วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

THE MARTIAN กู้ตาย 140 ล้านไมล์ : ความรู้ท่วมหัว (ได้)เอาตัวให้รอด(ก็คราวนี้) ที่ระยะทางไกล 12.7 นาทีแสง




แสงนั้นเดินทางในสุญญากาศด้วยความเร็ว 299,792,458 เมตรต่อวินาที หรือ 186,282.397 ไมล์ต่อวินาที (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย) เอาล่ะครับ เข้าเรื่องกันดีกว่า... ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานแนวไซไฟของ ริดลี่ย์ สกอต ที่จะเป็นผู้ดูแลชมภาพยนตร์สายไซไฟ สายบันเทิง สายซีเรียส สายอวกาศ ก็ไม่น่าพลาด หนังเต็มไปด้วยข้อมูล แต่ก็ผสมรวมความขึงขัง น่าหวาดหวั่น ระทึก กดดัน พร้อมกับความบันเทิง เจือด้วยอารมณ์ขันไว้อย่างไม่น่าเชื่อ นักแสดงจะนำหรือจะตามก็เล่นดีกันทุกคน ข้อมูลเยอะแต่ดูให้ไม่งง(ก็)ได้ เอาไป 9.0 ครับ แพ้หนังซีเรียสที่บันเทิง (อะไรฟระ?!)


THE MARTIAN นั้นสร้างจากนิยายที่เริ่มดังจากช่องทางออนไลน์ ดังจนได้ออกเป็นฮาร์ดก๊อปปี้ตามมาเลยทีเดียว (มังถ้าจำไม่ผิด) เกี่ยวกับนักบินอวกาศคนหนึ่งที่ประสบเหตุให้ต้องติดอยู่บนดาวอังคาร ในขณะที่ลูกเรือคนอื่นๆต่างคิดว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว การติดต่อไปถึงโลกจนค้นพบว่าตัวเขายังมีชีวิตอยู่นั้นสร้างความตื่นตะลึงอย่างมาก และ NASA ก็ต้องรวบรวมบุคลากรและสรรพความรู้เพื่อขบคิดวิธีการในการนำเขากลับสู่ดาวบ้านเกิด เมื่อค้นพบว่าตนเองจะต้องใช้ชีวิตอยู่บนดาวอังคารไปอีกนาน พระเอกของเราก็ต้องใช้ความรู้ติดตัว และทรัพยากรเท่าที่มีมาลองพยายามปรับใช้เพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอดไปจนถึงวันที่จะมีคนมารับกลับบ้าน ซึ่ง...เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนี่หว่า...


เสียงชื่นชมของ THE MARTIAN ถ้าจำไม่ผิดก็มีมาแต่ครั้งเป็นหนังสือ ว่าเป็นนิยายวิทยาศาสตร์เรื่องนึงที่มีข้อมูลรายละเอียดสมจริงมาก (สมจริงแค่ไหนยังไงสำหรับผู้สนใจลองค้นข้อมูลกันดูนะครับ) กับพลอตที่ดูสุดมากเอาการกับการต้องพยายามดำรงชีวิตอยู่บนดาวอังคารให้ได้ และเมื่อส้รางเป็นหนังมันก็ยังคงเรื่องของข้อมูลและความสมจริงไว้ได้ในระดับที่ดี รู้สึกว่า NASA จะสนับสนุนหนังเรื่องนี้เหมือนกัน และจะอนุญาตให้ไปถ่ายทำอะไรซักอย่างด้วย ซึ่งก่อนนี้ไม่ค่อยมีหนังที่ได้รับสิทธิ์นี้เท่าไหร่ และได้รับสิทธิ์ฉายในสถานที่ของ NASA ที่ไหนซักที่นี่แหละ (จำรายละเอียดลางๆได้แค่นี้) ซึ่งก็คงช่วยการันตีความเข้มข้นจริงจังของหนังได้ในระดับนึงทีเดียว



อีกด้านปู่ ริดลี่ย์ สกอต ซึ่งยังคงมีงานกำกับอย่างแข็งขัน ทั้งที่อายุอานามไม่ใช่น้อยๆแล้วเหมือนกัน เปลี่ยนเป็นเรียกลุงดีกว่าครับเพื่อความสนิทสนม (ด้านอายุเรอะ?!) จริงๆ ลุงเป็นผู้กำกับคนนึงที่กำกับหนังไซไฟไว้จำนวนหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งก็มีความน่าสนใจและความเจ๋งในตัวแตกต่างกันไปทุกเรื่องเลย ชอบ! ขณะเดียวกันลุงก็กำกับหนังหลากหลายแนว(มาก) ดราม่า มาเฟีย แอ็คชั่น พีเรียด สายลับ นักรบ ไซไฟ เอเลี่ยน แอนดรอยด์ ขโมยขโจร ซีเรียสข้นคลั่ก หรือมีโทนเบาๆประกอบ ฯลฯ ก็ทำมาหมด โทนและเนื้อหาหลากหลาย และมีงานสร้างชื่อมาเรื่อยๆตั้งแต่ครั้งอดีต (ส่วนน้องชาย โทนี่ สกอต ซึ่งเป็นสายหนังแอ็คชั่นเต็มตัวกว่า และหลายๆเรื่องที่เขากำกับก็สนุกมากๆนั้นจากไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้นัก…เสียใจและเสียดายจริงๆ) และยังกำกับหนังมาอย่างสม่ำเสมอ (ปีก่อนก็มีเรื่อง EXODUS : GODS AND KINGS) ซึ่งผมก็มีหนังของลุงที่ชอบมากๆไปจนถึงไม่ค่อยชอบเลย แต่สายไซไฟยังไม่มีเรื่องที่ไม่ชอบเลยครับ (ชอบ!) แม้หลังๆงานลุงอาจก่ำๆกึ่งๆไม่เปรี้ยงนักซะหลายเรื่อง แต่เรื่องนี้นี่ ปรบมือ


แม้จะเป็นสายไซไฟ แต่ THE MARTIAN ก็ต่างจากโทนหนังไซไฟก่อนหน้าของลุงมากอยู่ (รวมถึงจะว่าไปก็โทนหนังส่วนใหญ่ของลุงด้วย) ไล่เรียงมาจากอภิมหาตำนานอย่าง ALIEN ภาคแรก ที่ค่อยๆสร้างบรรยากาศกดดันอย่างกะหนังยุโรป (จำมาจากใครไม่รู้) ไปจนบางคนถ้าไม่กลัวหรือติดตามเรื่องราวอย่างสุดระทึกก็อาจจะหลับได้ (แต่ผมไม่หลับนะ) จนไปอัดกันครึ่งหลังนี่แบบ… หรือหนังไซไฟอนาคตเมืองมืดสุดคัลท์อย่าง BLADE RUNNER ที่สร้างจากเรื่องของ ฟิลิป เค ดิ๊ก หนึ่งในหนังประดับดาวสมัย ลุงแฮริสัน ฟอร์ด ยังเอ๊าะๆ (เรื่องหน้าของลุง จะอะไรซะอีก ก็อุบัติการพลังเรื่องนั้นที่จองกันข้ามปีไปแล้วไง(มัง?)) กระทั่ง PROMETHEUS ที่เป็นหนังย้อนตำนาน ALIEN ซึ่งทีแรกกลัวมากว่าจะแป๊ก แต่พอออกมาก็แบบ อ่าว ก็ดีนี่นา แม้ไม่ชอบมากกว่า ALIEN ภาคแรก แต่ก็ยังชอบนะครับ แล้ว...ผมจะพล่ามถึง(นอก)เรื่อง(หนังไซไฟ)นี้ทำไมเยอะแยะ ไว้มีโอกาสค่อยพล่ามถึงหนังลุงยาวๆไปเลยอาจจะดีกว่า อืม…


อีกรอบนะครับ แม้จะเป็นสายไซไฟ แต่ THE MARTIAN ก็ต่างจากโทนหนังไซไฟก่อนหน้าของลุงมากอยู่ ด้วยความที่เรื่องก่อนๆนั้นอาจมีองค์ประกอบที่เป็น อนาคต หรือ แฟนตาซี ประกอบอยู่ในระดับที่ทำให้รู้สึกว่ามันเป็นโลกอีกใบนึง ไม่ใช่โลกของเราตอนนี้ และหนังก็ดูจะเน้นและกดดันกันด้วยบรรยากาศดาร์ดๆ มืดๆ กันหมด THE MARTIAN จึงดูต่างไปจากกลุ่มเพื่อนหนังไซไฟบาย ริดลี่ย์ สกอต อยู่โขเหมือนกัน แทนที่จะเน้นกันที่จินตนาการ สยอง หลุดโลก หรือดูอนาคตมากๆ THE MARTIAN จึงเป็นหนังที่ทำให้รู้สึกว่าอยู่ใกล้ๆชีวิตปัจจุบันของเรามากกว่า ใกล้ตัวกว่า (อย่างที่แสดงให้เห็นในทีเซอร์ตัวแรกๆที่ปล่อยมา พูดถึงการยื่นมือช่วยเหลือของเพื่อนมนุษย์ - ซึ่งจริงๆเห็นตัวอย่างอันนี้ตอนนั้นก็ยังไม่ได้อยากดูเท่าไหร่) ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยรายละเอียดที่ช่วยเสริมความสมจริงให้กับเรื่องซึ่งมากมายเยอะแยะเอาการทีเดียว ทั้งเรื่องราวในหนังก็น่าจะสร้างความอกสั่นขวัญแขวนยามที่เราจินตนาการว่าเราลองไปติดอยู่ในสถานการอย่างตัวเอก (กรูตายแน่นอน ไม่ต้องสืบ)  ที่ต้องดิ้นรนท่ามกลางดาวเปล่าเปลี่ยวเช่นนั้น ด้วยเครื่องไม้เครื่องมือจำนวนหนึ่งอันจำกัด กับการรอคอยที่ไม่แน่ใจว่าจะมาถึงหรือไม่? และยังมีอะไรๆที่อาจจะผิดพลาดได้อีกมากมายในระหว่างการรอคอยนั้น  จนน่าหวั่นกลัวว่าความพยายามทั้งหมดที่เราเพียรเค้นสมองคิดทำออกมาสุดท้ายแล้วจะไม่สามารถนำพาชีวิตให้รอดกลับบ้านได้… มันน่ากลัวจริงๆ ซึ่งหนังก็สามารถสร้างบรรยากาศที่ว่านี้ให้ส่งผ่านมาถึงผู้ชมได้ และที่เซอไพรส์คือ แทนที่หนังประมาณนี้ เนื้อหาประมาณนี้จะถูกเล่าออกมาอย่างซีเรียสจริงจังกดดัน และมีความลุ้นระทึกอยู่ในตัว ได้ไม่แพ้ไซไฟโลกมืดอย่างสามเรื่องของลุงเองข้างต้น มันกลับผสมรวมเอาอารมณ์ขัน และความบันเทิง ไว้ในหนังด้วยได้อย่างไม่น่าเชื่อ เรียกว่าครบจริงๆครับ กับหนังที่พลอตใหญ่ ประเด็นหนักหน่วง แต่สามารถนำเสนอออกมาให้บันเทิง และผสมอารมณ์ขันไว้ได้ โดยที่ยังเก็บทุกอย่างที่ว่ามาไว้ในหนังได้ (ขณะเดียวกันผมไม่ได้อ่านต้นฉบับ จึงไม่รู้ว่าโทนของนิยายต่างจากโทนของหนังมากน้อยขนาดไหนนะครับ) (แถม : ล้มล้างคำสาปหนังฮอลลีวู้ดหลายเรื่องที่เกี่ยวกับ ดาวอังคาร และเจ๊งไปเป็นแถบๆก่อนหน้านี้มาเป็นเวลานึงได้ด้วย) ทั้งรายละเอียดที่มากมายซึ่งพูดไปอย่างนี้จะน่ากลัวว่าจะทำให้ผู้ชมมึนงง ก็ไม่ได้งงอย่างที่คิด (อย่างน้อยก็ไม่น่างงเท่า INTERSTELLA หรือ THE MATRIX แน่ๆ) ค่าที่ว่าผู้ชมสามารถรับสารได้โดยยังรู้เรื่องเรื่องราวของหนังได้ในหลายระดับ (คือรู้มากกว่าก็อาจติดตามประเด็นหรือรายละเอียดยิบย่อยได้มากกว่า) ขณะที่ยังติดตามเรื่องราวของหนังได้อย่างไม่ติดขัด ซึ่งคงต้องยกให้เป็นความดีของทั้ง ต้นฉบับ ผู้กำกับ ทีมงานทุกคน โดยเฉพาะนักแสดงนำอย่าง แมต เดมอน ที่เล่นดีจริงๆ ปล่อยมาไม่มากไม่น้อยเกินไป มีทั้งอารมณ์ขัน และความเคร่งเครียดเมื่อเวลามาถึง มีทั้งประกายตาของความหวัง บางคราวก็เจ็บปวดและสิ้นหวัง และการไม่ย่อท้อ (แม้จะต้องล้มบ้าง) อาจมีข้อครหาอยู่บ้างว่าในสถานการณ์แบบนั้นมันจะยังขำขันบันเทิงกันได้ขนาดนี้จริงๆหรือ? แต่ส่วนตัวปล่อยผ่านประเด็นนี้ไป เพราะตอนดูแม้จะสงสัยแบบนี้บ้าง แต่ใจนึงก็คิดว่าในสถานการณ์แบบนั้นที่ต้องติดอยู่บนดาวห่างไกล (อย่าหวังว่าใครจะบังเอิญผ่านมาแถวนี้) กับความรู้ในหัวอุปกรณ์ติดมาจำนวนหนึ่งที่ต้องพึ่งสรรพวิทยาและความช่วยเหลือและยังอื่นๆอีกมากมายนั้น...ถ้าไม่ได้เป็นคนมีอารมณ์ขันถึงระดับหนึ่งแล้วมันจะพาใจให้รอดไปได้หรือเปล่า? (ตอนนึกแบบนี้ นึกไปถึง THEORY OF EVERYTHING หนังชีวประวัติของ สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง หน่อยๆ  - ส่วนถ้าเป็นกรู...ตายแน่นอน - บอกไว้อีกที) และความดีอีกอย่างของหนัง คือ นักแสดงคนอื่นๆทุกคน (ย้ำอย่างนี้เลยว่าทุกคน) ซึ่งถือเป็นรายละเอียดอันมากมายและสมจริงอีกอย่างในหนัง ว่าเรื่องราวใหญ่โตประมาณนี้มีโอกาสต้องเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก และนักแสดงทุกคนที่มารับบทบาทเป็นตัวละครต่างๆๆในเรื่องก็ทำหน้าที่ได้ดีมากทุกคน บางคนยังมีช่วงขโมยซีนเป็นของตัวเองได้อย่างหน้าตาเฉย และแม้คราบไคลของหนังจะไม่ได้หนีไปไกลจากแนวหนังสูตรฮอลลีวู้ดอยู่บ้าง ขณะเดียวกับที่ความเป็นเหตุเป็นผลแต่ละอย่างในหนังก็มีเพียงพอให้เรารู้สึกว่ามันน่าจะใกล้เคียงกับเรื่องจริงๆถ้ามันจะเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้นได้ทีเดียว หนังก็ฉีกตัวเองออกไปได้ไกลจากหนังสูตรดาดๆ ด้วยหลายอย่างประดามีที่สาธยายมานี้เอง ยกนิ้วให้ลุงไว้ ณ ที่นี้ด้วย  

เรียกได้ว่าเป็นส่วนผสมติดเซอไพรส์ที่เห็นคะแนนวิจารณ์จากคนอื่นก็ยังไม่เชื่อเสียทีเดียว แต่ที่ตรากตรำไปดู (3D ไกลที่พัก - ทำไมรอบ 3D ไม่ไกลที่พักนักนี่จัดมาเหมือนไม่อยากให้ไปดูกัน?) นี่ก็คุ้มค่าจริงๆ อ่าวไม่ได้พูดถึง 3D เลย อืม…3D ก็ดีครับ…เพราะงั้นเอาไป 9.0 แบบ อวยๆนิดหน่อยด้วยความเต็มใจ



ปล.1 มีคนล้อว่า แมต เดมอน กับ เจสซิก้า แชสแทน มาเล่นภาคต่อ INTERSTELLA ความที่ลุค(จากโปสเตอร์มัง)มันคล้ายกันเหลือเกิน ซึ่งดูผาดๆ...ก็จริง 55 (เครื่องแต่งกายเครื่องไม้เครื่องมือบางอย่างในเรื่องนี้ถูกปรับดีไซน์เรื่องหน้าตา มากกว่าเครื่องมือจริงของ NASA ที่เน้นประโยชน์ใช้สอยมากกว่านะครับ) เรื่องนี้พลอตไม่ซับซ้อนเท่า INTERSTELLA แต่ใครชอบเรื่องนั้น ก็ไม่คิดว่าจะดูเรื่องนี้ไม่สนุก ขณะเดียวกันถ้าไม่ชอบความ(อาจจะ)มึนของ INTERSTELLA ก็ยังอาจดูเรื่องนี้ได้สนุกอยู่ดีครับ 

ปล.2 นอกจาก แมต เดมอน แล้วนักแสดงทุกคนก็เล่นได้ดีกันหมดจนชวนงง(จะงงทำไม?!) คนหนึ่งที่แม้บทจะน้อยกว่าแต่ก็มีช่วงโดดเด่นของตัวก็น่าจะคือ เจสซิก้า แชสแทน นี่แหละครับ ซึ่งเธอก็เล่นได้ดีจริง สมกับที่บอกว่าอยากเล่นฉากในอวกาศมากหลังจากอิจฉาคนอื่นๆใน INTERSTELLA ที่เธอไม่มีโอกาสได้ออกไปนอกโลกกับเขาบ้างเลย (รู้สึกอ่านมาจาก Flickz มัง?)

ปล.3 สำหรับคนอื่นยังไงไม่รู้ แต่สำหรับผมน้องแว่นในห้องควบคุมนี่ขโมยซีนมาก

** ตอนนี้หนังก็ได้ชิงลูกโลกทองคำไปแล้วนะครับ ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประเภทเพลงหรือตลก ???!!!! หือ???!!! เอา แบบ นั้น นะ ฮะ ? ? อืม...แม้หนังจะมีอารมณ์ขันผสมอยู่ในปริมาณที่ไม่น่าเชื่อ (แบบว่าผิดคาด) แต่ก็ว่ามันไม่ใช่จะตั้งหน้าตั้งตาตลกขนาดนั้นนะ เรียกว่าเป็นหนังสนุกจะดูเหมาะกว่า อย่างไรแม้จะคิดว่าลูกโลกทองคำคงอยากถัวๆรางวัลกระจายๆกันให้ทั่วๆหน่อย บางอันเลยดูแหม่งๆไปบ้าง(มัง) แต่ยังไงการเข้าชิงก็พอจะการันตีหนังได้ในระดับหนึ่งล่ะนะ (ว่ามันตลก!-ไม่ไม่เราว่ามันไม่ตลกขนาดนั้นนะ!)



แนะนำ


หลายคนรู้พลอตของ THE MARTIAN แล้วอาจนึกถึง CAST AWAY หนังติดเกาะแสดงนำโดย ทอม แฮงค์ บ้างก็ได้ ซึ่งแม้สถานที่ที่ติดจะห่างกันไกลเป็นล้านไมล์ และรายละเอียดของการ ต้องรอด ก็ต่างกันมากอยู่ (เช่น ทอม แฮงค์ (ใช่ชื่อ ชัค โนแลน ในหนังไหมนะ? ไม่ค้นด้วย แว่บมาก็ใส่เลย) มีม้วนวิดีโอ(VHS หรือ BETA ไม่แน่ใจ?) แช่น้ำ (หลายคนรู้จักกันใช่ไหมครับ?) กับลูกวอลเลย์บอล) แต่เราคงได้สัมผัสถึงความโดดเดี่ยวและการต้องดิ้นรนของตัวละครเช่นกัน 






อีกเรื่องหนึ่งที่คิดว่าคงมีคนได้ดูน้อยกว่า คือ ALL IS LOST ซึ่งเป็นงานฉายเดี่ยวของลุง โรเบิร์ต เรดฟอร์ด ซึ่งผมชอบมากๆเอาการ เกี่ยวกับการต้องไปเรือล่มอยู่กลางทะเล (อย่าว่าแต่เกาะจะให้ติดก็ไม่มี) พลอตก็ไม่ค่อยมี ลุงเล่นได้สุดยอดมาก สะเทือนในหลายช่วง ถ้ามีโอกาสอาจจะเขียนถึงหนังเรื่องนี้ สำหรับอารมณ์แห่งความโดดเดี่ยว และการต้องดิ้นรน เพื่อ 'รอด' และ 'กลับไป' ให้ได้ แนะนำให้ลองหามาดูครับ แม้สองเรื่องนี้อาจจะโทนต่างจาก THE MARTIAN ที่มีคนบนจอหนังเยอะกว่า(แต่ก็โดดเดี่ยว) แต่ทั้งสามเรื่องก็แสดงให้เห็นถึงการดิ้นรนเพื่อกลับสู่สถานที่ที่เคยจากมาได้อย่างเห็นภาพและเสียดแทงหัวใจทีเดียว (แม้ว่า THE MARTIAN จะผสมความบันเทิงไว้ได้ในปริมาณมากแบบไม่น่าเชื่อก็ตาม)  




สำหรับความเวิ้งว้างในอวกาศ ไม่ต้องไปไกลถึงหนังไซไฟคลาสสิคอย่าง 2001:A SPACE ODYSSEY (แต่ฉายปี 1968) ลองไปดูกันแค่ GRAVITY ของผู้กำกับ อัลฟองโซ คัวรอง ที่แทบเหมือนเป็น แซนดร้า บูลล๊อก ฉายเดี่ยว ที่สุดทะเยอทะยานด้านเทคนิคการถ่ายทำ นี่ก็พอ เพิ่งผ่านตากันไปไม่นานเองครับ  











หนังชอบของ ริดลี่ สกอต ที่เคยดู (บางเรื่องที่เขาว่าดีก็ยังไม่เคยดู เช่น THELMA & LOUISE) ยกเว้นไซไฟ 3 เรื่องก่อนหน้าที่พูดกันจนเบื่อแล้วข้างต้น ไม่นับหนังออสการ์ (ที่บางเรื่องก็คงต้องบอกว่าดูยากหน่อย) ที่ดูเอาบันเทิงได้อย่างดี อย่าง GLADIATOR (แต่ลุงไม่ได้รางวัลผู้กำกับนะ) ก็อยากแนะนำ หนังสงครามกลางเมืองสุดขึงขังที่ภาพสวยมากจนตกใจตอนดูในโรง ว่ากดพอสไว้ตรงไหนแล้วสแนปภาพมาก็คงได้ถาพสวยทุกช๊อตเลยมัง ก็คือ BLACK HAWK DOWN และหนังสเกลไม่ใหญ่โตแต่ชอบอีกเรื่องคือ MATCHSTICK MEN ชอบมากเอาการ เป็นหนังที่ถือว่ามีอารมณ์ขันผสมซึ่งต่างจากโทนงานส่วนใหญ่ของลุงอยู่เหมือนกัน แต่เรื่องนี้ชอบมากครับ อาจมีโอกาสได้เขียนย้อนๆถึงหนังลุงบ้างก็ได้ ถ้าไม่ขี้เกียจ...









สุดท้าย นิยายต้นฉบับมีลิขสิทธ์แปลไทยมาซักพักใหญ่แล้วครับ ใช้ชื่อ เหยียบนรกสุญญากาศ โดย สนพ.น้ำพุ แต่ผมเองก็ยังไม่ได้ซื้อหามาอ่าน ก็น่าสนใจที่จะไปลองอ่านพิสูจน์ความยอดเยี่ยมของต้นฉบับว่าเป็นไปตามคำร่ำลือหรือไม่? ต่างกับหนังมากไหม? ตลกเท่าหนังไหม?(บอกแล้วไงว่าไม่ใช่หนังตลก!) ซึ่งเรื่องราวของการปรากฎโฉมสู่สายตาชาวโลก (เฮลโล เวิร์ล) ของนิยายเรื่องนี้ก็มีเกร็ดสนุกและน่าตื่นเต้นดีไม่แพ้ตัวหนัง ลองหาอ่านที่มาที่ไปกันดูได้ฮะ ไม่ก็ถ้าไม่ขี้เกียจ ผมอาจจะ... อืม...สรุปว่าลองไปหามาอ่านกันดูตามอัธยาศัยละกันครับ ฉบับพิมพ์หลังๆมีเปลี่ยนปกเป็นรูป แมต เดมอน ตามภาพยนตร์ด้วยมัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น