหารในสงครามโลกของ ปีเตอร์ แจ๊กสัน เป็นต้น





นอกนั้นจริงๆ ภาพยนตร์ที่เข้าชิงยังมีอีกหลายตัวอย่างที่หลุดโผ เช่น 2 หนังคำวิจารณ์ดีมากของ A24 อย่าง Uncut Gems (แต่เห็นมันขึ้นเป็น Netflix Film นะ) ที่คำวิจารณ์ดีมาก แต่ชวดทั้งสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และนำชาย ของ อดัม แซนเลอร์ ที่ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในบทการแสดงดราม่าที่ดีที่สุดของเจ้าตัว เอาจริงๆคือไม่ได้ชิงเลยสักสาขา และอีกเรื่องคือทั้งตัวหนัง ทีมนักแสดง และอาจรวมถึงผู้กำกับ จาก The Farewell (ก็อยากดูทั้งคู่นะ) หรือในสาขาการแสดงที่หลุดโผสมทบหญิงก็มีบทของ Jennifer Lopez จาก Hustlers ของ STXFilms ด้วย ซึ่งอันนี้เราว่าเจ๊แสดงดีจริง อย่างน้อยก็น่าจะได้เข้าชิง อืม...มันก็นะ





ซึ่งถ้าดูจากแค่ที่เขาเพิ่มเก้าอี้เข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในช่วงหลังเป็น 10 ที่ จริงๆหลังๆมาปีที่มีเข้าไปชิงครบ 10 เรื่องก็ไม่ค่อยจะมี ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไม เพราะก็มีหนังคำวิจารณ์ดีหลายเรื่องหลุดไปแบบงงๆ หรือไม่ก็หนังกลุ่มนี้ที่อยู่ในกลุ่มน่าจะได้เข้าชิง ตอนลงคะแนนมันอาจจะสูสีกันมากเกาะอยู่ช่วงลำดับท้ายๆใน 10 เรื่อง เขาก็เลยตัดออกไปหมดเลยก็เป็นได้?... อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน


อย่างไรก็ตามหลังจากมีประเด็นจาก Okja ตั้งแต่เวทีคานส์ Netflix ซึ่งก่อนหน้านั้นจริงๆ มี Virunga เข้าชิงสารคดีมาแล้วตั้งหลายปี (อ่าว - แต่เรื่องนี้บอกตรงๆว่าถ้าไม่ค้นก็ไม่รู้จักเลยนะ ไว้...จะ...เอ่อ ลองหาเวลาดู) เข้าชิงสารคดีอีกครั้งในปีต่อมา 2 ที่นั่งกับ What Happened, Miss Simone? และ Winter on Fire: Ukaine’s Fight for Freedom ปีต่อมายังได้เข้าชิงอีกจาก 13th ในสาขาสารคดี และ The White Helmets ในสาขาสารคดีสั้น (ดูเหมือนพอเป็นสาขาสารคดีเขาไม่ยักค่อยมีปัญหากันแฮะ มัน mainstream น้อยกว่าซินะ?)  มาได้เข้าชิงออสการ์จาก Mudbound ในสาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมจาก On Body and Soul (ฮังการี) พร้อมคว้ารางวัลไปในสารคดีจาก Icarus ยังแถมเข้าชิงในสาขานี้ (อีกแล้ว ดูๆไปช่วงแรกนี่ Netflix ก็พีคในสาขาสารคดีอยู่นะ) อีกหนึ่งเรื่อง คือ Strong Island มาถึงในออสการ์ปีก่อนที่ The Ballad of Buster Scruggs ของพี่น้องโคเอน ได้เข้าชิงในสาขารองๆ และ Roma มีบทบาทในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และอีกหลายสาขา ก่อนคว้าผู้กำกับ และภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมไป 



จนในปีนี้ Netflix มีหนังเข้าชิงออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม 2 เรื่อง และมีหนังอื่นๆชิงอีกในหลายสาขา ซึ่งก็น่าสนใจว่าที่หนังเหล่านี้จากผู้กำกับมากฝีมือ ทั้งโด่งดังและมีชื่อเสียงน้อยกว่า ที่มาลงที่ Netflix อาจเพราะหนังหลายเรื่องนั้นอาจมีเงื่อนไขที่ยากที่จะไปทำกับสตูดิโออื่นๆก็เป็นได้ อย่างเช่น The Irishman หนังมหากาพย์ของ ผกก. มาร์ติน สกอเซซี่ ความยาว 3 ชม.ครึ่ง ซึ่งถ้าทำกับสตูดิโออื่น ก็อาจต้องมาตกลงกันเรื่องของการตัดต่อฉบับสุดท้ายก็ได้ ความยาวระดับนี้ก็อาจส่งผลถึงรอบในการฉายโรง ซึ่งรอบต่อวันน่าจะน้อยลงเทียบกับหนังทั่วไปเพราะความยาวของหนัง (นี่ขนาด Silence หนังเรื่องก่อนของ ผกก. มาติน สกอเซซี่ ซัดไป 2ชม.ครึ่ง ทั้งที่อยากดูอยู่ตอนนั้นผมก็หาเวลาไปดูไม่ได้เหมือนกัน (หนังก็แอบรอบน้อยออกเร็วด้วย - -) ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ดูเลย ส่วนอันนี้นี่…เด๋วต่ออีกวงเล็บนึง ) แต่มองอีกแบบถ้ายอมโดนตัด มันก็อาจจะไม่ได้ออกมาในแบบที่ผู้กำกับต้องการอีก แต่พอมาลง Streaming แบบนี้ในด้านนึง แม้มันจะมีหนังที่อาจจะเทพมากถ้าได้ดูในหนังจอใหญ่ๆ แต่อีกด้านเรื่องเวลาก็เป็นปัญหาน้อยลงไปด้วย จะ pause แล้วลุกไปฉี่ตอนไหนก็ได้ หลับคาก็มาดูใหม่ได้ ดูหนังยาว 3 ชม. แบบแบ่งดูก่อนนอนวันละ 10 นาทีก็ยังได้ (แต่ผมทำไม่ได้นะ… ต่อจากวงเล็บก่อน คือ ทุกวันนี้ คือที่มาเขียนเติมให้จบอยู่นี่ ก็ยังไม่ได้ดู The Irishman เลย… ส่วนนึงก็เพราะ ถึงจะ streaming แต่ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากดูรอบเดียวจบ คือลุกไปฉี่ก็ pause ไว้อ่ะนะ แต่แบบไม่อยากแบ่งวันแบ่งตอนดู ก็เลย… หาเวลาเหมาะๆไม่ได้ซะที คือแค่ความยาวหนังนี่ก็จะครึ่งวันทำงานอยู่แล้วนะเฮ้ย! เนี่ย...มันก็เป็นซะอยางนี้…) หรือหนังอนิเมชั่นอย่าง Klaus หรือ I Lost my Body นี่ก็ดูมีข้อจำกัดอยู่เหมือนกันถ้าจะไปทำกับสตูดิโอทั่วๆไปอ่ะนะ? (คือ บางทีหลังๆก็รู้สึกว่าเทียบกัน อนิเมชั่นรูปสไตล์ 3D บางเรื่องดูก๋องๆก็ยังได้ทำออกมาอ่ะนะ) แต่ 2 เรื่องนี้ในที่สุดก็ได้ดูมาแล้ว ของเขาก็มีดีจริงๆ แต่ไม่เขียนไว้ตรงนี้ละ พอก่อน ใครสนใจไปลองหามาดูกันได้


I Lost my Body 


สรุปนี่เป็นบทความเชียร์ Netflix หรืออย่างไร? ก็ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เห็นความพยายามของ Netflix ซึ่งโคดจะพยายามปั๊ม content ของตัวเองออกมา เพื่อต่อสู้กับ streaming อีกหลายๆเจ้าที่เกิดขึ้นมา หรือกระทั่งรายใหญ่ๆที่หลังๆก็ออกแนวเห็นศักยภาพของ platform แบบนี้ อยากมี streaming ของตัวเองบ้าง Apple มั้ง หรือรายยักษ์ใหญ่อย่าง Disney มั้ง (Marvel Netflix ก็จบซีรี่ส์กันไปด้วย Disneyyyy เอ็งงงง) ตลาดก็ยิ่งแข่งขันกันรุนแรงขึ้นทุกที ซึ่ง Netflix ก็คงรู้ตัวอยู่บ้างแล้วแหละ เลยพยายามปั๊ม content ของตัวเองออกมาขนาดนี้ทั้งหนังทั้งซีรี่ส์ (คือเอาจริงๆดูแค่ content ของ Netflix เองก็ดูไม่ทันแล้วนะ) แล้วก็ยังมีที่ทางในเวทีรางวัลไปเคียงบ่าเคียงไหล่กับหนังจากสตูดิโออื่นๆ ก็แบบ เออ...ก็เท่ดีแฮะ และแม้ว่าความฝันโคดยูโทเปียแบบจ่ายเงินเดือนละหนึ่งทีดูหนังได้ทั้งโลก (จริงๆเอ็งก็ดูไม่มีทางทันหรอก…) มันจะดูไม่สามารถเป็นไปได้ และบางทีกลไกการแข่งขันในตลาดก็ยังคงทำงานอยู่เผื่อให้แต่ละเจ้าผลิต content คุณภาพมาดึงดูดผู้ชม แต่มันก็...นะ ในอีกทางพฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงไปรอบๆพร้อมๆนำๆตามๆเทคโนโลยีเหล่านี้จนสื่อก็คงค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆของใหม่เข้ามา ของเก่าหายไป แล้วเด๋วของใหม่ก็อาจจะค่อยๆหายไปอีก ของใหม่บางอย่างก็มาแล้วไม่เกิด ของเก่าก็อาจจะยังอยู่ บางอันก็กลายเป็นตลาดเฉพาะ ฯลฯ ขณะเดียวกันมันก็ยังกลายเป็นพื้นที่ที่มีให้ผู้กำกับปล่อยของได้เช่นกัน ซึ่งอย่างน้อยที่สุดมันก็เป็นพื้นที่ที่ส่งผลงานเหล่านี้ไปสู่สายตาผู้ชมในตลาดกันต่อไป...


เอาเป็นว่าระหว่างนี้ถึงจะไม่ได้ดู Jojo Rabbit กับ Little Women แต่ก็จะไปไล่ๆดูหนังเรื่องอื่นๆ รวมไปถึง The Irishman ด้วยนะ… 





แล้วไว้จะมากล่าวถึงตอนได้รู้ผลรางวัลแล้วอีกที ว่าตอนนั้นรู้สึกอะไรยังไงบ้าง 


กระมังนะ...



ก็แปะไว้
ไหนๆก็ไหน แปะสถิติเข้าชิงรางวัลออสการ์ (Academy Awards) ของ Netflix ไว้หน่อย ดูได้ที่ > นี่

จำนวนรางวัลเข้าชิงปีนี้ของ Netflix เทียบกับสตูดิโออื่นๆ ดูได้ที่ > นี่

อ่อ เออ และก็จริงๆแม้จะยากส์ แต่เคยแอบคิดหวังให้ One Cut of the Dead มาโผล่เวทีออกสการ์ซะหน่อย แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันควรจะลงตรงไหนดีแฮะ? (แต่มันก็มีสาขาน่าลงอยู่นา แม้ผมจะไม่หวังให้ไปลงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอยู่แล้วอ่ะนะ) เสียดายจุง... (จริงจังนะ)

One Cut of the Dead






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น