วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

รุ่นพี่ : คอนแวนต์ กลิ่น ผี วัยรุ่น รัก ฆาตกรรม สนุกมาก



ใครที่ได้เห็นตัวอย่างหนังของ รุ่นพี่ (โดยเฉพาะที่มีเพลงประกอบ เธอเดินเข้ามา ร้องโดยน้องพลอยชมพู นางเอกของเรื่องด้วย) แล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ กระตุ้นรึกระตุกต่อมอยากดูได้ อารมณ์ของหนังก็เป็นไปตามนั้นเลยครับ ตบเท้าเข้าโรงไปดูได้ แล้วคุณจะไม่ผิดหวัง อืม...สำหรับคอหนังผีที่ชอบหนังผีแบบน่ากลัวมากๆ ต้องจิกพนักเก้าอี้รึปิดตาทุก 3 นาที ต้องบอกไว้ก่อนว่าหนังไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ไม่ต้องเตรียมตัวไปตั้งหน้าตั้งตาจิกพนักเก้าอี้ แต่หนังนั้นสนุกมาก 8.1 คะแนน คำเตือน : เรื่องนี้ผีเยอะกรุณาจำผีให้ได้ระหว่างดู

จริงๆแล้วสิ่งที่เรียกความสนใจแรกของหนังเรื่องนี้สำหรับไม่ใช่ตัวอย่างหนังหรอกครับ แต่เป็นป้ายแปะว่ากำกับโดย วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง

แม้ว่าจะยังไม่ได้ถือตัวเป็นแฟนหนังผู้กำกับ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง แบบเหนี่ยวแน่นอะไร ผู้กำกับหนังอย่าง ฟ้าทะลายโจร หมานคร เปนชู้กับผี และ อินทรีย์แดง (ชอบหลายอย่างในหนังหลายเรื่องของเขา และชอบ หมานคร มาก) แต่นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้สนใจอยากดู รุ่นพี่ หลังเห็นตัวอย่างหนัง อีกอย่างหนึ่งก็คือในขณะที่รู้สึกว่าจุด(ที่คิดเอาเองว่า)เด่นในหนังเรื่องก่อนๆของคุณ วิศิษฏ์ เจือจางลง แต่สิ่งที่เห็นจากตัวอย่างหนังทั้งเรื่องที่เกิดในคอนแวนต์ ตัวละครวัยรุ่น คดีฆาตกรรมและผีรุ่นพี่ สรุปรวมความเหมือนเป็นหนังวัยรุ่นในโรงเรียนฝรั่งที่มีเรื่องของผี ฆาตกรรม และความรัก พร้อมเพลงประกอบป๊อบติดหู ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ดูตลาดกว่า (แต่เรื่องนี้เอาจริงๆก็คงวัดกันลำบาก) แถมยังมีตัวเอกหญิงที่ได้กลิ่นผี พร้อมกับผีรุ่นพี่ที่ปกปิดใบหน้าในตัวอย่างหนัง ความประหลาดในความรู้สึกนี้จึงเป็นช๊อตที่สองสำหรับผมที่ทำให้รู้สึกว่าหนังน่าสนใจ และก็ตัดสินใจว่า เอาล่ะ ไปดูดีก่า

ผลปรากฎว่า หนังสนุกมาก

ปูพื้นที่ตัวละครหญิงที่มีความดำมืดในชีวิตอย่างม่อน ที่มีสัมผัสพิเศษที่มีจมูกไวมาก ไวกระทั่งได้กลิ่นผี จนได้พบกับผีนักเรียนชายในอดีต พร้อมกับคำขอร้องประหลาดในฐานะที่ม่อนรับรู้ตัวตนของเขาได้ (ผ่านการได้กลิ่น) ให้ช่วยไขคดีฆาตกรรมในอดีต ที่เขาเคยต้องการไข แต่ทำไม่สำเร็จ จนเป็นเรื่องค้างคาที่ทำให้เขายังวนเวียนอยูในสถานที่นี้ ซึ่งเป็นจุดเริ่มของเรื่อง



แม้องค์ประกอบของหนังเรื่องนี้จะมีหลายอย่างปะปนกัน ทั้งการเป็นหนังวัยรุ่น หนังผี หนังรัก หนังสืบสวน หนังดราม่าชีวิต (เนื่องจากแบ็กกราวด์ตัวละครหลายตัวในเรื่องทั้งหลักและรองนั้นดูหนักหนาและน่าสงสารมาก) และเอาเข้าจริงไม่มีด้านใดเลยที่หนังอย่าง รุ่นพี่ ชูได้เปล่งประกายที่สุด แต่พอรวมกันแล้วมันกลับถูกเล่าออกมาได้น่าติดตาม และดูสนุกอย่างไม่น่าเชื่อ (จนตอนดูไปดูไปเราก็ไม่สนเรื่องประเภทหนังแล้วว่ามันจัดออยู่ในหนังแนวไหนดี แต่มันสนุก) และองค์ประกอบหลายอย่างก็มีปะปนกัน

ยกตัวอย่างสิ่งที่เห็นจากตัวอย่างและดึงความน่าสนใจค้นหาไว้อย่างหนึ่งคือโฉมหน้าที่แท้จริงของรุ่นพี่ ที่ไม่ได้เผยออกมาให้เห็นง่ายๆจนทีแรกคิดว่าหนังจะพยายามเอาตรงนี้มาเล่น แต่เอาเข้าจริงคนดูอย่างเราก็กลับได้เห็นหน้ารุ่นพี่ตั้งแต่ช่วงแรกๆ (อ่าว) แต่แม้จะไม่ได้เล่นท่ายากในส่วนนี้ การที่หนังเผยตัวของรุ่นพี่ให้คนดูอย่างเราได้เห็นก็เป็นการช่วยสร้างความสัมพันธ์และเคมีระหว่างสองนักแสดงนำให้คนดูอย่างเราติดตามได้ง่าย ซึ่งอาจเป็นตัวเลือกที่ดีก็ได้ (ไม่ได้คิดมากแล้วตอนนั้นเพราะมันดูสนุก) เพราะในหนังเรื่องนี้ตัวละครรองและซับพล๊อตในเรื่อง (และซับพล๊อตของตัวละครรองอีกที) รู้สึกว่ามันมีเยอะมาก แม้จะรู้สึกแปลกอยู่บ้าง แต่จริงๆมันก็ไม่ได้ขัดการดำเนินเรื่องจนรู้สึกสะดุดอะไร (แค่รู้สึกว่าบางอย่างมันเหมือนขาดๆไป) ในส่วนนึงที่เพิ่มเรื่องราวคอยดึงหรือเปลี่ยนจังหวะหนัง การดำเนินเรื่องโดยตัวละครหลักก็ยังถูกโฟกัสไว้เป็นหลัก และเคมีของทั้งสองนักแสดงนำนั้นก็เข้ากันได้ดีและน่าติดตาม พร้อมกับที่ยังมีพื้นที่ให้ตัวละครนำได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆด้วย การที่แกนของหนังเลือกเป็นหนังวัยรุ่นก็อาจมีส่วนทำให้หนังทำตัวผ่อนคลายกับองค์ประกอบซึ่งเป็นหนังแนวอื่นๆลง ซึ่งอย่างที่บอก ไม่ได้เป็นสุดยอดหรือไม่มีข้อติข้อสงสัย เช่น ถ้าเป็นหนังผีก็ไม่ได้ว่าจะน่ากลัวที่สุด แต่มีช๊อตให้สะดุ้ง และมีช่วงให้หลอน (และแม้จะมีอารมณ์ขันผสมก็ไม่ได้เป็นโทนอย่างหนังบุปผาราตรีภาคแรก หรือคนกลาง คนกอง ใน สี่แพร่ง ห้าแพร่ง) แนวสืบสวนแม้พลอตจะวางให้ซับซ้อนและมีรายละเอียดมากพอควรแต่ก็ไม่ได้คมมากจนไม่มีข้อสะดุดหรือสงสัย หรือกระทั่งตรรกะของผีในเรื่องที่ตั้งกฎเกณฑ์บางอย่างไว้ อย่างการที่ผีแม้จะสื่อสารกับคนในปัจจุบันได้ แต่ที่ที่เขาติดอยู่ก็คืออดีตในช่วงที่เขามีชีวิต ทำให้เขาไปๆมาๆได้เฉพาะในขอบเขตของโลกเก่าของเขา นั้นก็ไม่ใช่ว่าจะแน่นหนาจนไม่สะดุดสงสัยในบางอย่าง แต่เอาเข้าจริงเราก็ไม่ได้สนการนั่งจับผิดอะไรมาก ยิ่งการเอาบรรยากาศของผีมาปะปนกับหนังสืบสวนและมีบรรยากาศแฟนตาซีอยู่บ้าง ก็ทำให้ขอบเขตของหนังเลือนจางไป แทนที่จะบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังผี รึหนังสืบสวน คงต้องบอกว่าเป็นหนังที่องค์ประกอบของผี รึสืบสวนมาใช้ เพื่อเล่าให้สนุกมากกว่า และการที่หนังดำเนินเรื่องอย่างลื่นไหล พร้อมกับจริงๆที่มันมีรายละเอียดมากเอาการ (แต่ไม่งง) อะไรที่สะดุดๆเราก็จับไว้ไม่ค่อยทัน นอกจากจะติดตามเรื่องราวให้สนุกมากกว่า

หนังเรื่องนี้จึงมีบรรยากาศผ่อนคลายกว่าหนังเรื่องอื่นๆของคุณ วิศิษฏ์ และรู้สึกว่าเป็นหนังทำเอาสนุก ซึ่งหนังก็สนุกจริงๆ มีการผสมอารมณ์ขันเอาไว้เยอะในหนัง (ทั้งที่แบ๊กกราวด์หลายเรื่องเครียดเอาการ - -) (มุกบางมุกยังไม่นึกว่าจะกล้าเล่น เอาจริงๆ - มุกบางมุกก็ซับซ้อนแบบ นี่คิดไว้เผื่อเล่นมุกรึเปล่านี่? แบบนี้เลย - -) และส่วนใหญ่ให้ผลลัพธ์ที่ดี อาจไม่ได้ขำคำโตทุกมุกแต่ก็เพลินดี ทั้งบางอันยังเป็นไปได้ทั้งน่ากลัวทั้งตลกในเวลาเดียวกัน พร้อมกับยิงมุกที่ไม่น่าเชื่อว่าจะยิง ได้ผลเป็นมุกบ้าฮาได้หน้าตาเฉย (จะไม่บอก ไปลองดู) ส่วนเรื่องของการแสดงแม้ช่วงเริ่มตอนการเล่าเรื่องหรือการแสดงจะดูเก้ๆกังๆอยู่ แต่เมื่อเรื่องดำเนินไปทั้งสองอย่างก็ดูราบรื่นขึ้นไปเอง (หรือไม่เราก็ชิน? แต่จริงๆถือว่าการแสดงโอเคนะ)

เรื่องที่คุณ วิศิษฏ์ ไม่ได้ทิ้งไปในหนังเรื่องนี้ และดูจะมีปรากฏมาตลอดในหนังเรื่องก่อนๆของเขา ก็คือเรื่องของเทคนิคพิเศษ ที่ดูจะเอามาเล่น'สนุก'อยู่เยอะ ทั้งจากกฎเกณฑ์เรื่องของผี การปรากฏตัวทั้งอดีตปัจจุบัน ก็เป็นอะไรที่ได้เล่นสนุกในหลายฉากและในฉากส่วนใหญ่ก็ออกมาดีทีเดียว บางตอนอาจทำให้นึกถึงหนังบางเรื่องอย่างบุปผาราตรีอยู่บ้าง และบางครั้งนึกถึงการ์ตูนของ จุนจิ อิโตะ ตะหงิดๆ (ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าความหลอนความแหยงนั้นมีแน่นะฮะ ฮ่ะๆ) รวมทั้งการใช้เสียงในเรื่อง เช่น ตอนนี้นางเอกได้ 'กลิ่น' ก็ทำให้กลายเป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่องได้ดี และสนุก ทั้งเรื่องของดนตรีประกอบ และเพลงประกอบด้วย

แม้จะดูจะต่างออกไปจากหนังที่คุณ วิศิษฏ์ กำกับมาก่อนหน้าพอสมควร ตั้งแต่ ฟ้าทะลายโจร ที่มีกลิ่นอายคาวบอยไทยหิ้วปิ่นโตสีสันจัดจ้าน หมานคร ที่เป็นหนังเซอร์เรียลสไตล์จัดแต่ก็ยังพูดถึงความเชื่อแบบไทยๆแทรกไว้ในหนัง และความเชื่อแบบไทยๆก็ยังคงอยู่ใน เปนชู้กับผี ที่ย้อนบรรยากาศเรื่องให้ไปเกิดในชีวิตไทยๆยุคเก่า มาถึง อินทรีย์แดง แอ็คชั่นฮีโร่จากยุคเฟื่องฟูของหนังไทยในอดีต ที่ดีไซน์หลายๆอย่างที่ผนวกความเป็นไทยลงไปในหนังสไตล์ฮีโร่หน้ากากญี่ปุ่นนั้น เป็นสิ่งที่น่าติดตามอย่างหนึ่งในหนัง หลายๆครั้งจึงรู้สึก(เอาเอง)ว่าหนังของ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง นั้นมีบรรยากาศของอะไรไทยๆ และบรรยากาศย้อนอดีต ปะปนอยู่ แต่เมื่อมองในเรื่องนี้จริงๆ มันก็ยังเป็นการมองย้อนอดีตของไทยได้อยู่ดี แม้จะอยู่ในคอนแวนต์และสถาปัตยกรรมฝรั่ง เพราะจริงๆการศึกษาในไทยว่าไปก็บุกเบิกมาจากมิชชันนารี มีการขอ/ให้สร้างโรงเรียนสร้างตึกเรียน และสถาปัตยกรรมตะวันตกในช่วงนั้นก็มีอิทธิพลกับเมืองชัดเจน ดูอย่างตึกโบราณในกรุงเทพหรือหลายจังหวัดที่มีการพยายามอนุรักษ์ไว้ (ในฐานะเมืองเก่า) ก็เป็นสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตก ส่วนในเรื่องราวของตระกูลผู้ดีเก่านั้น แม้อาจไม่ได้ดูแปลกอะไรมากจากพลอตนิยายสืบสวนหรือหนังอื่นๆ แต่การเป็นชนชั้นผู้มีอันจะกินกับความเป็นตะวันตกในช่วงที่วัฒนธรรมตะวันตกเริ่มแผ่อิทธิพลไปทั่วโลกและเข้ามายังไทยด้วยนั้นก็เป็นส่วนผสมที่เกิดขึ้นจริง แต่เรื่องความแม่นยำอะไรนี่บอกไม่ได้เหมือนกันเพราะไม่ได้รู้ลึกรู้จริงอะไรขนาดนั้น

พลอตที่ให้ความรู้สึกปะปนกับการเป็นนิยายสืบสวนสอบสวนหรือรหัสคดีในส่วนนี้ก็ไม่ได้ต่างจากบรรยากาศนิยายของ อกาธา คริสตี้ ที่มักเล่าเรื่องราวในวงสังคมชั้นสูงมากนัก และมีการวางตัวละครที่อยู่ในข่ายน่าสงสัยปะปนกันไว้พร้อมเพิ่มลดความน่าเชื่อของแต่ละตัวละครไปตามการดำเนินเรื่องเรื่อยๆก่อนนำไปถึงบทสรุป ซึ่งอย่างที่บอกว่าแม้ไม่ได้คมมากนักในส่วนนี้ แต่รายละเอียดของมันก็มากพอให้ติดตามได้สนุก และยิ่งรวมกับองค์ประกอบของผี วัยรุ่น ความรัก ให้ค้นหาเพิ่มเติมไปในระหว่างการเล่า มันจึงเป็นหนังที่ให้ความบันเทิงได้อย่างสนุกสนาน เพราะงั้นคอสืบสวนก็ดูได้นะ (แต่เป็นแบบผ่อนคลายมีผี แฟนตาซีนะฮะ) ชวนไปดู

และแม้จะดูลำบากหน่อยว่าจริงๆอะไรต่ออะไรที่หนังใส่มาเป็นรายละเอียดเยอะแยะยุบยับนั้น (ขนาดผียังเยอะ - เตือนไว้ก่อน) มีอะไรที่แฝงไว้ หรือโฟกัสไว้เป็นพิเศษไหม? แต่ตอนที่ยังคิดไม่ออก ไม่เคลียร์ หรือยังไม่สนใจ ก็เอาเป็นว่ายังไงหนังก็สนุกอยู่ดี (นี่พิมพ์คำนี้มากี่ครั้งแล้วเนี่ย?)

ว่าไปก็มีเรื่องอยากพูดถึงนอกจากบอกว่ามัน 'สนุก' อีกเยอะ (ด้วยความที่มันดูจะทิ้งๆอะไรไว้ในหนังเต็มไปหมด) แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีพอจะเขียนให้เป็นเรื่องราวไหม ไว้ว่ากันอีกที บอกได้แค่ว่าแม้จะแน่ว่านี่ไม่ใช่หนังที่กำกับโดยคุณวิศิษฏ์ ที่ดีที่สุด แต่มันเป็นหนังที่สนุกมาก และคิดว่าคุณวิศิษฏ์ก็คงสนุกด้วย (แต่กำกับก็คงเหนื่อยนะ) ทั้งเรื่องเทคนิคพิเศษที่หลากหลาย (และจากเครดิตท้ายหนังก็ดูเหมือนมีหลากหลายเจ้ามาทำส่วนเทคนิคพิเศษเยอะแยะ น่าจะทั้งบริษัทและฟรีแลนซ์) การเขียนเรื่องทั้งวัยรุ่น ผี รัก สืบสวน ดราม่า แฝงความนัย(?) ที่ยังคงไม่ได้ทิ้งอะไร'ไทยๆ'ไป กระทั่งยังมาแต่งเนื้อเพลงประกอบ ที่ร้องโดยพลอยชมพู นางเอกของเรื่อง (ที่ก็มีเสน่ห์คู่กับตัวละครนำชาย และตัวละครอื่นๆในเรื่องได้ดีเลย) เป็นเพลงป๊อบๆติดหูที่ว่าไปก็เป็นส่วนจูงใจให้เข้าไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยอีกต่างหาก

ตอนหลังมาอ่านจากไหนซักที่ว่า คุณวิศิษฏ์ บอกว่าตอนแรกคิดพลอตไว้เผื่อเอาไปเขียนนิยายไว้เป็นรายได้ตอนอายุเยอะ แต่ก็เอาพลอตหน้าเดียวมาทำหนังก่อนตอนที่ M๓๙ สนใจ สุดท้ายยังปล่อยนิยายเล่มออกตามมาอีกต่างหาก ก็เป็นได้ว่าอะไรๆที่เป็นพลอตย่อยๆที่ดูเหมือนจะหายๆไปอาจถูกเล่ามากกว่าในนิยายก็เป็นได้? อันนี้ก็ไม่ทราบเพราะยังไม่ได้อ่าน

จากทั้งหมดทั้งมวลก็ขอคิดไว้ก่อนว่า คุณวิศิษฏ์ คงสนุกกับหนังเรื่องนี้ และหนังก็ออกมาสนุกจริงๆ แบบเก็บข้อเสียกระพร่องกระแพร่งไม่ค่อยทัน ก็ช่างมันก่อน ดูไปก็สนุกไปแทน จะไม่แนะนำว่าเป็นหนังผี หนังตลก หนังสืบสวน หนังดราม่า หนังวัยรุ่น (แต่ถ้าจะเอาจริงหนังวัยรุ่นน่าจะใกล้เคียงสุด) แต่เป็นหนังสนุก เชียร์ด้วยความเต็มใจ 8.1 คะแนน 

ลองไปดูกันได้ฮะก่อนจะชิงออกจากโรงไปซะก่อน (ดูมาตั้งนานแล้ว เขียนช้าไป(ไม่)หน่อย - -)


แนะนำ


ก็อย่างที่บอกครับ ว่ามีฉบับนิยายออกมาด้วย เขียนโดยคุณ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ผู้กำกับนั่นแหละครับ อาจมีรายละเอียดของเรื่องราวที่ดูเหมือนขาดหายไปในฉบับหนังก็ได้นะ ส่วนรสชาติจะต่างกับตัวหนังอย่างไร จะสนุกเหมือนหนังหรือไม่ แค่ไหน ลองไปหาอ่านกันดูได้ครับ  ก็ถือว่าน่าสนใจเพราะเป็นนิยายเรื่องแรกที่ คุณ วิศิษฏ์ ประพันธ์ 








เกร็ดเล็กๆไว้ตรงนี้เพิ่มเติมหน่อยก็คือว่า ในหนังเรื่องแรกๆของคุณ วิศิษฏ์ อย่าง ฟ้าทะลายโจร ก็มีออกมาในรูปแบบนิยาย โดยศรีภรรยาของคุณ วิศิษฏ์ นี่เองซึ่งใช้นามปากกาว่า คอยนุช และ หมานคร ก็สร้างจากนิยายที่เป็นบทประพันธ์ของคุณ คอยนุช เช่นกัน เล่มบาง อ่านสนุก ชอบมาก ลองหาอ่านกันดูได้ มันไม่เหมือนกับ รุ่นพี่ หรอกนะครับ อย่าคาดหวังเช่นนั้น (แม้สำหรับตัวผมเองที่รู้สึกว่าหนังอย่าง รุ่นพี่ สนุกมาก แต่ในกลุ่มหนังคุณวิศิษฏ์ เอง ผมก็รู้สึกว่า หมานคร เป็นหนังสนุกมากเหมือนกัน รวมถึงหนังสือด้วย แต่เอาแค่ผิวๆก็ต้องบอกว่า หมานคร นั้น'เพี้ยน'(และอาจจะ'เฮี้ยน')กว่ามาก) แต่อยากลองให้หาอ่านกันดู (ภายหลัง หมานคร คุณ คอยนุช ยังเขียนเล่มต่ออย่างไม่เป็นทางการชื่อ นาครเขษม ออกมาด้วย) แต่อาจจะหายากหน่อยมัง เพราะนานแล้ว



มาอ่านเจอว่ามีคนบอกว่าพลอตของ รุ่นพี่ ดูคล้ายกับนิยายเรื่อง THE MEDIATOR ของ MEG CABOT (อ่าว เพิ่งรู้ว่าเป็นคนเขียน PRINCESS DIARIES ด้วย) ที่เป็นนักเรียนหญิงในคอนแวนต์มีสัมผัสสื่อสารกับผีรุ่นพี่ได้ และมีเรื่องราวการไขคดีฆาตกรรมกับเรื่องราวความรัก ด้วย ซึ่งดูแบบนี้ก็คล้ายจริงๆแหละ นิยายชุดนี้ก็มีคนให้ข้อมูลว่ามีแปลไทยออกมาด้วยโดย สนพ.แพรว ฉบับพิมพ์ใหม่ใช้ชื่อ THE MEDIATOR (ของเดิม : สาวน้อยสื่อวิญญาณ) ปกหวาน (ส่วนแปลเก่าปกดูกราฟฟิกๆวัยรุ่นๆ คล้ายๆชุดปกเรื่อง อลินา ไม่รู้ออกมาช่วงใกล้ๆกันรึเปล่า?) แต่ก็มีคนบอกว่าดูแล้วก็ไม่ได้เหมือนอะไรกันขนาดนั้น เนื่องจากยังไม่ได้อ่านอีกเหมือนกัน ก็ต้องฝากให้ไปลองพิสูจน์กันดูเองไปก่อนนะครับ

ทำไปทำมาแนะนำแต่หนังสือนะครับ ก็ยังนึกหนังไม่ออก เอาไว้ประมาณนี้ก่อน นึกได้แล้วจะมาเติมไว้นะ


ระหว่างนั้น เอาตัวอย่างหนังมาแปะไว้ไปพลางๆนะครับ เพลง เธอเดินเข้ามา อยู่ท้ายๆโน่น ทีแรกว่าจะแปะ MV แต่เปลีายนใจ ไปลองหาดูฟังกันเองละกัลล์ครับ เพราะตัวอย่างหนังที่ดูไปสองสามรอบแล้วคิดว่า เอ้า ไปดูดีกว่าก็ตัวนี้แหละ

ว่าไปน้อง พลอยชมพู ก่อนจะมาเล่นในหนัง รุ่นพี่ ก็เคยปรากฏตัวบนจอภาพยนตร์มาก่อนแล้ว ในหนังสั้นเรื่องหนึ่ง ชื่อ อมยิ้ม จากสี่เรื่องใน คีตราชนิพนธ์ ซึ่งเป็นหนังที่สร้างจากการเลือกเพลงพระราชนิพนธ์ 4 เพลงมาถ่ายทอดโดย 4 ผู้กำกับนะครับ ซึ่งเปิดให้ชมฟรีมา 2 รอบแล้ว (ในเครือเมเจอร์) ครั้งล่าสุดเพิ่งเปิดให้ชมฟรีเมื่อ 2-7 ธ.ค. ที่ผ่านมานี่เอง ถ้าอยากดูน้องพลอยชมพูในเรื่องอมยิ้มซึ่งแสดงคู่กับน้องนน (เน็ท ฮอร์โมน 3) ด้วย ก็ลองติดตามข่าวสารกันดูครับ เผื่อจะมีรอบฉายชมฟรีมาอีก ที่หน้า facebook ของ คีตราชนิพนธ์ ครับ








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น