วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ภาพยนตร์ไทยฉายปี พ.ศ.2558 ที่ข้าพเจ้าชอบ 5 อันดับแรก

ว่าจะเขียนตั้งแต่ต้นปีก็ผลัดโน่นนี่ไปเรื่อย ขอเขียนไว้ก่อนจะลืมครับ

แล้วก็ขอเริ่มด้วยหนังที่ได้ดูและคิดว่าน่าสนใจ แต่ไม่เข้า 5 อันดับก่อนนะครับ 2 เรื่อง (เอาจริงๆ ปีนึงก็ใช่จะดูหนังไทยแทบครบทุกเรื่องอะไร ก็เลยลังเลจะเขียนมาแต่ต้นปี (เหรอ - มันนานไปไหมฟร่ะ?)) ส่วนเรื่องไหนดันตกไปเพราะหลงๆลืมๆไปบ้าง ก็...เอาไว้ว่ากันทีหลังละกัน


พันท้ายนรสิงห์ 

เป็นหนังพีเรียดอิงประวัติศาสตร์อีกเรื่องจากการกำกับของ หม่อมเจ้า ชาตรีเฉลิม ยุคล นะครับ ซึ่งทีแรกเรื่องนี้เกือบจะข้ามไปเพราะเห็นความยาวของหนังแล้วก็คิดว่าไม่ค่อยสะดวกไปดูแหงๆ แต่พอได้ยินคำบอกชื่นชมมาก็ เอาฟระ หาดูซักรอบ 

ตอนได้ไปดูจริงๆ ก็คิดว่าท่าทีของหนังนั้นมีหลากอารมณ์ และมีลักษณะการเล่าคล้ายละครพีเรียดไทย ซึ่งก็มารู้ทีหลังว่าเรื่องนี้ทีแรกก็จะทำเป็นละครน่ะแหละ คิดว่าหนังเล่าได้สนุก มีหลายอารมณ์ หลายช่วงมีท่าทีผ่อนคลายกว่าในภาพยนตร์ตำนานพระนเรศวร และมีอารมณ์เข้มข้นในหลายช่วงตอน และฉากแอ็คชั่นเล็กๆในหลายช่่วงก็ทำได้ดีทีเดียวเลย ความเข้มข้นของหนังรวมๆอาจไม่เท่ากับหนังพระนเรศวรสองภาคแรก แต่อาจด้วยการที่รายละเอียดของเรื่องดูไม่มากเท่า รวมไปถึงตัวละครด้วย จึงคิดว่าเรื่องนี้ติดตามและสัมผัสกับตัวละครได้มากกว่า โดยเฉพาะคุณ เต้ย พงศกร ที่เล่นเป็นสิน ตัวเอกของเรื่อง ซึ่งเล่นได้ลื่นไหลและมั่นใจดีจริงๆ ดูโดดเด่นเหมาะกับบทที่ได้รับมาก ขณะที่บทพระเจ้าเสือของผู้พันเบิร์ดที่เป็นบทสำคัญที่ตีคู่กันมาก็มีท่าทีผ่อนคลายกว่าตอนเล่นเป็นพระนเรศวร อาจเพราะเดิมเคยตั้งใจทำเป็นละครจึงยังมีความรู้สึกบางอย่างว่ามันสวมในความเป็นภาพยนตร์ไม่พอดีนัก แต่เท่าที่ดูหนังก็ดูได้สนุกลื่นไหลดี และความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง (รวมโฆษณาในโรงแล้วก็คงเกิน...) ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร แค่กลับบ้านดึกไปหน่อยก็เท่านั้นเอง... 

แต่ก็ยังคิดว่าถ้าฉายเป็นละครหลายตอน ก็ยังน่าจะเก็บรายละเอียดได้มากกว่าและค่อนข้างเหมาะครับ (ไม่รู้มีฉายแบบละครไปหรือยัง นี่ก็ไม่ได้ตามซะด้วย)


เมย์ไหน ไฟแรงเฟร่อ


เป็นหนังที่น่าสนใจหลายอย่างเลย ตั้งแต่เป็นหนังของ ชยนพ บุญประกอบ ผู้กำกับ SUCK SEED ห่วยขั้นเทพ นำแสดงโดยกลุ่มดาราวัยรุ่นจากซีรี่ส์ฮอร์โมน แต่เป็นเลิฟคอเมดี้ และคอนเซ็ฟท์ของเรื่องที่เป็นเรื่องของผู้มีพลังพิเศษ(?)ท่ามกลางสังคมฐานันดรในโรงเรียนมัธยม (ในโรงเรียนยังมี แล้วข้างนอกมันจะมีไหม?!) แม้เนื้อเรื่องอาจจะดูการ์ตูน แต่หนังก็เล่าเรื่องได้อย่างสนุก มั่นอกมั่นใจ และเรื่องของฐานันดรก็น่าสนใจ ดารานำสามคนในโปสเตอร์ก็เล่นได้อย่างสนุกมั่นใจตามตัวหนังด้วย แม้เรื่องจะเกี่ยวกับพลังประหลาดๆ แต่เรื่องราวในหนังก็เล่าได้โอเค ไม่ได้มีจุดสะดุด (ส่วนหนึ่งก็เพราะมันเป็นอารมณ์คอมเมดี้ด้วยแหละ) แถมส่วนที่เล่าด้วยอนิเมชั่นในหนังก็ทำได้ดีมาก และเป็นส่วนที่ชอบมากอย่างนึงในหนังด้วย และก็ชอบที่หนังเล่าแตะๆอะไรมืดๆแต่ดูจริงไว้ในหนัง ซึ่งก็ทำให้เป็นหนังคอนเซ็ฟท์จัดที่ดูสนุกเรื่องนึงเลย เราอาจมีปัญหากับความสงสัยในสถานะตัวละครในช่วงท้ายกับเรื่องในช่วงท้ายหน่อยๆทั้งที่จริงๆมันก็ไม่ได้มีผลเสียอะไร แถมเรื่องก็ยังสนุกดีไปจนจบ แต่ก็นั่นแหละ... อาจเป็นข้อส่วนตัวซักหน่อย ประกอบกับยังชอบ SUCK SEED ห่วยขั้นเทพ มากกว่าอยู่ ซึ่งเป็นหนึ่งหนังชอบในปีนั้น (และแม้เราจะชอบบทออยของน้องฟรังในฮอร์โมนมากกว่า อย่างที่เคยพูดถึงไว้ก็ไม่มีผลอะไรกับอันดับนะ จิงๆ) ก็ยังติดตามงานกำกับเรื่องใหม่ของผู้กำกับอยู่นะครับ และสุดท้ายเรื่องนี้ก็กลายเป็นหนังโรงเรื่องสุดท้ายของ GTH ไป


ทีนี้มาต่อกันที่ 5 อันดับจริงล่ะนะ

5. แผลเก่า (INTERNATIONAL VERSION)


ที่แปะว่าเป็น INTERNATIONAL VERSION นี่ไม่ได้จะบอกว่าเวอชั่นนี้ดีกว่าปกติอะไรยังไงเพราะไม่ได้ดูเวอชั่นปกติที่เข้าฉายไปก่อนตั้งนานแล้วครับ ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้ดู แต่พอเห็นมันกลับมาฉายที่โรงภาพยนตร์ HOUSE ณ RCA อีกก็ชักสนใจว่า เออ ทำไมมันวนมาฉายใหม่หว่า ก็เลยสนใจไปดู


ที่วนมาฉายนี่เป็น  INTERNATIONAL VERSION เวอชั่น 20+ ต้องตรวจบัตรประชาชน แต่เนื่องจากไม่ได้ดูเวอชั่นปกติก็บอกไม่ได้อีกเหมือนกันว่ามันมีอะไรต่างกันขนาดไหน โดยเฉพาะที่ส่งผลกับเนื้อเรื่องหลักของหนัง สารภาพว่าก็จำเรื่องราวในแผลเก่าจากทั้งนิยายหรือภาพยนตร์ฉบับก่อนหน้าไม่ได้แม่นๆเท่าไหร่จึงพูดอะไรเกี่ยวกับตรงนั้นไม่ถนัด แต่ก็คิดว่ามีส่วนที่ หม่อมน้อย ซึ่งเป็นผู้กำกับของหนังน่าจะตีความและใช้สไตล์ส่วนตัวในหนังอยู่ โดยรวมคิดว่าเรื่องมีความเข้มข้นประมาณหนึ่ง และมีการเล่าเรื่องที่โน้มน้าวผู้ชมได้พอสมควร เรื่องราวบางส่วนที่เสริมเข้าไป และด้านมืดที่ผสมอยู่ในหนังซึ่งน่าจะหนักหน่วงอยู่เองก็มีส่วนเพิ่มความเข้มข้นให้กับหนังพอควร ภาพและสไตล์รวมถึงโปรดักชั่นก็สวยงาม และก็แสดงถึงสภาพสังคมเมืองในตอนนั้นซึ่งรับอิทธิพลจากตะวันตกมาเอาไว้ รวมถึงสถานะในสังคมที่เกาะเกี่ยวกันอยู่ในแต่ละกลุ่ม แม้จะมีส่วนที่ให้ความรู้สึกเกินจริงบางอย่างอยู่ในหลายช่วง และมีส่วนที่รู้สึกว่ายืดเยื้ออยู่บ้าง แต่ในภาพรวมหนังทั้งเรื่องก็กลมกลืนกันในระดับหนึ่ง และนักแสดงในบทบาทและสไตล์ในภาพยนตร์ส่วนใหญ่ก็ถือว่าเล่นได้น่าพอใจ

ตัวหนังนั้นมีโปรดักชั่นที่สวยงาม แต่ก็คิดว่าหนังอยู่ในระดับกลางๆ สิ่งที่ทำให้หนังเฉือนมาอยู่ใน 5 อันดับได้จริงๆ ก็คือ 2 ดารานำของหนังอย่าง ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต ในบทไอ้ขวัญ และ ใหม่ ดาวิกา โฮเนร์ ในบทอีเรียม ที่ทีแรกก็รู้สึกว่า เออ แกเลือกดาราลูกครึ่งมาแสดงนำทั้งคู่เลยแฮะ (แล้วก็มาคิดได้ทีหลังว่า เออ แต่ก็ดูเหมือนแกก็เลือกแบบนี้มาตลอดไหมหว่า? นี่ก็เป็นสไตล์รึเปล่า?) เลยออกแนวตั้งข้อสงสัยนิดๆ แต่พอได้ดูในหนังก็พบว่า ทั้งคู่เล่นเป็นสองตัวเอกในหนังได้เหมาะกว่าที่คิด เป็นส่วนเซอไพรส์มากๆของหนังครับ จากที่แม้จะรู้สึกว่า ใหม่ ดาวิกา สวยดีในหนังเรื่องอื่นๆ แต่ก็ไม่อะไรนัก มาในเรื่องนี้ถือว่าเธอนำเอาเสน่ห์มาสู่ตัวละคร เรียม ในแบบของเธอในหนังเวอชั่นนี้ได้เป็นอย่างดี คือ เชื่อว่าเป็นคนที่ขวัญรัก และ ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต ก็เล่นเป็นไอขวัญได้อย่างเป็นธรรมชาติในแบบของตัวเอง จนเราติดตามชะตากรรมของตัวละครคู่นี้ไปผ่านทั้งช่วงเวลา น่ารักๆ อุ่นไอรัก พลิกผัน ไปจนถึงโศกรันทด ไปได้จนจบ คือจะว่าหลงเสน่ห์สองนักแสดงนำ จนยอมให้คะแนนกลบข้ออื่นๆในหนังไปหมดก็ใช่


4. รุ่นพี่  


อันนี้เคยเขียนยาวๆไปแล้ว (แบบยาวๆ ที่นี่) ถ้าจะให้พูดสั้นๆก็คือ แม้อาจไม่ใช่หนังที่ดีที่สุดของผู้กำกับ วิศิษฐ์ ศาสนเที่ยง แต่มันก็เป็นหนังวัยรุ่น ที่มีผี ที่มีหลายองค์ประกอบหลากหลาย ทั้งน่ากลัว โรแมนติก ตลก สืบสวน ดราม่า เพี้ยน ฯลฯ ที่นำเสนออกมาด้วยท่าทีผ่อนคลายกว่างานในอดีตของตัวผู้กำกับ และออกมาสนุกมาก


3. 2538 อัลเทอร์มาจีบ


เป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้ที่เล่นท่ายากพอสมควรคือ เล่นกับเรื่องของเวลา ประมาณ BACK TO THE FUTURE แต่ไม่ได้มีอุปกรณ์ล้ำๆอะไรขนาดนั้น มีแค่ตู้โทรศัพท์ แต่ก็ไม่สำคัญเพราะหนังที่ออกมาดูสนุกมาก นักแสดงแคสมาดี เล่นได้มีเสน่ห์ บทก็สนุกและไม่ได้ปล่อยให้มีช่องโหว่มาขัดความรู้สึกผู้ชม และไม่ขัดช่วงดราม่าในหนัง ตัวหนังอาจไม่ได้มีอะไรลึกไปกว่าเรื่องของความรักในวัยเรียน และการถวิลหาอดีตมากนัก แต่ทั้งสองส่วนถือเป็นเสน่ห์สำคัญของหนังที่ทำได้โอเคมากๆ จนอมยิ้มไปกับฉากอย่างร้านขายเทป การเอาปากกามาปั่นม้วนเทป ฯลฯ และถึงกับทำให้ต้องไปหาเปิดเพลงวงพราวมาฟัง หนังอาจจะอัลเทอร์ฯน้อยไปบ้างเพราะมีเพลงของพราวเป็นหลัก แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะผมก็ไม่ใช่แฟนอัลเทอร์ฯตัวยงอะไร (หือ) คือแค่นี้ก็เอาอยู่เอาตายได้แล้ว จนน่าเสียดายที่ตอนที่หนังฉายก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมาก แถมฉายไปตั้งแต่ต้นปี พอปลายปีก็ดูเหมือนหนังไม่มีบทบาทในเวทีรางวัลอะไรเท่าไหร่จนน่าเสียดายเลย ทั้งๆที่หนังมีองค์ประกอบดีๆหลายเรื่อง ตั้งแต่บท การเล่าเรื่อง (โปรดักชั่นก็น่าจะยังได้) ไปยันนักแสดงเลย ที่มีเสน่ห์กันในบทสำคัญทั้งหมดเลย 

แม้ว่าน้องใบเฟิร์น พิมพ์ชนกฯ จะแสดงหนังสองเรื่องในปีนั้น เรื่องความเซ็กซี่อาจต้องยกให้ แค้ท อะแว่บ แต่กรุณาอย่ามองข้ามบทบาทการแสดงของน้องในเรื่องนี้  เป็นหนังโรแมนติก(+ไซไฟ เรโทร ก็ได้ด้วย)คอมเมดี้ไทยที่ทำได้ออกมาสนุกและมีเสน่ห์มากๆเรื่องนึง 


2. SNAP แค่ได้คิดถึง


เคยจะเขียนถึงยาวๆตั้งแต่เพิ่งไปดูมาแล้วก็ไม่มีเวลาเขียนให้จบ ก็ขอตัดมาตรงนี้ก่อน หนังเป็นฝีมือกำกับของ คงเดช จาตุรันต์รัศมี (สยิว(ร่วมกำกับ), เฉิ่ม, กอด, แต่เพียงผู้เดียว, ตั้งวง)  เล่าเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่เคยต้องย้ายจากบ้านเกิดในช่วงที่ประเทศไทยเกิดเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง และวันหนึ่งเมื่อเพื่อนในกลุ่มจัดงานแต่งที่บ้านเกิดและกลับไปถ่ายรูปที่โรงเรียนเก่า เธอจึงมีเหตุให้กลับไปพบกับตากล้องประจำรุ่นซึ่งมีอดีตพิเศษร่วมกัน

คิดว่าหนังสองเรื่องหลังของ คงเดช จาตุรันต์รัศมี ควบคุมหนังให้มีส่วนผสมของความเฉพาะตัวกับการเข้าถึงได้ง่ายได้กลมกล่อมขึ้น 

เอาเป็นว่าบางคนที่ดูเรื่องนี้อาจตีความหลายๆอย่างในหนังไปเกี่ยวกับบริบทหรือเหตุการทางการเมืองก็ได้ แต่ต่อให้ดูโดยไม่ต้องโยงเรื่องราวให้เกี่ยวกับการเมืองขนาดนั้น หนังก็ยังเป็นหนังรักนุ่มๆที่มีเรื่องราวหล่อเลี้ยงกับการย้อนกลับไปค้นหาความทรงจำในอดีตและคำตอบในใจให้กับตัวเองที่ทั้งน่าประทับใจและเจ็บปวดอยู่ดี นักแสดงทำหน้าที่ได้ดีและดูเป็นธรรมชาติ แม้ว่าบท ผึ้ง ของ วรันธร เปานิล จะดูมีความกระตือรือร้นมากกว่าบท บอย ของ โทนี่ รากแก่น ซึ่งเป็นไปตามบุคลิกของบทที่ถูกกำหนดไว้ ทั้งสองคนควบคุมการแสดงส่วนของตัวได้ดี และยิ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่พอผู้ชมติดตามเรื่องราวไปกับหนัง 

หนังมีรายละเอียดมากผ่านทั้งเรื่องราวและพฤติกรรมเล็กๆน้อยๆของตัวละครรายรอบ ที่สะท้อนภาพของสังคมในยุคหลังความแตกแยกทางการเมือง (ซึ่งก็อาจมีพฤติกรรมแบบนี้ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่มีเรื่องที่จะไปขยายมันออกมาได้ขนาดนั้น) ได้ และเห็นภาพ แม้ไม่ต้องพยายามตีความอะไรลึกลงไปกว่านั้น (คือไม่ต้องพยายามตีความเข้าข้างใครหรือฝ่ายไหนเป็นพิเศษ) ซึ่งถือเป็นบทบันทึกที่ดี (เหมือนที่ ตั้งวง ก็เป็น) รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับความสัมพันธ์และปัญหาส่วนตัวของตัวละครหลักของหนังด้วย 

ทั้งผู้กำกับและนักแสดงควบคุมหนังได้ดี จนทำให้เรารู้สึกไปกับตัวละคร แม้ไม่รู้เรื่องราวของพวกเขาทั้งหมด และในฉากสำคัญของหนังซึ่งเหมือนจะพลิกเรื่องราวของหนังไปอีกด้านก็ยังมีส่วนจู่โจมผู้ชมอย่างได้ผล เรื่องราวของแต่ละคนที่เลือกที่จะใช้วิธีแตกต่างกันที่จะรับมือกับเหตุการณ์ที่ถาโถมเข้ามาในบริบทของการใช้ชีวิตจึงเหลือความรู้สึกติดในใจผู้ชมหลังจากเรื่องราวบนจอจบลงไปแล้วก็ตาม

ต่อให้ดูกันแค่เป็นหนังรัก SNAP จึงยังเป็นหนังรักที่มีความละมุนละไม เต็มไปด้วยความถวิลหาและความทรงจำ แต่ก็เจ็บปวด...


1. ฟรีแลนซ์.. ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ 


จริงๆก็เป็นอีกเรื่องที่ตั้งใจจะเขียนยาวๆ แต่ไม่ได้เขียน แต่ตอนนี้เกิดขี้เกียจเขียนกระทันหัน เราชอบมาก ไปหามาดูเถอะ จบ.

(ไว้มีเวลาและไม่ขี้เกียจจะกลับมาเขียนจริงๆนะ...)

ว่าไป 4 ใน 5 เรื่องนี่มันมีดูมีอารมณ์ถวิลหาอดีต(ไกลบ้างใกล้บ้าง)กันหมดเลยแฮะ?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น