วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] BAKUMAN วัยซนคนการ์ตูน : ทางฝัน บนจอใหญ่ ของคู่หูการ์ตูน


การตัดสินใจถ่อไปดู BAKUMAN นั้นเป็นความรู้สึกแบบก่ำกึ่ง ทีแรกผมสนใจเพราะคิดว่าแคสติ้งบท ทาคากิ อากิโตะ นั้นดูจะใช่ดี และท่าทางก็ดูโอเค (มาชิโระดูผ่านๆก็โอเค เพราะดูมาผ่านๆจึงรู้สึกมาได้แค่นี้) แถมมีทีท่าจะเข้าฉายโรงในบ้านเราเร็วๆนี้ ทำไปทำมาก็ดูเหมือนจะเลื่อน เลื่อนก็โอเค จะได้ข้ามไปไม่ต้องดู (ตกลงอยากหรือไม่อยากดูกันแน่เนี่ย?) แต่จู่ๆหนังก็เวียนมาเข้าโปรแกรมฉายอีก ก็เลยกลับมาลองคิดอีกที (แบบไม่ตั้งใจนัก) ว่าจะไปดูดีหรือเปล่า?...

การตัดสินใจอ่านมังงะ BAKUMAN ของผมก็ดันไม่ง่ายเท่าไหร่ ค่าที่แม้จะสนุกสนานกับ การ์ตูนของ อ.ทาเคชิ โอบาตะ ที่แกเป็นคนถ่ายทอดลายเส้นจากเรื่องที่มี อ.ท่านอื่นแต่งให้ อย่าง ฮิคารุ เซี่ยนโกะ ที่สนุกได้ทั้งที่อ่านไปแล้วก็ไม่ได้ทำให้เล่นโกะเป็นมากขึ้นรึคิดว่ารู้จักการเล่นโกะดีขึ้นมาก (ต้องหัดเล่นซิจ๊ะ ไม่งั้นมันจะเป็นเรอะ แค่มโนเอาได้ไม่ใช่ทำได้ทุกคนนะเฟ้ย) แม้จะได้รู้เรื่องราวในวงการโกะมากขึ้น (จากที่ไม่รู้เลย) แถมสนุกไปจนจบ จนมา DEATH NOTE ที่ทีแรกก็คิดว่าจะอ่านไม่อ่านดี เพราะแม้จะรู้สึกว่าลายเส้น อ.โอบาตะ สวยและมีรายละเอียดดี ก็ไม่ได้ว่าจะชอบลายเส้นแกเข้าเส้นอะไรแบบนั้น แต่จริงๆดูจากชื่อเรื่องเราก็ควรจะอ่าน (?) และลงท้ายก็พบว่ามันก็สนุกดีอีก พออีกเรื่องจบไปสมใจ มีเรื่องใหม่มาอีก อ่านชื่ออังกฤษไม่รู้เลยว่าเกี่ยวกับอะไร แต่ชื่อไทยบอก วัยซนคนการ์ตูน


ตอนนั้นไม่รู้ทำไมรู้สึกประมาณว่าเรื่องนี้ต้องดราม่าแน่นอน เกินแบบที่เรารับได้แน่นอน (ตีหน้าปกไปก่อนซื้อ) แต่เกี่ยวกับวงการการ์ตูนมังงะเลยนะเฮ้ย ประมาณเข้าวงการตามความฝันสมัยเรียนอะไรงี้ แต่นั่นแหละ คิดว่าดราม่าแน่นอน แถมตอนนั้นไม่รู้เกิดอะไรขึ้นมาอีก รู้สึกว่าไม่อยากตามเรื่องใหม่ๆหัวใหม่ๆแล้วเอาดื้อๆ จะเพราะบางเรื่องที่ตาม (เช่น เจ้าหนูแว่น นักล่านักล่า โจรสลัดหมวกฟาง ก้าวนั้น บลาบลาบลา) ไม่จบกันซักที หรือไม่ออกมานานแล้วก็ยังไม่จบซะที หรืออะไรก็ไม่รู้ (ตกลงที่ตามนี่อยากอ่านรึไม่อยากอ่าน?...) สรุปว่าก็ไม่ซื้อปล่อยออกไปสามสี่เล่มก็ยังไม่ซื้อ แล้วรู้สึกไปอ่านบล๊อกนึงมาพูดถึงการ์ตูนเรื่องนี้ว่า แสดงให้เห็นชีวิตนักเขียนการ์ตูนได้ดี ประมาณนี้ ซึ่งบล๊อกนั้นก็เป็นบล๊อกนักเขียนการ์ตูนไทยคนหนึ่งด้วย (เลือนลางเลยไม่แน่ใจว่าใช่ไหม? บล๊อกใคร? กันแน่ ไว้ค่อยค้นทีหลัง) ก็เลย...กลับไปซื้อ (เล่นตัวจังนะเอ็ง...)

แต่ อ่านเล่มแรกปรากฏว่า...ผมไม่ชอบเลยแฮะ ก็เลยคิดว่า เออ เรื่องนี้คงไม่ตรงทางเราจริงๆ เห็นคนที่ชอบก็เยอะ แต่ โอเค ลองอ่านอีกซักเล่มนึงก็แล้วกัน สรุป...เออ ก็สนุกดี ทำไปทำมา อ่าว จบแล้วเหรอ (ตอนซื้อเล่มสุดท้ายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเล่มจบจนอ่านไปท้ายๆเล่ม)

เพราะงั้นก็เลยมีความผูกพันกับตัวละครและเรื่องราวในเวอชั่นมังงะพอควร และเพราะงั้น พอเห็นหน้านางเอกเป็น โคมัตสี นานะ ประกอบกับ (เผอิญไป)เห็นเรื่องนี้มีบทบาทนิดหน่อยในเวทีรางวัลญี่ปุ่น พอเห็นจู่ๆกลับมาเข้าไทยอีกแล้ว ก็เลย อ่ะดูก็ดู (เหตุผลอะไรของเอ็ง...)

ทีนี้ถามว่า BAKUMAN นี่ดราม่าไหม? ดราม่าครับ เป็นส่วนที่ทีแรกไม่ชอบด้วย แต่รายละเอียดอื่นๆโดยเฉพาะเรื่องของคนชอบการ์ตูน คนเขียนการ์ตูน วงการการ์ตููน ชีวิตนักเขียนผู้ช่วยคนอ่านระบบและไอเดียอื่นๆในวงการมังงะนี่ ชอบ และบางเรื่องบางประเด็นก็ถึงขั้นชอบมากด้วย แถมตอนหลังๆไอดราม่าๆอะไรนี่ พออ่านไปจนผูกพันกับตัวละครแล้วตอนหลังก็ลืมๆไปแล้ว บางตอนก็อินไปกับเขาด้วย เรื่องราวชีวิตตัวละครในเรื่องด้วยหน้าตาเฉย (แม้ว่าบางตอนจะยังคงหงุดหงิดบ้างก็ตาม) ใจคนมันเปลี่ยนง่ายเพียงนี้...

พอเป็นหนัง ทีแรกก็สงสัยว่านี่คือตอนเดียวเรื่องเดียวครั้งเดียวจบเลยใช่ไหม? เพราะไม่เห็นมีห้อยท้ายอะไร (พอดีว่าปีก่อนหนังจากมังงะก็เข้าหลายเรื่องแถมมากันแบบแพ็คคู่แบ่ง PART หลายเรื่อง) เพราะก็รู้สึกว่า มังงะก็หลายเล่มนะ จะเล่าจบเหรอ?


พอไปดูหนังเข้าจริง สิ่งแรกๆที่รู้สึกคือ ทาคากิ นี่แคสมาคล้ายดีแฮะ แต่...ดันเตี้ยกว่ามาชิโระ (ไม่ก็มาชิโระสูงไปหน่อย) และมาชิโระก็...หน้าแก่ไปหน่อยนะ อืม นอกนั้นหนังก็เริ่มเรื่องราวคล้ายๆในมังงะ (เท่าที่จำได้อยู่นะ ไม่ได้กลับไปอ่านทวน) และบรรยากาศในโรงก็ดูจะมีแฟนการ์ตูนมาดูกันพอสมควร มีขำขัน อุทาน ปฏิกริยา สนทนา (กันเบาๆ) เป็นระยะๆ ซึ่งก็อาจมีความเห็นแตกต่างกันไป พอเรื่องดำเนินไป เราก็พบว่า ทั้งตัวละครและเรื่องราวมันเริ่มจะมีส่วนที่ต่าง ทั้งตั้งใจต่าง หรือไม่ตั้งใจแต่เราก็รู้สึกต่างไปจากมังงะมากขึ้นๆ บางส่วนก็ลดซึ่งก็ไม่แปลก แต่บางเรื่องก็เพิ่ม และบางเรื่องก็ดูเหมือนจะปรับเปลี่ยนไปเลย ทีแรกผมยังไม่ปรับเข้ากับหนัง และรู้สึกว่าไม่อินเท่ากับมังงะ ทั้งจังหวะที่เปลี่ยน บางอย่างก็ห้วนขึ้น บางอย่างก็แปลกไป รายละเอียดหลายอย่างก็ดูเหมือนจะตัดไปเลย ซึ่งก็อาจไม่แปลกเพราะเวลาเล่าในหนังน้อยกว่ามังงะมาก เช่น เรื่องทาคากิเรียนเก่งรึเปล่านี่ เราจะไม่ได้รู้ในเรื่องนี้เลย รายละเอียดคาแรคเตอร์(ที่เราชินไปแล้วด้วย) ก็ดูจะหายไป ทำท่าจะไม่แน่ใจว่าตกลงตรูจะปรับเข้ากับหนังไม่ได้ไปจนจบรึเปล่า? (ก็คือคิดว่าสุดท้ายอาจจะไม่ชอบนั่นแหละ)

จริงๆ เรื่องของการที่หลายๆอย่างปรับเปลี่ยนไป ไม่มีปัญหาเท่ากับไม่ชินกับคาแรคเตอร์ เพราะที่เนื้อเรื่องไม่เหมือนหลายๆส่วนคิดว่าโอเคถ้าไม่รู้สึกว่ามันหลุดจนเป็นอีกเรื่องไปเลย เพราะคิดว่าเหมือนหมดเป๊ะๆก็คงไม่สนุก มีอะไรที่ไม่คุ้นบ้างน่าจะสนุกกว่า ส่วนคาแรคเตอร์นี่เหมือนเสียเวลาปรับตัวเยอะกว่ามาก บางคนมาไม่เหมือนลุคในมังงะนักก็ปรับได้เลย บางคนก็ไม่ค่อยได้ และที่น่าเสียดายหน่อยๆก็คือ ตัวละครซึ่งเป็นที่รัก(หรืออาจไม่รัก)ของคนอ่าน(คิดแทนคนอื่นไปเลย)หลายๆตัวละครในเวอชั่นมังงะถูกตัดออกไปเลย เลยปรับยากหน่อยๆ

แต่คิดว่าหนังก็เล่าเรื่องราวได้โอเคทีเดียว ระหว่างเรื่องคืบหน้าไป เนื้อหาที่ใส่มาก็ค่อยๆเติมรายละเอียดให้เรื่องราวไปเรื่อยๆ มีจุดหักเห พลิกผันเข้ามา ซึ่งแม้จังหวะไม่ตรงกับที่รู้สึกจากมังงะ(ซึ่งอาศัยจินตนาการส่วนตนมากกว่าเห็นๆ) แต่ก็ยังติดตามเรื่องราวและจังหวะของหนังไปเรื่อยๆได้ และการที่มีรายละเอียดไม่เหมือนในมังงะใส่เข้ามาก็ทำให้มันมีส่วนน่าติดตามได้มากขึ้นเหมือนกัน (ส่วนตัวนะฮะ) แล้วเรื่องอย่างการมีคนที่เต็มใจร่วมตามฝันกับเราก็ยังอยู่ (มังงะ BAKUMAN ก็เป็นการร่วมงานกันของ อ.โอบาตะ - วาด กับ อ.โอบะ - เรื่อง หาดูสตอรี่บอร์ดของ อ.โอบะ มาเป็นสตอรี่บอร์ดของ อ.โอบาตะ ได้ในมังงะ)

สุดท้ายแล้วก็ชอบนะฮะ โอเคทีเดียวแม้ว่าไม่ถึงขั้นหนังจากมังงะในดวงใจห้าอันดับแรกอะไรแบบนั้น แต่โอเค ไม่ผิดหวัง ไม่เสียดายตังค์

มีหลายอย่างที่ทำให้หนังเรื่องนี้อยู่ในฝั่งที่ชอบ เอาที่นึกออกหลักๆ เช่น ตัวละครหนึ่งที่ชอบมากตั้งแตเวอชั่นมังงะนี่คือ ฮัตโตริ ครับ ทีแรกพอเห็นโปสเตอร์ ผมก็พยายามดูนิดนึงว่า นี่ใครบ้าง จนไปคนนึง ทีคิดว่าใครหว่า? พอเห็นเครื่องหมายใกล้ๆก็แบบ อ่าว เขาตัดบทฮัตโตริออกไปเหรอ? เสียดายจัง พอไปดูในหนังเท่านั้นแหละ... เจ้ยย ฮัตโตริอยู่นี่ฝ่า แต่ว่าลุคเปลี่ยนเลยนะนี่ คือจริงๆก็ไม่คิดว่าถ้าจะต้องแบบหามาหน้าเหมือนในมังงะมันก็คงหาไม่ง่ายมัง แต่ก็ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนไปขนาดนี้ ทีแรกก็เลยติดๆนิดๆว่าจะได้ไหมเนี่ย (นี่ตรูมีปัญหากับเรื่องตัวละครมาตลอดเรื่องเลยไหมเนี่ย? ตั้งใจดูอย่างอื่นของหนังบ้าง 55 ) ยิ่งเป็นตัวละครที่ชอบด้วย กลายเป็นว่า...จริงๆก็คิดว่าบรรยากาศต่างจาก(จินตนาการ)ตัวละคร ฮัตโตริ ในมังงะเยอะอยู่นะครับ แต่จริงๆฮัตโตริเป็นตัวละครทีผมชอบที่สุดในหนังแฮะ แม้บทจะไม่เด่นมากหรือจะมีท่อนนึงนิดเดียวจริงๆที่ไม่ค่อยชอบ แต่รวมๆแล้วรู้วึกว่าจังหวะ พฤติกรรม หรือชีวิต ของตัวละครตัวนี้นี่ คือ ชอบครับ เลยรู้สึกว่า เออ โอเคนะ เขาเลือกคาแรคเตอร์นี้มา ลุคนี้มา เขาคิดมาแล้วแหละว่าอยากให้เป็นยังไง ทำไม ซึ่งสุดท้ายก็กลายเป็นว่ายังชอบตัวละคร ฮัตโตริ แม้อาจไม่เหมือนในมังงะก็ตาม

อีกคนที่แบบแว่บแรกช๊อคนิดๆ... คือ นีซึมะ ครับ เพราะแว่บแรกเลยคือ ลุคนี่ก็...แบบในมังงะ เอ่อ นึกถึง DEATH NOTE แบบ L ในมังงะนี่ ไม่เท่แต่เท่ (อะไรฟะ) แต่ในหนังนี่เลือกมาซะหล่อนำพระเอกเลย (เอ่อ...มุมมองส่วนตัวนะฮะ) แบบในมังงะ ไลค์หล่อเท่ แต่ในหนังหน้าบานไปนิด (แต่จริงๆก็โอเคนะ ตบหัวแล้วลูบหลังนี่หว่า) กลับมาที่ นีซึมะ นี่ก็เหมือนกัน...ในมังงะผอมย่งโย่ (ยิ่งไปเรื่อยยิ่งผอม) ในหนังนี่...หน้าบานอีกแล้ว (เราชอบนายใน PARASYTE นะ เราไม่ได้คิดร้าย แค่บรรยายเฉยๆ) เรียกว่าเลือกคาแรคเตอร์มาเรียกความสนใจได้อิมแพ็คท์ใช้ได้ (ดีไม่ดีเนี่ย) ซึ่งคาแรคเตอร์ในหนังก็ไม่เหมือนในมังงะอีก (แม้ความเพี้ยนจะยังอยู่และก็ถ่ายทอดออกมาได้โอเค) สั้นๆก็ประมาณว่าในมังงะนี่คาแรคเตอร์นีซึมะดูน่ารักกว่าเยอะครับ (ได้เข้าชิงนักแสดงสมทบชายญี่ปุ่นด้วยนะรู้สึก) แต่เอาจริงๆพอดูไปจนจบ นีซึมะก็เป็นตัวละครที่โอเค (แม้จะยังไม่แน่ใจเรื่องเข้าชิงสมทบชายหน่อยๆ) แถมสุดท้ายก็โอเคกับบทบาท(รวมถึงกริยาที่ซ่อนไว้?)ของนีซึมะด้วย คือเอาจริงๆ นีซึมะในหนังนี่ให้ความรู้สึกเหมือนนีซึมะตอนแรกๆที่เห็นในมังงะ ก่อนที่ต่อมาในมังงะนีซึมะจะดูน่ารักขึ้นเฉยเลย (ปรับตามคนอ่านป่าวแว้??? ดูแบบสอบถามล่ะซิ??? - แต่ที่พูดแบบนี้คือในมังงะก็ชอบนีซึมะนะครับ)

ส่วนของเรื่องก็คือ หลายเรื่องปรับไปอย่างที่บอกซึ่ง เอาเข้าจริงหลายอย่างก็รู้สึกว่าเข้าท่าดีครับ ชอบหลายอัน  บางอันก็ก่ำกึ่ง อย่างเช่นตอนที่ปะทะนีซึมะนี่การ์ตูนเลย ซึ่งจริงๆคิดว่าสนุกดี และก็พอเข้าใจว่าวิธีการเล่าแบบนี้ก็โอเคกับอะไรที่แบบเวลาน้อยกว่าในมังงะ แต่ก็คิดว่ามันเสียอารมณ์ความรู้สึกร่วมบางอย่างไปหน่อยๆ แต่ก็ยังโอเค และการที่หนังปรับเหตุการณ์ ปรับลำดับเรื่อง และเน้นไปที่การร่วมแรงร่วมใจเป็นหลัก ก็โอเค แม้จะเสียดายที่แคแรกเตอร์บางคนหายไป ส่วนที่เสียดายก็มีบ้าง ที่ตอนแรกๆผมรู้สึกว่ามันโฟกัสไปที่คู่หู มาชิโระ-ทาคากิ เลย เลยรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเห็นอย่างอื่น แต่ต่อมาเรื่องก็ขยายขอบเขตขึ้น ก็ดีขึ้นหน่อย และในมังงะส่วนที่ชอบ(และทำให้หลงติดกับอ่านมาได้จนจบเฉย...)ก็คือ ชีวิตของการเป็นนักเขียนการ์ตูนและรายละเอียดเกี่ยวกับวงการมังงะ ซึ่งแม้จะเสียดายว่าเวลาเล่าคงไม่เท่าในมังงะมันเลยอาจขาดหลายๆอย่างไป แ่คิดว่าในเวลาจำกัดเท่าที่เลือกมานำเสนอก็ทำได้ดีทีเดียว ตอนสำคัญก็รู้สึกได้ แต่ก็เสียดายที่โอกาสพูดถึงบทบาทของผู้ช่วยน้อยจัง นี่เป็นจุดที่เสียดายที่สุดก็ว่าได้ ยังไงก็ตามมีจุดหนึ่งที่หนังเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ เราเห็นนักเขียน เห็นสำนักพิมพ์ เห็นวงการแล้ว (แว่บนึงแอบคิดว่ามันจะกลายไปเป็นหนังแนะนำชูเอย์ฉะหรือจัมป์ไหม? แต่ก็ไม่นะ แล้วจริงๆส่วนนั้นก็สนุกดี ถือว่าเป็นอีกส่วนที่ชอบในหนัง) แต่...ยังไม่ค่อยเห็นตัวละครสำคัญคือ คนอ่าน เลยแฮะ พอถึงจุดหนึ่งเวลาที่ฉายไปที่คนอ่านจริงๆ แม้จะสั้นๆ แต่ผมก็รู้สึกว่า มาแล้ว ดีแล้ว โอเค

 ส่วนเรื่องของ ดราม่า หรือความเว่อบางอย่าง ในมังงะก็อย่างที่บอกไปว่ามีบางอย่างที่ผมอาจไม่อินนัก แต่ก็สนุกดี บางส่วนในหนังกลับมันไปเลย บางส่วนปรับไปแล้วกลายเป็นว่าผมชอบมากกว่าในมังงะซะอีก รับได้ แต่ถามว่ามันยังมีดราม่าไหม? ก็มีแฮะ แต่มีคนละอย่างกับในมังงะไปแทน

ส่วน โคมัทสึ นานะ จริงๆผมว่าลุคเธอไม่เหมาะเท่าไหร่กับตัวละครหญิงของ อ.ทาเคชิ โอบาตะ แต่ก็โอเคครับ กลายเป็นว่าแม้มีบทบาทกับการดำเนินเรื่องมาก (จริงๆในมังงะก็ด้วย) แต่ในหนังเหมือนเธอไม่เด่นนัก แต่สุดท้ายเธอก็อิมแพ็คท์กับหนังอยู่ดี ซึ่งเรื่องนี้บางคนอาจไม่ชอบก็ได้ แต่ส่วนนี้กลายเป็นส่วนที่ผมรับได้ โอเคครับ ถือว่ารับได้มากกว่าในมังงะด้วยซ้ำในความรู้สึก (แต่ในส่วนของความบันเทิงของมังงะผมไม่มีปัญหานะ ก็บอกได้ว่าเป็นเรื่องที่ชอบ สนุก)


และสุดท้ายหลายๆเรื่องที่ปรับเปลี่ยนไปจากมังงะ พอเรื่องดำเนินไปถึงจุดหนึง ตัวละครในภาพยนตร์ BAKUMAN ก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง อาจเป็นคนละชีวิตกับเวอชั่นมังงะ ตอนนั้นผมไม่รู้สึกแปลกแยกกับตัวละครและเรื่องราวของพวกเขาแล้ว และผมก็ยอมรับเรื่องราวของพวกเขา ซึ่งแม้จะมีเรื่องประทับใจ แต่ก็มีเรื่องที่เจ็บปวดในระหว่างการตามฝันนี้ ซึ่งอาจน่าเศร้านิดหน่อยที่ผมอาจจะเชื่อในส่วนความเจ็บปวดนั้นมากกว่าส่วนที่สว่างสดใสของหนัง แม้จะมีตัวละครที่ถูกตัดออกไปจากฉบับมังงะ นักแสดงหลายคนที่สวมบทบาทตัวละครที่มีก็ให้บทบาทและความรู้สึกที่เกินคาดแม้ไม่ได้ถึงขั้นยอดเยี่ยมทั้งหมด แต่ภาพยนตร์เกี่ยวกับการตามฝันในวงการมังงะ (ซึ่งดูเหมือนจะเคยอยู่ในฝันของหลายคนเหมือนกัน - และบางคนก็ยังคงอยู่) เรื่องนี้ มีจังหวะและเรื่องราวของตัวเองที่ผมโอเคกับมันครับ 7.4  คะแนน และที่ค่อนข้างชัดเจนในความรู้สึกคือ เสียงของคอแร้งที่ลากไปบนหน้ากระดาษนี่เสียงมันดังนะ เท่าที่เคยได้ยิน มันดังขนาดนี้แล้วไหมนะ?...



นึกถึง


เอาจริงๆก็ไม่มั่นใจนักว่าแฟนมังงะหรือคนไม่เคยอ่านมังงะไปดูเรื่องนี้จะสนุกกว่ากัน คิดว่าต่อให้ไม่ใช่แฟนมังงะ แต่ถ้าอินกับโลกการ์ตูนอยู่บ้าง ก็ยังน่าจะดูสนุกได้ แต่ยังไงก็ตามในเวอชั่นมังงะก็มีรายละเอียดสนุกๆหลายอย่างที่ไม่ปรากฏในเวอชั่นหนัง รายละเอียดการ์ตูนเอย รวมไปถึงตัวละครที่น่าสนใจหลายๆตัว (เช่น ตอน นานามิเนะ สนุกและน่าสนใจมาก) ซึ่งช่วยเติมแง่มุมในวงการ(และอุตสาหกรรม)มังงะได้อย่างสนุกสนานและน่าสนใจ เพราะงั้นก็ยังแนะนำให้ลองอ่านเวอชั่นมังงะครับ หรือคนที่อ่านนานแล้วไปหยิบมาอ่านทวนก็ได้ 20 เล่มจบ ไม่ยาวมาก พอดีๆ (แต่รายละเอียดเยอะนะ)
(หาไม่ได้ก็ลองซื้อออนไลน์ได้ที่ nstore.net ทั้งชุดลด 25% มัง ลดเยอะกว่าซื้อแยกเล่ม ลองดูได้ ที่นี่)


ส่วนคนที่เคยมีฝันอย่างสองวัยซนคนการ์ตูนนั้น แนะนำลองอ่านมังงะ นัก(ไม่)เขียนการ์ตูน ดูครับ จัดแปลและพิมพ์โดย สยามอินเตอร์คอมมิค คือ ถ้ามีฝันแล้วรู้สึกว่า BAKUMAN สนุกจังเลย แค่นั้น...มันอาจไม่พอใช่ไหม ก็ลองไปอ่านเรื่องนี้ดูครับ จะว่าเป็นขั้วกลับของ BAKUMAN ก็ได้(กลับยังไงก็ลองอ่านเถอะ) อืม... แต่การ์ตูนจะโต(?)กว่า BAKUMAN ไปอีกระดับนึงนะครับ ว่าไปก็จะได้มุมมองเพิ่มเติมในส่วนที่ BAKUMAN อาจไม่ได้เอามานำเสนอกันด้วยนะ และบางคนอาจระลึกถึงสิ่งที่เคยผ่านมา ถึงตัวเอง หรือเหมือนโดนตบกบาลซักทีก็ได้นะ... สรุป ได้มังงะอีกหัวมาตามอ่าน เอาฝันทูนไว้บนหิ้ง(บูชา)เหมือนเดิม...  

จริงๆพอพูดถึงมังงะชีวิตนักเขียนมังงะ นึกมาได้อีกเรื่องของสยามอินเตอร์ฯ แต่ ไม่บอก... (อะไร๊???!!!!) พอดีเหมือนไม่ค่อยเกี่ยว ไว้เผื่อพูดถึงวันหลัง หุหุ...


และถ้าพูดไปถึงชีวิตในวงการของ 'ตำนาน' มังงะล่ะก็ ลองอ่าน ในวันที่ข้าพเจ้าเขียน BLACK JACK  (จัดแปลและพิมพ์โดย สนพ.วิบูลย์กิจ) จับเรื่องราวในช่วงที่ อ.เท็ตซึกะ โอซามุ เขียนมังงะเรื่องดัง BLACK JACK สไตล์อาจจะทำให้บางอย่างดูเหนือจริง แต่บางอย่างก็แสดงความเข้มข้นจริงจังออกมาได้อย่างประหลาด และก็ยังสื่อแสดงชีวิตของนักเขียนการ์ตูน ซึ่งก็ไม่ใช่จะสวยงามหยดย้อยได้อย่างเห็นภาพ ทีแรกนึกว่าเล่มเดียวจบ แต่มีเล่ม 2 ออกมาด้วยครับ
แต่ก็แนะนำว่าถ้าใครไม่เคยอ่านมังงะของ อ.เท็ตซึกะ โอซามุ มาก่อน ก็น่าจะไปลองอ่านมังงะเหล่านั้นมาก่อน แล้วค่อยมาอ่านเรื่องนี้น่าจะอินกว่า ซึ่งในไทยก็จัดแปลและพิมพ์โดย สนพ.วิบูลย์กิจ หมด อย่างน้อยก็หาอ่าน BLACK JACK (เรื่องอื่นๆถ้าเอาที่ไม่ยาวแต่สนุกก็ VAMPIRE มี 4 เล่มจบ ถ้ายาวๆแบบอีพิคๆขั้นสุดก็ ฮิโนโทริ) ครับ  แต่เรื่อง BLACK JACK ต้องระวังไว้นิด เพราะจากอิทธิพล(โดยเฉพาะของคาแรคเตอร์)ที่ยังส่งผ่านมาถึงปัจจุบัน ทำให้มีการเขียนใหม่หลายเรื่องเหมือนกัน คือ ที่หาง่ายน่าจะเป็นที่มีคนอื่นมาเขียนใหม่หรือเขียนต่อครับ ดูชื่อคนเขียนดีๆ มีทั้งของวิบูลย์กิจ และดูเหมือนมีของ บงกช ด้วยมัง? (จริงๆ BLACK JACK นี่มีการ์ตูนในยุคใหม่หลังๆออกมาเยอะเหมือนกันทั้งเขียนต่อตรงๆ หรือแรงบันดาลใจมา เขียนถึงแยกได้เลยมัง แต่...ไม่ค่อยได้อ่านอ่ะ หรือไม่ซักหนอาจได้เขียนถึง อ.เท็ตซึกะ โอซามุ ครับ เรื่องของอนาคตเนาะ...) แต่ที่ต้องระวังคือ... ตอนนี้น่าจะหายากอยู่ซักหน่อยครับ แต่คิดว่า BLACK JACK น่าจะหาอ่านได้อยู่นะ

เพราะเป็นหนังล่าฝันวงการมังงะ เลย...มีแต่มังงะเยอะแยะ... ก็ธรรมดาเนาะ(ละมัง)ครับ แต่ถ้าให้นึกถึงหนังซักเรื่อง แม้ไม่ตรงๆนักเพราะไม่ใช่เรื่องมังงะตรงๆ แต่เรื่องของการล่าฝัน แนะนำหนังญึ่ปุ่นในดวงใจของหลายๆคน เรื่อง ALWAYS : SUNSET ON THIRD STREET ครับ (ไม่ใช่หนังอเมริกันของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก นะครับ อันนั้นไม่มีสร้อย) ชื่อไทยใช้ว่า ถนนสายนี้ หัวใจไม่เคยลืม จริงๆเรื่องนี้ก็สร้างจากมังงะเหมือนกัน แต่ยังไม่เคยอ่านมังงะเสียที เรื่องราวเล่าในช่วงที่ญี่ปุ่นกำลังสร้างประเทศและเป็นช่วงที่มีการเรื่มก่อสร้างหอโตเกียว (TOKYO TOWER) ขึ้น ซึ่งช่วงเวลานั้นเข้าใจว่าก็ไม่ห่างจากช่วงเวลาในการก่อร่างของวงการมังงะญี่ปุ่นเท่าไหร่นะครับ ตัวหนังมีภาคต่อมาด้วย ทั้งหมด 3 ภาค ก็แนะนำให้ลองดูภาคแรกก่อนเลยครับ




ส่งท้าย
ตอนดูเรื่อง BAKUMAN จบ ดูที่ CTW แม้คิดว่าเวลาจวนเจียน แต่ก็แวะไปร้าน OH! ANIME เพราะเห็นข่าวว่าร้านจะปิดแล้วในวันที่ 26 กุมภา การ์ตูนที่คงเคยเต็มชั้นโล่งขึ้นมาก เขาลด 25% ทุกเล่ม แต่การ์ตูนบนชั้นก็ยังเหลืออยู่บ้าง หลังเดินดูซักพักก็หยิบ ฝ่ามิตินรก เล่ม 3-5 ไปจ่ายตังค์ หลังจากผมออกจากร้านและเดินลงบันไดเลื่อนก็ได้ยินเสียงประตูเลื่อนปิด จึงหันกลับไปดู

เป็นความรู้สึกที่ยากจะพูดอยู่เหมือนกัน ทั้งที่ปกติก็ไม่ค่อยได้แวะไปที่นี่เท่าไหร่ แต่ก็ใจหาย...




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น