วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] OFFICE พนักงาน ดี เดือด : เรื่องสยอง คนออฟฟิศ


นานมากแล้วที่ไม่ได้ดูหนังเกาหลีในโรงหนัง

สิ่งที่จำได้เกี่ยวกับหนังเกาหลีก็คือมีช่วงหนึ่งที่หนังเกาหลี มีกระแสในบ้านเรามาก ตั้งแต่เริ่มๆกระแสน้อยๆอย่าง SHIRI ไปถึงอภิมหาหนังเลิฟคอมเมดี้แห่งยุคอย่าง MY SASSY GIRL ไปถึงหนังรักเจือความเศร้าอย่าง CHRISTMAS IN AUGUST เป็นต้น (ทำไมมีแต่ชื่อหนังนานมากแล้วทั้งนั้นเลย... ก็บอกแล้วว่าไม่ค่อยได้ดูจริงๆ)

ซึ่งสิ่งหนึ่งที่รู้สึกก็คือหนังเกาหลีในช่วงนั้นมีรสชาติบางอย่างที่แปลกๆออกไปจากหนังฮอลลีวู้ดหรือหนังไทย (จะรวมหนังญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ด้วยก็ได้) คือ แม้เป็นหนังแนวเดียวกัน แต่รสชาติบางอย่างที่แปลกไปก็เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นในหนังเกาหลีประการหนึ่ง จะเป็นแบบที่ยังอาจไม่รู้สึกถึงความต่างชัดนักอย่าง SHIRI ก็ยังมีรสชาติเฉพาะตัวบางอย่างให้รู้สึก

ความจริงหนังเกาหลีก็มีค่อนข้างหลากหลายแนว และแนวหนึ่งที่รู้สึกว่าหนังเกาหลีเอาความต่างบางอย่างมาเติมรสชาติใหม่ๆให้รสชาติเดิมๆของหนังแนวนี้ ก็คือแนว เขย่าขวัญ แม้จะไม่ได้ถึงกับฉีกกฎเกณฑ์ แต่มันมีจังหวะเฉพาะตัวบางอย่างที่รู้สึกว่าทำได้แปลกต่างออกไปและทำได้ดีไปถึงดีมาก ซึ่งก็สัมผัสได้จากหนังหลากหลาย ทั้งหนังแนวหนังผีอย่าง A TALE OF TWO SISTERS (ตู้ซ่อนผี) หนังมาเฟียสุดมืดอย่าง OLD BOY หรือหนังสัตว์ประหลาดอย่าง THE HOST ก็ตาม

หลังๆแม้กระแสหนังเกาหลีดูจะเบาบางลงไป และผมเองก็ห่างหายการดูหนังเกาหลีไปนาน แม้ช่วงนั้นจะได้ยังคงได้ยินกิตติศัพท์หนังเกาหลีหลายเรื่องในแนวๆนี้ แต่ก็ไม่ได้หามาดูเสียที ความจริงเร็วๆนี้ก็ได้ดูหนังเกาหลีแนวทำนองนี้อีก ซึ่งก็ยังทำให้ทึ่งกับหนังเกาหลีอีก ร่ำๆจะไปความหาหนังได้ได้ยินกิตติศัพท์ช่วงที่ไม่ได้ดูมาดูซะให้หมด แต่ก็...ยังไม่ได้ทำเช่นนั้น และในระหว่างนั้น หนังเรื่อง OFFICE ก็โผล่มาเข้าโรง

นอกจากธีมเขย่าขวัญ (ซึ่งก็พอจับได้จากโปสเตอร์)  มันยังนำเสนอเรื่องราวของมนุษย์ออฟฟิศซึ่งเป็นชีวิตของคนจำนวนมากที่เดินสวนกันไปมาในมหานคร เป็นความสนใจที่ทำให้อยากไปดูหนังเรื่องนี้

และเมื่อได้ไปดูมาแล้ว หนังเกาหลีเรื่องนี้ก็ยังตอกย้ำว่าหนังเขย่าขวัญเกาหลีนั้นมีรสชาติเฉพาะตัวบางอย่างที่ทำให้ทึ่ง และเป็นอีกเรื่องที่ไม่ทำให้ผิดหวัง

 หนังเล่าเรื่องราวของพนักงานออฟฟิศในแผนกหนึ่ง ซึ่งมีตัวละครสำคัญประกอบด้วย ผู้จัดการแผนก พนักงานอาวุโสแก่ประสบการณ์จำนวนหนึ่ง และพนักงานใหม่ฝึกหัด และหัวหน้าแผนกอีกที รวมไปถึงตำรวจสืบสวนทีมหนึ่งที่ต้องเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องราวในออฟฟิศนี้ หลังเปิดเรื่องด้วยบรรยากาศทึบทึม และหลังจากช่วงเริ่มต้นหนังก็เล่าเรื่องต่อไป เผยเรื่องราวบางอย่างในความทึบทึมนั้น และนำพาเรื่องราวของชีวิตในออฟฟิศเหล่านี้ไปสู่ความมืดมนและน่าหวาดกลัวยิ่งขึ้น...

ความจริงแล้วถ้าพิจารณาจากภาพรวมทั่วๆไปในแง่เขย่าขวัญ หนังเรื่อง OFFICE อาจไม่ได้มีเรื่องราวถึงขั้นแหวกแตกต่างออกไปมากนักจากเรื่องราวโศกนาฏกรรมเขย่าขวัญที่เราเคยผ่านตา แต่หนังก็เริ่มเรื่องเพื่อจะดึงเราเข้าสู่เรื่องราวของหนังได้อย่างน่าติดตาม พร้อมไปกับการสืบสาวเรื่องราวของทีมสืบสวน หลังจากคนในแผนกก่อเรื่องร้ายเอาไว้และไม่มีใครทราบว่าเขาอาจจะหนีไปที่ไหน ทีมสืบสวนก็พบจากกล้องว่า เขากลับมาที่ออฟฟิศ... แต่...ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน...

ถึงตรงนี้แล้วใครสนใจก็ไปตีตั๋วดูได้เลย จะได้ไม่รู้อะไรมาก เพราะความเอนเตอร์เทนของหนังประเภทนี้ส่วนหนึ่งก็คือการติดตามเรื่องไปโดยไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปนี่แหละ


แม้โครงเรื่องหลักๆอาจจะไม่ได้แหวกจนทำให้เราแปลกใจ แต่รายละเอียดของหนังก็วางไว้ดีพอที่จะต้องทำให้เราพยายามไล่จับ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหรือสิ่งที่จะเกิดคืออะไร? ผ่านตัวละครในแผนกงานที่มีพฤติกรรมต่างๆกันไป บ้างขี้วีน เหวี่ยง บ้างขาดความมั่นใจ บ้างก็ทำตัวกลางๆไม่ออกความเห็นอะไรรอใครไปทางไหนก็ดูทางลมก่อน บ้างก็ไม่รู้จะทำอะไรนอกจากตั้งใจทำงานแม้ว่าอาจไม่มีความสามารถเฉพาะที่ทำให้โดดเด่น บ้างมีโอกาสก็พูดด้วยความปรารถนาดีแต่ไม่รู้ว่าจริงๆคิดยังไงกันแน่ บ้างมองแล้วก็ไม่แน่ใจว่าทำงานอะไรกันแน่?

ส่วนนี้คงโดนใจหลายคนที่เป็นกองกำลังงาน หรือมนุษย์เงินเดือนออฟฟิศเข้า เห็นคนในแผนกเหล่านี้แล้วคงเจอคนแบบที่ตัวเองไม่พอใจเข้าซักคน และแอบเอาใจช่วยบางคนในแผนกอยู่ก็ได้ เพราะความเห็นเหมือนตัวเอง

โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจึงอยู่ในวังวนของกลุ่มคนทำงาน กลุ่มคนเมืองที่ต้องอาศัยบริการขนส่งสาธารณะ เดินทางไปร่วมกับหลากหลายชีวิตในเมือง โลกของการทำงาน

และการเล่าเรื่องของหนังที่ค่อยๆเผยๆเรื่องราวออกมาทีละอย่างๆ จังหวะการเล่าของหนังก็สามารถพาผู้ชมให้ติดต่างเรื่องราวไปได้โดยวางเหตุการณ์ไว้ให้เราต้องติดตามพร้อมกับค่อยๆปะติดปะต่อเรื่องราว คาดเดา และเจอกับเหตุการณ์ระทึกต่อไปโดยที่บางจุดเราอาจไม่มีเวลาสงสัย แม้สุดท้ายดูเหมือนเราจะไม่กระจ่างในบางอย่าง และหนังก็ไม่ได้เผยตัวเองอย่างชัดเจนทุกเรื่อง แต่เรื่องก็พาผู้ชมไปถึงตอนจบได้โดยไม่สะดุด จังหวะระทึกของหนังนั้นแม้ไม่แปลกตาแต่ก็สอดแทรกเหตุการณ์และจังหวะได้ดี ในจุดนี้หนังระทึกเกาหลีได้หนังดีๆเพิ่มเข้ามาในกระบวนอีกเรื่อง และหลายๆเรื่องราวที่เป็นเหตุการณ์ประจวบเหมาะ ที่มักเห็นกันในหนังแนวๆนี้ ก็มีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆหยอดไว้ดีพอที่จะไม่ทำให้รู้สึกว่ามันดูจงใจจัง อย่างที่หนังหลายๆเรื่องอาจจะพลาดตรงนี้จนไปลดอรรถรสที่เป็นส่วนตื่นเต้นของหนังประเภทนี้ไป

ส่วนการเล่าเรื่องในแนวระทึกขวัญไม่มีพลาด ความน่าสนใจของเรื่องก็อยู่ตรงที่มันนำเสนอชีวิตในเมืองซึ่งมักเป็นที่ที่เข้ามาแสวงหางานและโอกาสก้าวหน้า เมื่ออยู่ในองค์กร เราก็จะมีสถานะที่ต้องแบ่งเป็นลำดับขั้นขึ้นไปเรื่อย และความสัมพันธ์ระหว่างกันก็จะอยู่กับงาน และลำดับขั้นในสังคมขององค์กร (ซึ่งก็อาจสะท้อนกลับไปเป็นลำดับขั้นเมื่อเราอยู่กินเดินทางในสังคมเมืองด้วย (เช่น นั่งรถประจำทาง ขับรกเอง มีคนขับรถ มีค่าน้ำมัน มีที่พักใกล้ มีที่พักไกล ฯลฯ)) สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกแสดงให้เห็นชัดๆในหนัง แต่มันอาจถูกแสดงไว้รายรอบสถานที่และสถานะการทำงานของตัวละคร ความสัมพันธ์ในที่ทำงานก็มีรูปแบบ และความจำเป็นเฉพาะ คนที่ร่วมเป็นองค์ประกอบในส่วนงานเดียวกันอาจเห็นได้ชัดกว่าส่วนงานอื่น(แต่ความจริงมันก็เกี่ยวข้องกันอยู่) คนที่ช่วยเหลือเราได้ คนที่ช่วยไม่ได้ คนที่มีอำนาจเหนือเรา คนที่ไม่มี คนที่ไม่เกี่ยว ฯลฯ รวมไปถึงเรื่องของสถานะ ซึ่งมักขึ้นกับการเปรียบเทียบ ทั้งเปรียบเองและถูกเปรียบ ก็มีอยู่ในทั้งสังคม และในที่ทำงานด้วย หลายครั้งการทำ หรือไม่ทำ อะไรก็เกี่ยวกับการกำหนดสถานะหรือความเป็นกลุ่มก้อนด้วย และในจุดหนึ่งก็ไม่ได้แปลว่าสถานะนี้จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ขณะที่งานเป็นตัวกำหนดลักษณะชีวิต มันก็อาจกำหนดความสัมพันธ์กับสิ่งรายรอบด้วย สถานะทางสังคม ของกิน การเดินทาง ที่อยู่ ฯลฯ นั่นทำให้หลายครั้งภาระที่แบกรับอันเกี่ยวเนื่องกับงาน ก็เป็นภาระอันเกี่ยวเนื่องกับชีวิตหรือการใช้ชีวิตด้วย ถ้าอย่างหนึ่งพังครืน มันก็อาจไปกระทบกับอีกอย่างให้พังลงไปด้วย และหลายครั้งเราอาจรู้สึกว่าอำนาจในการควบคุมสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา แต่มันก็อาจไม่ได้ขึ้นกับธรรมชาติ (ยกเว้นเหมารวมทุกอย่างที่เกิดภายใต้ธรรมชาติเป็นธรรมชาติหมด เช่น พฤติกรรมของคน) มันอาจขึ้นอยู่กับคนใดคนหนึ่งก็ได้ หรือมันอาจเป็น 'ผลรวม' จากหลายๆอย่างหรือหลายๆคนก็ได้ หลายๆครั้งเรื่องเหล่านี้ก็ผ่านพ้นไปได้เองตามครรลอง โดยผลกระทบจำกัดวงอยู่ในวงแคบๆและไม่ร้ายแรงจากทางเลือกที่มีให้ (เพราะความเป็นจริง สถานการณ์หลายอย่างก็ยังอาจมีทางเลือกให้) โดยที่ไม่จำเป็นที่หลายๆตัวละครในวังวนจะต้องมีส่วนรับรู้ถึงผลกระทบเหล่านี้ก็ได้ (หรือรู้อยู่ห่างๆ เหมือนเห็นฝนตกที่ต่างประเทศในทีวี) แต่ถ้ามันไม่ได้ผ่านพ้นไปตามครรลองและดำเนินไปอย่างปกติธรรมดาล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้น?...

เล่ามาถึงตรงนี้ดูเหมือนแค่ธีมที่อาจไม่เกี่ยวกับหนังโดยตรงก็อาจเป็นความสยองขวัญได้ง่ายๆ ความจริงตอนที่เรื่องดำเนินไป ก็สงสัยอยู่บ้างเหมือนกันว่าในขณะที่หนังเล่าเรื่องที่เข้มข้นของชีวิตคนเมือง ความจริงแล้วสิ่งที่เราติดตามมากที่สุดอาจไม่ใช่ประเด็นทางสังคมของหนังที่สอดแทรกไว้ แต่เป็นความตื่นเต้นลุ้นระทึกในเชิงเขย่าขวัญต่างหาก เราตื่นเต้นและติดตามจังหวะลุ้นระทึก จ้องที่จะปล่อยความน่ากลัวหรือสยองขวัญออกมา ส่วนที่หนังส่งผลต่อเราตรงๆจึงอาจไม่ใช่ความหมายในฉากหลังของมัน แต่เป็นความ 'เอนเตอร์เทน' ในเรื่องราวเขย่าขวัญที่เป็นฉากหน้า ซึ่งก็อย่างทีบอกหนังทำได้ดีมาก ทีแรกก็สงสัยนิดๆว่านี่มันดีหรือไม่ดีนะ? แต่พอร้อยเรียงเรื่องราวเป็นตัวหนังสือในย่อหน้าข้างบนแล้วก็รู้สึกมาอีกทางเหมือนกันว่า เออ การที่มันนำเสนอออกมาโดยเอาความเขย่าขวัญมาเอนเตอร์เทนเราเป็นฉากหน้า มันอาจจะโอเคก็ได้นะ ซึ่ง จริงๆก็ไม่ได้คิดว่าเขาเอาใจใส่ถนอมความรู้สึกเราอะไรขนาดนั้นหรอก เพราะไอที่เขย่าขวัญที่หลายฉากมันก็เขย่าจริงๆ ก็คิดว่าเขาคงตั้งใจทำหนังเขย่าขวัญที่มีประเด็นทางสังคมแฝงอยู่มากกว่า ซึ่ง ทำได้ดี และแม้จะรู้สึกตอนกลางๆเรื่องว่านี่เป็นแนวทางของหนังรหัสคดีสืบสวนซึ่งมีองค์ประกอบหลายอย่างของหนังแนวนั้นที่ทำให้หนังสนุกด้วยแหละนะ แต่สุดท้าย OFFICE ก็ไม่ได้เป็นหนังสายนั้นเต็มตัวขนาดนั้น ก็เพราะมันยังงำบางอย่างไว้ ไม่ได้บอกออกมาชัดๆ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไรสำหรับผม

ในหนังนอกจากเราจะได้อยู่กลางวังวนของ คนออฟฟิศ กลุ่มหนึ่งแล้ว ก็จะมีการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งก็เป็นคนทำงานคนหนึ่งในสังคมเหมือนกันนะ (และจริงๆก็มีออฟฟิศเหมือนกัน) แม้สถานะของตำรวจจะเป็นสถานะของหน่วยงานที่มีความหมายเฉพาะ แยกไปจากเมื่อพูดว่าคนทำงานหรือมนุษย์ออฟฟิศในความหมายทั่วไปก็ตาม แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ตกเข้ามาอยู่ในวังวนของความเขย่าขวัญนี้เหมือนกัน (โดยเฉพาะในหนังประเภทนี้ด้วยแล้ว)

สิ่งที่สะท้อนออกมาในหนังเขย่าขวัญที่ทำได้ถึงเรื่องนี้ จึงเป็นเรื่องของชีวิตคนเมืองและมนุษย์ออฟฟิศที่คงสะท้อนถึงชีวิตประจำวันของหลายๆคน ตัวละครที่แม้จะจำกัด แต่ก็มีบุคลิกเฉพาะตัวที่อาจทำให้หลายคนเอาใจช่วยหรือเกลี่ยดขี้หน้าใครในนั้นเข้าซักคนก็ได้ (ลูกน้องเฉื่อยแฉะ เด็กใหม่เรียนนอกต้นทุนดี พวกคอยตามน้ำ พวกฉะ-เลีย หัวหน้าจอมสั่ง บลา บลา บลา) แม้เรื่องราวจะไม่ถึงกับพลิกแพลงจนเกินคาดเดา แต่มันก็ทำในส่วนของความเขย่าขวัญได้ถึง ดึงผู้ชมให้ติดตามในส่วนนั้นได้ จนอย่างที่บอก จุดหนึ่งถึงกับดันตั้งคำถามกับตัวเองว่า เฮ้ย นี่เรา เอนเตอร์เทน อยู่นี่ (คือถ้าเป็นเรื่องไกลตัวไปเลย เราอาจสงสัยน้อยกว่านี้บ้าง แต่ว่าไป นี่ก็ถือเป็นจุดขายหนึ่งของหนังแนวนี้อยู่แล้วนะ)  แม้ว่าหนังจะไม่เคลียร์ทุกอย่างให้ชัดๆ หนังก็ดึงความสนใจเราได้ไปจนจบ สำหรับประเด็นของเรื่องคนออฟฟิศ แต่ละคนแต่ละสถานะอาจได้มีโอกาสเอาตัวละครในหนังไปแทนคนโน้นคนนี้เข้าบ้างก็ได้ อาจมีใครแทนตัวละครไปด้วยความสาแก่ใจเข้าก็ได้?... แต่ขณะเดียวถ้าเราไปเข้าตาใครเข้า ก็มีโอกาสให้ตัวเราถูกแทนเป็นตัวละครในหนังเข้าได้เหมือนกัน แต่ระหว่างนั้นเราก็ยังอยู่ในโลกของการทำงานที่เกี่ยวพันกับชีวิตในสังคมที่มีหลายองค์ประกอบที่เกี่ยวพันกันไปด้วยเหมือนกัน เหตุการณืแบบในหนังจะเกิดขึ้นได้ไหม? หรือเกิดขึ้นที่ไหน?... ขณะที่ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากชีวิตประจำวันในการใช้ชีวิต เดินทาง ไปทำงาน ของเรา หนังเรื่อง OFFICE ก็เป็นหนังเขย่าขวัญที่เอนเตอร์เทนเราได้เข้าขั้นครับ 8.1 คะแนน 

เพิ่งรู้ว่านี่เป็นผลงานเปิดตัวของ ฮอง วอน ชัน ที่ได้เข้าร่วมงานภาพยนตร์เมืองคานส์ด้วย เรื่องเปิดตัวได้ขนาดนี้ ถือว่าเยี่ยมครับ
และก็เพิ่งรู้ว่า เขาได้เขียนบทหนังเกาหลีเรื่องดัง THE CHASER ด้วย อืม...เพราะงั้นไม่ได้ขนาดนี้ก็ไม่ได้ซินะ?!...  

ปล. คงไม่ถือว่าเป็นโบนัส แต่ในเรื่องนี้มีนักแสดงที่มีรูปโฉมให้นึกไปถึง ยู อาโออิ ด้วยแฮะ ไม่เหมือนหรอกนะครับ แค่ทำให้นึกถึงเฉยๆ
ปล.2 นอกจากนั้นพนักงานออฟฟิศ ลี มิเร ในหนังเรื่องนี้ คุ้นๆนิดๆเลยลองค้นโน่นนี่ดู พบว่า เออ เธอเคยแสดงใน THE HOST ด้วยแฮะ ถึงว่าหน้าคุ้นๆ


หนังเรื่องนี้มีรายการให้ร่วมสนุกด้วยนะครับ แจก Gift Voucher ที่พักที่หัวหิน 2 วัน 1 คืน ดูรายละเอียดได้ ที่นี่
 
ก็เป็นหนังสนุกที่รอบน้อย ทีแรกได้ข่าวว่าผ่านมาอาทิตย์เดียวรอบก็หมดแล้ว (ดีนะที่รีบไปดู) แต่ก็มีข่าวมาอีกว่ายังมีรอบเหลือที่ เอสพลานาด รัชดา นะครับ วันละรอบ 16:30 ลองไปดูกันได้นะ




นึกถึง 
ความจริงเราก็เห็นชีวิตคนทำงานขึ้นจอที่หลากหลายขึ้นในหนังไทยระยะหลังๆนะครับ โดยเฉพาะหนังของ GTH (กลายเป็น GDH ไปแล้ว) อย่าง พนักงานธนาคาร ติวเตอร์ ฯลฯ ซึ่งก็เป็นไปในทำนองคอมเมดี้ หรือเลิฟคอมเมดี้ สว่างสดใสหน่อยซะมาก แต่สำหรับหนังไทยพูดถึงชีวิตพนักงานออฟฟิศที่นึกถึงหลังดู OFFICE นึกถึงเรื่้องนี้ครับ
  
ตอน UNDERGROUND ซึ่งเป็นเรื่องที่ 2 ใน SUR-REAL รวมภาพยนตร์สั้น 3 เรื่อง จากค่ายโก๋ฟิล์ม เป็นเรื่องความกดดันที่เกิดกับมนุษย์ออฟฟิศนายหนึ่งครับ จริงๆไม่ควรบอกว่าเป็นหนังแนวอะไร จะได้สนุกกว่า แต่ก็อาจหาดูลำบากนิด เพราะเหมือน DVD เขายังไม่มีทำออกมา (ไม่แน่ใจ) แต่ถ้าจะให้บอก หนังมีทั้งบรรยากาศกดดันของคนออฟฟิศ ความเพี้ยน มีบรรยากาศเขย่าขวัญแบบหนัง SLASHER แถมยังมีบรรยากาศหนังเพลงด้วย! เป็นเรื่องที่ชอบที่สุดใน 3 เรื่องด้วยครับ




ส่วนหนังไทยเกี่ยวกับมนุษย์ออฟฟิศที่ยังไม่ได้ดู และก็น่าจะสว่างกว่าทั้ง OFFICE และ UNDERGROUND ชื่อก็ตั้งมาตรงซะขนาดนี้ ก็คือ ยอดมนุษย์เงินเดือน ที่ได้ยินกิตติศัพท์ความสนุกและสะท้อนชีวิตมนุษย์เงินเดือนได้มาบ้าง อยากดูก็อยากดู แต่ก็ยังไม่ได้หามาดูซะที T T 







สำหรับคอหนังเขย่าขวัญเกาหลี ที่บอกว่าเพิ่งได้ดูไปไม่นานแล้วทึ่ง คือเรื่อง THE CHASER ครับ หนังไม่ได้เกี่ยวกับคนออฟฟิศ แต่พาเราไปอยู่ในโลกของอาชีพชายขอบแทน คุ้นๆว่าผู้กำกับเอาแรงบันดาลใจจากคดีจริงมา (ไม่ชัวร์นะครับ) ได้ไปดูที่หอศิลป์ ซึ่งนอกจากคำว่าทึ่ง หรือสุดยอดมาก ทั้งความตื่นเต้น เขย่าขวัญ กดดัน และสิ้นหวัง... พูดไม่ออก ใครสนใจก็ลองหาดูกันได้ครับ






สุดท้าย ในโลกของการทำงานและชีวิตในชุมชนเมือง จะมีอะไรดำมืดไปกว่านั้นได้อีกไหม?...  นึกถึง THE SEVENTH CONTINENT หนังออสเตรีย ของผู้กำกับ ไมเคิล ฮานาเก้ ไม่แนะนำสำหรับสายไม่แข็ง (ซึ่งไม่ใช่ได้สายแข็งมาเพราะด้านภาพ) นะครับ






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น