วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2558

STAR WARS - THE FORCE AWAKENS สตาร์ วอร์ส - อุบัติการณ์แห่งพลัง : พลังใหม่ เชื่อมสายใยเก่า

มหากาพย์แห่งแฟนบอย ที่คิดๆว่าคงจะได้ดูกันแค่ 6 ภาค 6 เอพพิโซด นี่แล้ว ในที่สุดปฐมบทใหม่ก็ออกมาให้แฟนๆที่ติดตามกันมายาวนานบ้างไม่นานบ้างได้ชมกันเสียที อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่น่าตื่นเต้นยามที่ได้เห็นทีเซอร์หรือเทรลเลอร์ก่อนหน้านี้ก็มาปรากฎบนจอให้เห็นกันทุกอย่างจริงๆ สำหรับผมซึ่งชื่นชอบหลายอย่างในมหากาพย์ชุดนี้ แต่ก็คงไม่ได้เป็นระดับแฟนบอย ก็คงต้องบอกว่าดูสนุกสมการรอคอย และตัวละครใหม่ๆ ทั้งเลือดใหม่และดูจะเลือดไม่ใหม่เท่าไหร่ที่ปรากฎโฉมออกมาก็มีเสน่ห์และความน่าสนใจพอให้ติดตาม หรือถึงขั้นหลงใหลได้ไม่ยาก เรียกว่าคิดมาดีทีเดียว แถมหลายๆจังหวะที่ตัวละครหรือตำนานหลายๆอย่างจากภาคเก่าๆปรากฎโฉมขึ้นมาบนจอนี่เรียกว่ากระชากความรู้สึกให้มันรื้นขึ้นมาได้เลยทีเดียว จะว่าไปก็สมกับที่ เจ เจ อับรามส์ ซึ่งเป็นแฟนบอยมหากาพย์ชุดนี้คนนึงเหมือนกันมากำกับนะครับ แต่ก็...แปลกที่แม้ความคุ้นเคยหลายอย่างจะดึงเอาความตื่นเต้นมาได้ในปริมาณมาก แต่ดูจนจบผมกลับรู้สึกว่าอะไรที่คุ้นๆนี้มันมากไปหน่อย คือ ไหนๆมีโมเม้นต์เอาตายที่เห็นตำนานจากภาคเก่าๆมาปรากฎเยอะขนาดนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าอยากให้มีอะไรที่ทำให้เซอไพรส์หรือตื่นเต้นมากกว่านี้ นึกๆไปแล้ว ตอนที่เห็น เจ เจ อับรามส์ รีบู๊ตอีกหนึ่งมหากาพย์ STAR TREK นั้นกลับรู้สึกว่าความตื่นเต้นตอนดูจบมันมากกว่านี้น่ะครับ อืม... ยากจัง แต่ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับว่าที่ดูนี่ก็สนุกมากแล้ว 8.4 คะแนน แฟนๆที่ยังไม่ได้ดูไปดูก็ไม่คิดว่าจะผิดหวัง ส่วนใครที่ยังไม่ได้ดูไปดูก็รับประกันความสนุกได้ในระดับหนังบิ๊กเนมที่ความสนุกไม่ถือว่าพลิกโผนะครับ

ก่อนอื่นเลยภาคนี้ต้องถือว่า พระเอก นางเอก ประจำเอพพิโซดนี่ผลัดไปอยู่ในมือของเลือดใหม่กันทั้งนั้น นางเอกในภาคนี้คนดูทีเซอร์ เทรลเลอร์มาคงเห็นกันจนคุ้นแล้วกับสาวนักเก็บขยะ เรย์ (แคสมาเหมาะมาก ให้คะแนน) ส่วนพระเอกในภาคนี้คือเจ้าหุ่นกลมสีส้ม BB8 (บีบีเอท) นะครับ บอกก่อน!   

นี่มันลำเอียงชัดๆนะครับ ไม่ควรเชื่อถือมาก แต่เอาจริงผมคิดว่าเจ้าหุ่นกลมสีส้ม BB8 นี่เป็นตัวละครที่ถูกคิดมาดีมากจริงๆ คือมันมีทั้งความที่ดูน่ารัก ทำให้นึกถึงตำนานอย่าง R2-D2 ในขณะที่รู้สึกว่าเป็นรุ่นใหม่ และเป็นรุ่นน้องไปในเวลาเดียวกัน พฤติกรรมแต่ละอย่างที่มันทำก็เรียกว่า แบบ ทำมาให้คนรัก เอ็นดูน่ะแหละ และยังเป็นตัวเดินเรื่องที่มีความสำคัญใช่ย่อย คิดมาตัวเดียวได้หมด 

นอกนั้นทุกตัวละครใหม่โดยเฉพาะที่เป็นเลือดใหม่นี่ถือว่าแคสมาใช่หมด ตั้งแต่นางเอกนักเก็บขยะ พ่อหนุ่มผิวดำสตรอมทรูปฯที่สับสนในชีวิต นักบินเอ็กซ์วิงสุดแมน หรือตัวร้ายผ้าคลุมดำสวมหน้ากาก ซึ่งฉากเปิดตัวมานี่ทั้งความเท่ความร้ายถือว่าผ่านหมด ชอบฉากใช้พลังด้วย (ส่วนไอที่นั่งเก้าอี้นี่สำหรับผมถือว่าช่างมัน ยังไงก็ได้ (อ่าว...ไมมักง่ายงี้ฟระ)) 



แถมถือว่าตัวละครและสิ่งละอันพันละน้อยในตำนานภาคก่อนๆที่กลับมาปรากฎกันในภาคนี้นี่ ถือว่ามาแบบใช่หมด (ยกตัวอย่างเช่นฉากเหยี่ยวล้านปีแสงนี่ มันรื้นขึ้นมาเลยครับ) ถือว่าคุ้มค่า

หลายๆอย่างที่ใส่มาในภาคนี้ที่ดูจะเพิ่มมิติและองค์ประกอบใหม่ๆในภาคนี้ก็ดูเหมือนว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจเกือบหมด กับทิศทางที่ตำนานเรื่องนี้จะถูกเล่าต่อไป ทั้งสตรอมทรูปเปอร์สับสนชีวิต เรื่องราวเบื้องหลังของพ่อหน้ากากเสื้อคลุมดำ การที่ตัวละครหญิงเข้ามามีบทบาทในเรื่องแบบที่ดูชัดเจนขึ้น ฯลฯ นี่ก็ถือว่าได้ผล 

แล้วอะไรล่ะ ที่มันไม่ได้?... อืม...สำหรับผม ก็มีแค่ว่าหลายๆอย่างในภาคนี้มันดูคุ้นๆเคยๆไปซะหมด หลายๆ(ๆๆ)อย่างดูๆไปเรื่อยๆก็เหมือนกับมันรีเมค STAR WARS ต้นฉบับมา (ส่วนที่ขุ่นข้องหมองใจที่สุดสำหรับผมก็คือสมรภูมิกลางอวกาศ) คือ หลายๆอย่างที่มันดู'ใหม่'นี่ดีแล้วนะครับ หลายๆอย่างถือว่าน่าประทับใจ แต่...ไม่แน่ใจว่าเพราะองค์ประกอบอะไร หรือเป็นเพราะองค์ประกอบหลายอย่างรวมๆกัน ยิ่งประกอบกับที่ฝังหัวว่า เจเจ อับรามส์ เป็นคนรีบู๊ต STAR TREK ซะแบบ เฟรชเลย (คือแม้อาจไม่ชอบเท่ากับภาคที่ชอบๆที่สุดในบรรดาหนัง STAR TREK แต่ก็คิดว่า โห มันสนุกมาก) พอเทียบกันแล้ว รู้สึกหลังดูจบว่าความรู้สึกเซอไพรส์มันไม่เท่าตอนดู STAR TREK รีบู๊ต อืม...คิดๆดูอาจเป็นเพราะหลายอย่าง อย่างเช่น STAR TREK นั้นบุคลิกในหนังแต่ภาคก็ใช่ว่าจะเนียนเรียบเป็นเนื้อเดียว แม้จะยึดเอาบรรดาลูกเรือเอนเตอร์ไพรส์เป็นแกนกลางในการเล่า แต่สถานการณ์แวดล้อมในแต่ละภาคก็แตกต่างกันไป ว่าไปหลายครั้งก็เหมือนเรื่องจบในตอนมากกว่า (แต่จริงๆก็ต่อกันนะ) STAR TREK ก็เลยดูไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันมากเหมือนมหากาพย์ STAR WARS ที่เล่าเรื่้องต่อเนื่องเชื่อมโยงกันไปเรื่อยๆ ยุบยับอีก ทำไปทำมาก็เลยเหมือนในด้านเนื้อเรื่อง STAR TREK ก็ดูจะดิ้นได้มากกว่า มีกรอบเกณฑ์น้อยกว่า เพราะฉะนั้นตอนที่ STAR TREK ถูกรีบู๊ตก็เลยเหมือนมันไม่จำเป็นต้องยึดติดกับอะไรมาก ยกเว้นว่าบุคลิกลูกเรือเอนเตอร์ไพรส์อย่าให้มันหลุดก็แล้วกัน ซึ่งที่ออกมาก็เติมความรู้สึกสดใหม่ให้กับหนังรีบู๊ทได้ชำแรกความรู้สึกดีเลยทีเดียว

แล้วถ้าเป็น STAR WARS ล่ะ?... คุ้นๆว่า เจ เจ ฯ เคยบอกว่าเป็น 'แฟน' STAR WARS ในทีแรกจึงอาจรู้สึกเกร็งมากกว่าก็ได้ถ้าต้องมาสานต่อตำนานมหากาพย์ที่ตัวเองเป็นระดับแฟน แต่เอาเข้าจริงจากที่ผลงานในเอพพิโซดนี้ที่ออกมาในอีกแง่ก็ต้องบอกว่าสมแล้วเหมือนกันกระมังครับที่บอกว่าเป็นระดับ 'แฟน' เพราะถ้ามองอีกแบบก็คงต้องบอกว่าหลายๆอย่างมันเป๊ะมากใช่เล่น ทั้งด้วยความที่จริงๆแล้ว STAR WARS นั้นเล่าเนื้อเรื่องให้ต่อเนื่องกันไปมันจึงติดกรอบในการเล่าที่ต้องมีแกนอยู่พอสมควร นอกจากนั้นแล้วแม้ว่าใน 6 ภาคก่อนหน้าจะมีผู้กำกับ 3 คนก็ตาม แต่เงาของ จอร์จ ลูคัส ซึ่งเปรียบสเมือนบิดาผู้ให้กำเนิดก็คงครอบคลุมความเป็น STAR WARS หลายๆอย่างเอาไว้ใช่น้อย นอกจากลำดับเรื่องราวแล้ว ทั้งบรรยากาศของตัวละคร (การแสดงออก การพูดจา ฯลฯ) บรรยากาศของเรื่อง การเล่า กระทั่งจังหวะการเล่า ก็เหมือนมีรูปแบบ'เฉพาะ'อยู่พอสมควร ซึ่งหลายๆช่วงที่ดูนั้นผมรู้สึกว่ามันถอดมาแบบเป๊ะมาก เรียกว่านอกจากเรื่องราวแล้วยังพยายามให้รูปแบบและจังหวะเฉพาะของ STAR WARS คงอยู่เป็นส่วนใหญ่ อืม...ก็ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ใช่ระดับแฟนพันธุ์แท้อะไร เพราะงั้นถ้าต้องลงลึกถึงรายละเอียดอาจมีข้อแย้งก็ได้ แต่ตอนดูรู้สึกแบบนี้จริงๆ เรียกว่า เจ เจ ฯ พยายามทำหน้าที่ในการสืบสานและถ่ายทอด STAR WARS ออกมาในแบบแฟนๆที่เคารพต้อนฉบับอย่างสูง (การตัดฉากแบบเลื่อนฉากจากด้านนึงเลือนไปอีกด้านนึงก็ยังเอากลับมาใช้ แม้จะแค่แว่บๆแค่ 2-3 หนมัง? รึแฟลร์ยังไม่ค่อยมีเลยคิดดู) และมันก็อาจเป็นเป็นข้อที่ทำให้ฉากของการปรากฎของตำนานต่างๆจากภาคก่อนๆนั้นใช่มาก คือได้หมดเลย อันนี้เป็นข้อดีมากๆ ถือว่าประทับใจกันเลยทีเดียว นอกจากนั้นอะไรๆที่ใส่เพิ่มเข้ามาก็ยังเข้ากับโลกของ STAR WARS ได้เป็นอย่างดี ดีไซน์ก็ดี ชอบหลายอย่างเลยครับ แคสก็ดี การเล่าเรื่องในมุมสมาชิกของ(อดีต?)จักรวรรดิก็ถือว่าน่าสนใจมาก แต่ก็ถือว่ามีข้อเสียแปลกๆที่รู้สึก(สำหรับผมน่ะนะ) เช่น จากจังหวะการเล่าของ STAR WARS ที่ปกติตัวละครก็มีบุคลิกเฉพาะในโลกของตัวพอสมควร และจังหวะการเล่าที่เฉพาะพอสมควร ปกติคิดว่า STAR WARS ไม่ได้เน้นการย้ำตัวละครผ่านการค่อยๆเล่าหรือเน้นการปล่อยพลังๆตรงๆของนักแสดงมากอยู่แล้ว แต่มักจะเล่าด้วยเหตุการณ์ยิบย่อยในเรื่องมากกว่า เพราะงั้นเหตุการที่ผมรู้สึกว่ามันสำคัญบางอย่างที่น่าจะหล่อเลี้ยงจังหวะเพื่อให้มันส่งผลสะเทือนมายังคนดู(อย่างผม?)เช่น เรื่องของการสับสนชีวิตของสตรอมทรูปเปอร์เลยรู้สึกว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เห็นมากกว่ารู้สึกว่ามันส่งผลมายังความรู้สึกได้ตรงๆ เรียกว่ายังไม่ทันอินว่างั้นเถอะ และก็มีเหตุการณ์บางช่วงที่ทำให้รู้สึกแบบนี้อยู่ประปราย ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่ามันเป็นจังหวะแบบ STAR WARS อย่างที่ว่า ดูไปก็ดันรู้สึกหลายครั้งว่า อืม...นี่คือ เจ เจ ฯ พยายามเล่าให้เป็น STAR WARS ที่สุดรึเปล่านะ? แล้วถ้า เจ เจ ฯ เล่าแบบเป็น เจ เจ ฯ สไตล์มันจะเป็นยังไงนะ? (เรื่องมากจุง...) อะไรแบบนี้ครับ ในขณะที่หลายฉากที่คิดว่า เจ เจ ฯ คิดมาดีแล้วก็รู้สึกว่า เฮ้ย เท่ว่ะ เช่น ฉากปรากฎโฉมของตัวร้ายหลักประจำภาคอย่าง เร็น ที่มาโชว์ฟอร์ซเลย แต่ก็มีบางอย่างที่รู้สึกว่าฉีกจังหวะของ STAR WARS อยู่บ้าง เช่น การที่เห็นเจนใหม่ วัยรุ่น ปรากฎโฉมเป็นตัวละครเอกในภาคนี้กัน ก็รู้สึกนิดๆว่ามันรีเลทกับโลกของเราพอสมควร เพราะรู้สึกว่า เออ มันมีจังหวะอารมณ์ขัน และความเกรียน บางอย่างแบบที่ทำให้รู้สึกว่า อืม ต่างกับตอนเราเห็น ลุค เป็นวัยรุ่นๆเนาะ เลยรู้สึกว่า เออ พฤติกรรมวัยรุ่นในจักรวาล STAR WARS มันก็มาคล้ายกับจักรวาลที่มีทางช้างเผือกของเราเหมือนกันซะงั้นเนาะ(มันก็แหงซิ!) อะไรแบบนี้ ในบางช่วงอาจเป็นจุดที่มีความต่างอยู่บ้าง จะว่าไปอารมณ์ขันและจังหวะเหล่านี้อาจเป็นสิ่งหนึ่งที่ต่างไปจากของเดิมเหมือนกัน แต่ก็ปนๆกันไปไม่ชัดเจนมาก ขณะเดียวกันความสัมพันธ์ของเจนใหม่ในเรื่องทีแรกก็รู้สึกๆนิดๆว่ามันมากและเร็วไป คือเหมือนไม่อินเท่าไหร่(อีกแล้ว) แต่จุดนี้ถ้าคิดว่าจริงๆเขาก็เป็นเหมือนเป็นคนที่ไม่มี'ใคร'เลย รู้สึกโดดเดี่ยวมาตลอด(ในจักรวาลไพศาล...) แค่ได้พบคนที่คิดว่าเป็นเพื่อนคนนึงไม่ใช่แค่ใครก็ไม่รู้ที่ไม่สนใจอะไรความเป็นไปของเราและไม่อยากสน ก็คงจะทำให้มันผูกพันกันได้มากแล้ว ก็คือ...ประเด็นนี้ก็เรียกว่าถามเองแก้เองไปเลยครับ - -

เพราะงั้นถ้าถามว่ามันสนุกไหม คือสนุก STAR WARS ไหม คือ STAR WARS มากๆ แต่ก็นั่นล่ะครับ อาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งมันบ่มเพาะความคาดหวังไว้แม้ไม่ตั้งใจตั้งแต่เห็นทีเซอร์รึเทรลเลอร์ทั้งหลายที่ต้องยอมรับว่าตัดมาดี กระตุ้นต่อมได้ดีมาก มาเป็นเวลานาน (รู้งี้ดูผ่านๆแบบไม่ตั้งใจซักครึ่งครั้งก็พอ...ความรู้สึกอาจเปลี่ยนไป?) แม้จะได้เห็นอะไรๆที่รู้สึกอยากเห็น และได้เห็นไปเกือบหมด เราก็ดันอยากรู้สึกถึงเซอไพรส์มากกว่านี้อีก (เอาอีก! เอาอีก! ประมาณนั้น) ก่อนที่จะพบว่ามันเหมือนรีไซเคิลหลายๆ(ๆๆ)อย่างมาจากภาคเก่า กระทั่งเหตุการณ์ขยี้ใจสำคัญในภาคนี้แม้จะรู้ว่ามันสำคัญก็ยังไม่เซอไพรส์และไม่รู้สึกอะไรเท่าที่คิดว่าน่าจะรู้สึกซะงั้น(ผมขอโต๊ด) แถมอย่างที่ว่าสำหรับผมฉากสมรภูมิเวหาใกล้ๆกันนี่เรียกได้ว่าเกือบจะผิดหวังเลยทีเดียว คือรู้สึกว่าทำไมมันถึงต้องคล้ายกันขนาดนี้?(ขอโต๊ดดน้าา) แต่ถ้าถามว่าที่เคยได้ยินมาว่า จอร์จ ลูคัส เคยเขียนเรื่อง STAR WARS ไว้ 9 เอพพิโซด (แต่เลือก 4 มาทำก่อนเพราะเทคโนโลยีในตอนนั้นโอเคที่จะถ่ายทอดภาค 4 ออกมาได้) แล้วเอพพิโซด 7 ที่เห็นนี่คือเรื่องที่ จอร์จ ลูคัส เขียนไว้ใช่หรือไม่? หรือเอามาใช้ในนี้ไหม? มากแค่ไหน? อันนี้คือไม่รู้ คงต้องรอแฟนบอยมาช่วยตอบครับ

ถ้าว่ากันไปพอคิดไปคิดมาไอที่รู้สึกแปลกๆเลยก็คือ ถ้าเทียบความสนุกความลงตัวอะไรต่ออะไรภาคนี้ถือว่ามาตรฐานสูงเลยทีเดยว แต่กลายเป็นว่าถ้าเทียบความตื่นเต้นตอนที่ได้ดูแล้วล่ะก็...ผมดันรู้สึกว่าตอนได้ดูเอพพิโซด I ภัยซ่อนเร้น มันน่าตื่นเต้นกว่าซะงั้น... เหมือนมันมีอะไรที่เราไม่รู้จักอยู่เต็มไปหมด และรู้สึกว่ามันหลุดกรอบของ STAR WARS ที่เคยเห็นใน เอพพิโซด IV, V, VI ไป (แต่ว่าไป...ตอนดู V หลังจากเห็น IV ไปนี่ถือว่าสุด) ทำให้เราตื่นเต้นได้ไม่น้อย อย่างตอนที่เราเห็นอนาคินครั้งแรก รึฉากแข่งเรเซอร์พอดของอนาคิน ควีนอมิดาลางี้ เป็นต้น (จาร์จาร์บิงที่โด่งดังก็อยู่ในภาคนี้ด้วย... เอ่อ เอาจริงๆเจ้าจาร์จาร์ฯนี่จริงๆผมว่าลุคเขาโอเคนะครับ เพียงแต่ทำไมไม่รู้เหมือนพี่ จอร์จ ของเราจะให้เขาไปอยู่ผิดที่ผิดทางเสียหน่อย(แต่หลายครั้ง) ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม) นี่พูดจริงนะครับ ไม่ได้มุก และในเรื่องของฉากต่อสู้สำคัญนั้นถึงจะถือว่า'ผ่าน' และประจุไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากเป็นอันดับต้นๆฉากนึงในชุดมหากาพย์นี้ แต่เรื่องความ'มันส์'ดันรู้สึกแบบลางเลือน(เพราะก็ไม่ได้หยิบมาดูใหม่เทียบกันน่ะนะ)ว่ามันยังไม่เท่ากับบางฉากในเอพพิโซดที่ผ่านตามา เช่น ดาร์ทมอล หรือฉากโยด้าควงกระบี่แสง หรือจักรพรรดิ เป็นต้น

และอีกอย่างที่รู้สึก แต่เหมือนจะช่วยไม่ได้เพราะมันก็เป็นรูปแบบของหนังมหากาพย์สมัยนี้ไปแล้วก็คือ พอดูทั้งหมดนี่แล้วและได้สนุกกับอะไรๆมากมายมาตลอดเวลาฉายและหนังใกล้จะจบลง เราก็รู้สึกว่า...มันจะ...ยังไม่จบซินะ นี่มันเหมือนเป็นอินโทรๆสนุกๆเอง(แม้จะจบได้ทรงพลังใช่เล่น (สำหรับแควนๆ?)ก็เหอะ แต่เราก็ดันรู้ได้ตั้งแต่ตอนโปรโมทแล้วมังว่าเดี๋ยวตอนจบจะจบลงตรงไหน) อยากรู้ต้องไปดูต่อเอา และความเข้มข้นและทิศทางที่น่าสนใจมากๆที่ดูจะเปิดทางไว้ในภาคนี้หลายๆ(ๆๆ)อย่างก็จะไประเบิดกันในภาคต่อจากนี้ไป... แม้จะชิน(ได้)แล้ว(แหละ - แถมเขาก็ต้องทำแบบนี้อยู่แล้วแหละ) และไม่มึนส์เท่าตอนดู แจ๊ค สแปร์โรว์ ในหนังโจรสลัดถูกสาปเรื่องนั้นภาคสองที่จำได้ว่าตอนไปดูในโรงนี่แบบ(สปอยล์!นะ คิดว่า ถ้ายังมีใครยังไม่ได้ดู)... เฮ้ย พระเอกโดนแดร็ก แล้วมาโดนเอาป่านนี้ จะทำยังไงๆจะทำยังๆล่ะทีนี้ นี่มันจะจบแล้วใช่ไหม? ปรากฎว่า เออ ก็นั่นแหละ พี่ก็จบเลยซิครับ จบตรงนี้แหละ อยากรู้ว่าทำไงมาดูต่อภาคหน้าเอานะน้อง... คือที่ดูผ่านมานี่สนุกชิหาย แต่พอมาถึงตรงนี้...พี่ปล่อยผมลอยคว้างเลยนะครับ... อารมณ์ประมาณนี้ล่ะครับ แม้ไม่รุนแรงเท่า แต่ก็เป็นอารมณ์ค้างคาคล้ายๆแบบนั้น จะฟินก็ฟินไม่สุดประมาณนั้นครับ

เพราะงั้นเรื่องหักมุมก็เลยกลายเป็นว่าจริงๆแล้วก่อนนี้ผมแหยงๆนิดหน่อยหลังจาก(อภิมหาอณาจักร)ดิสนี่ย์ซื้อลูคัสฟิล์มไปแล้วประกาศสร้างสานต่อ STAR WARS มาตรึมไปหมด เพราะ...แม้จะตื่นเต้นอยู่ แต่มันก็คล้ายๆจะเหนื่อยล่วงหน้าไปแล้วเหมือนกัน (ประมาณว่า เอ๊ะ แค่จักรวาลมาเวลที่ต้องตามดูนี่พี่ยังไม่พอเหรอครับ? อะไรแบบนั้น... มันปัญหาของใครเนี่ย?!) มีภาคแยกอีก ทีแรกก็รู้สึกว่ามันเยอะจนขี้เกียจจะตื่นเต้นแล้ว แถมยังจะมีผู้กำกับมากหน้าหลายตาเข้ามากำกับอีก (เหนื่อยแทน) กลายเป็นว่าพอได้ดูภาคนี้เข้าไป กลายเป็นว่าด้วยอินโทรที่เริ่มเรื่องไว้สนุกและน่าสนใจหลายอย่าง แคสติ้งดี ดีไซน์ดี อะไรๆส่วนใหญ่ก็ดีหมด แต่ดันรู้สึกเหมือนรีไซเคิลหลายอย่างมามากไปหน่อย และรู้สึกว่าความเป็น STAR WARS แม้จะเข้มแข็ง (ฉากใจมันรื้นนี่เยอะมาก) และเหมือน เจ เจ ฯ จะปล่อยให้ลายเซ็นต์เจือจางไป (แม้จะรู้สึกว่าปกติ เจ เจ ฯ ก็น่าจะกำกับหนังออกมาในโทนประมาณนี้) แต่ก็ไม่มีอะไรเหนือคาดมาก (เท่าที่อยาก) ประมาณว่างานดี แฟนเซอร์วิสกระจุย แต่ไม่ค่อยมีลูกบ้าลูกเซอร์ไพรส์ใส่ไปอีกซักหน่อย กลายเป็นภาคต่อๆไปที่จะเล่าเรื่องราวต่อและมีผู้กำกับอื่นๆมารับไม้ต่อ โดยมีแคสติ้งดีๆไว้แล้วในภาคนี้ ถ้ามีใครพาหลุดจากกรอบได้ซะหน่อยนะ น่าตื่นเต้นขึ้นมาแทนเลยที่นี้ (แต่เหนื่อย...) เช่น โคลิน เทรเวอร์โรว์ แห่งสวนสนุก(?)โลกจูราสสิค ที่ว่าจะมากำกับอาจจะมาเห็นตัวประหลาดยักษ์ทะเลทรายงาบกันไปงาบกันมามีไทไฟเตอร์ เอ็กซ์วิง(ที่มี BB8 รึ R2ฯอยู่บนเครื่อง) บินโฉบเฉี่ยวซัดกันนัวเนีย ก็เป็นได้ (อืม...มันน่าตื่นเต้นพอไหมเนี่ย?) รึกระทั่งภาคแยกก็เหมือนกัน ถ้าให้โทนต่างไปนี่ก็น่าสนขึ้นมาเลยเหมือนกัน ดูกันให้เหนื่อยกันไปข้าง ลำบากนักค่อยคิดอีกทีว่าดูกันไหวไหม อืม...ดูลำบากจุง... แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอนาคตอันไกลโพ้น (ไม่ไกลเท่าไหร่หรอก) อย่าไปรีบมาก นี่ภาคนี้เขายังเพิ่งตัดเพิ่งใส่เอฟเฟคท์มาเสร็จก่อนเข้าโรงไม่เท่าไหร่เองไม่ใช่เรอะ ค่อยๆดูกันไปครับ สำหรับภาคนี้อินโทรดี แจ่มหลายอย่าง แต่ไม่ค่อยเซอไพรส์ (จนร่ำๆอยากให้ เจ เจ ฯ ไหนลองมากำกับอีกซักภาคดูดี๊ ใส่ให้เต็มเลยนะคราวนี้ อยู่ตะหงิดๆนิดๆ) BB8 ก็เอาคะแนนบวกไป เอาไปก่อน 8.4 ครับ สนุกคุ้มค่าก็ว่าได้ ทว่าลูกบ้าน้อยไปหน่อย... จะว่าเสียดายก็เสียดายตะหงิดๆ...อืม... 


แนะนำ

จริงๆ เจ เจ อับรามส์ ก็เป็นมือรีบู๊ตที่ถือว่าเชื่อมือได้ในระดับดีนะครับ นอกจาก STAR TREK ยุคใหม่ทั้ง 2 ภาคซึ่งสนุกดีหมด แล้วก็ยังเคยกำกับ MISSION IMPOSSIBLE 3 มาซะด้วยซึ่งก็ชอบนะครับ สนุกดีทีเดียว แม้อีก 2 ภาคที่ตามหลังมาที่เปลี่ยนโทนให้เจืออารมณ์ขันมากขึ้นจะประสบความสำเร็จมากกว่าก็ตาม แต่สำหรับความขึงขังเคร่งเครียดของภาคนี้ (กับปริศนาตีนกระต่าย) ก็ยังรู้สึกว่าสนุกอยู่ดี






 ส่วนใครไม่เคยดู STAR TREK หรือเคยดูแต่ภาคใหม่ 2 ภาคหลังสุด จริงๆเฉพาะภาคหนังใหญ่ก็มีมา 7-8 ภาคแล้ว (ดูยังไม่ครบเลย...) ไม่นับฉบับทีวีซีรี่ส์ที่โด่งดังมาก่อนจนมาทำหนังใหญ่นี่แหละ แถมมีหลายชุดตามมาอีก ซึ่งไม่เคยดูเลยครับ เคยดูแต่หนังใหญ่ แถมภาคที่ชอบก็อาจไม่ตรงกับแฟนๆเทรกกี้นัก - - ไว้อาจได้พูดถึงก็ได้ เป็นหนังอวกาศที่บรรยากาศต่างกับ STAR WARS อยู่เหมือนกันอย่างที่บอกครับ แม้ภาคล่า 2 ภาคจะเน้นแอ็คชั่น แต่ดูภาคเก่าๆก่อนรีบู๊ทบรรยากาศก็หลากหลายกว่า อย่างหนังใหญ่ตอน 4 THE VOYAGE HOME เป็นต้น ชอบมากภาคนึงเลยภาคนี้ หรือจะภาค 2 THE WRATH OF KHAN ที่หลายๆคนชอบ(และเหมือนจะเชื่อมโยงกับซีรี่ส์ที่มาก่อนเยอะ) นี่ก็มีหลายส่วนเชื่อมโยงกับภาคล่าเยอะทีเดียว แต่ก็ต้องทำใจไว้นิดนึงนะครับ เพราะหนังมันก็นานแล้ว เอ็ฟเฟ็คท์นี่สู้ไม่ได้ห่างกันหลายปีแสงแน่ๆ (หนังใหญ่ภาคแรก 1979 หลังสงครามดาวเอพพิโซดสี่ 2 ปีนะเออ)


ว่าไปก่อนจะเจอกับ (อภิมหา) คอมโบมหากาพย์สงครามดาวอีกซักแปดร้อยห้าสิบภาค (บ้า! คงไม่ขนาดนั้น! (มัง?...)) นึกถึงหนังไซไฟอวกาศฟอร์มเล็ก(กว่ามาก)ดูสนุกที่ทำให้รู้สึกนิดๆว่าผู้กำกับก็คงจะชอบและอาจจะอยากกำกับมหากาพย์สงครามดาวซักภาค (ถือซะว่าเป็นเหตุการณ์ใน(หมู่)ดาวชายขอบละกันนะ) ซึ่งในเวอชั่นไม่อลังการเท่าถือว่าหนังเรื่องนี้ที่ชื่อ SERENITY นี่สนุกเอาการเลยครับ แม้จะไม่ได้ประสบความสำเร็จมาก (แต่เหมือนมีคอมมิคออกมาต่อ? เพราะผู้กำกับยังอยากเล่า) แต่ก็เป็นงานที่ทำให้เห็นว่าผู้กำกับเล่าเรื่องได้สนุก และแม้(ตอนนี้จะ)ไม่ได้กำกับมหากาพย์สงครามดาว แต่ต่อมาผู้กำกับชื่อ จอส วีดอน คนนั้นก็ได้ไปกำกับอภิมหากาพย์รวมดาวซูเปอร์ฮีโร่อย่าง AVENGERS (ที่ก็ใต้ชายคาปราสาทมิกกี้เหมือนกันแล้วตอนนี้) ถือว่าชวนดูหนังสเกลเล็กแต่สนุกดีเอาไว้ละกันครับ



ปล. ไหนๆแม้ อัลตรอนถล่มโลก จะดูน่าผิดหวังในสายตาปราสาทมิกกี้ (ในเรื่องรายได้) ก็ตาม แต่อีท่านี้ถ้า STAR WARS ทำได้ดังหวังหรือมากกว่า ก็...ปัดฝุ่นเอา TRON ภาค 3 ที่เหมือนจะกะวางฝุ่นจับยาวมาลองดูๆมั้งก็ดีนาฮะ...

ปล.2 หา อะไรนะ?! ไดโนแสนดี ยังทำเงินได้ไม่เท่าไหร่!? อืม...จริงๆเรื่องนี้(นอกจากภาพสวยมากก)ก็สนุกดีนะครับ ยังไม่ได้เขียนถึงเลย แต่เพ่เล่นเอามาลงชนปีเดียวกับ INSIDE OUT นี่มันก็...

ปล.3 อย่างไรก็ยืนยันว่ามหากาพย์สงครามดาวภาคนี้แคสมาดี ขนาดโปสเตอร์ สัญจรผ่านตอนไปดูเห็นเวอชั่นที่แปะมานี่เข้ายังอยากเอาเวอชั่นนี้มาแปะแทนอันหลักเลย

ปล.4 ห๊า! อะไรนะ?! เขาว่า BB8 เป็นผู้หญิง!!!??? งั้น...ภาคนี้ก็ไม่มีพระเอกเลยซิ เอ้า! หมดกัน... (เอ่อ อันนั้นก็เกินไปนะไม่หรอก ยังมีอยู่น่า... แต่ก็ทำให้เห็นว่า ภาคนี้พลังหญิงมีบทบาทมากครับ ดูกันต่อไป)

ปล.5 อันนี้ก็ดู 3D มา จำฉากยานเหมือนจะเป็น STAR DESTROYER ยื่นมาจะแยงตาได้ฉากเดียว... คิดในใจว่า บินเข้ามาใกล้อีกๆแยงตาตรูเลย...อืม... เป็นเอามาก...
 

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ5 เมษายน 2565 เวลา 19:03

    The King Casino Online ᐈ Get 50% up to €/$100 + 50 Free Spins
    Get 50% up to €/$100 + 50 Free Spins · หาเงินออนไลน์ Visit 출장안마 the official site · https://septcasino.com/review/merit-casino/ Log in to your Casino Account · If you do not agree to the terms https://access777.com/ of the terms https://jancasino.com/review/merit-casino/ of the agreement,

    ตอบลบ