วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] HAIL, CAESAR! กองถ่ายป่วน ฮากวนยกกอง : โว้ยย, จงศรัทธา!


เอ็ดดี้ แมนนิกซ์ เป็นอาชีพและคนสำคัญแห่งกองถ่าย เจ้าของค่าย เจ้าของตังค์ ดารา และสำคัญสำหรับอีกหลายๆๆคน แห่งวงการหนังในยุคทองของฮอลลีวู้ด เขามีอาชีพเป็นนักแก้ปัญหา กองถ่ายฝนตก ปิดกล้องไม่ได้ จัดฉากคบหาดารา ผู้กำกับอยากด่าเจ้าของตังค์ เจ้าของตังค์อยากให้ดาราคนนี้ไปแสดงในหนังเรื่องโน้น ฯลฯ ที่ว่ามายังแค่ปัญหาประจำวัน ปัญหาบ้าบอพันแปดประการยังคงรอเขาอยู่...

ปัจจุบันพี่น้องโคเอน (โจล โคเอน และ อีธาน โคลเอน) ถือเป็นผู้กำกับคนสำคัญคนหนึ่งของฮอลลีวู้ด มีทั้งหนังได้กล่องมากมาย และหนังช่วงหลังๆหลายเรื่องก็ได้ตังค์ด้วย เช่น NO COUNTRY FOR OLD MEN (หนังได้ออสการ์ด้วย) หรือ TRUE GRIT แต่กว่าจะมีถึงจุดนี้พี่น้องโคเอนก็คงผ่านอะไรมาเยอะ แม้จะแจ้งเกิดได้ตั้งแต่หนังอินดี้หาตังค์มาทำกันเองอย่าง BLOOD SIMPLE หนังอาชญากรรมทุนน้อยแต่สุดเข้มข้น (เป็นต้นแบบของหนังจีนขึงขังบ้าฮามืดๆของ ผู้กำกับ จางอี้โหมว อย่าง A WOMAN, A GUN AND A NOODLE SHOP ด้วย)  แต่การจะผ่านอะไรๆมาจนถึงทุกวันนี้ โดยยังรักษา ความเป็นตัวตนของผู้กำกับ ชื่อเสียง สถานะไว้ในโลกแห่งฮอลลีวู้ดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

หนังของพี่น้องโคเอนมักจะมีอารมณ์ขันผสมอยู่ แบบมืดๆ แม้หนังในช่วงหลังจะมีท่าทีเข้มๆเป็นหลัก แต่ทุกเรื่องก็มีส่วนผสมของอารมณ์ขันแบบมืดๆผสมอยู่ในปริมาณมากน้อยต่างกันไป (ซึ่งผมก็ชอบหมดเลยซะด้วย ตั้งแต่ NO COUNTRY FOR OLD MEN, BURN AFTER READING, A SERIOUS MAN, TRUE GRIT,  INSIDE LLEWYN DAVIS มากน้อยต่างกันไป) บางครั้งพี่น้องโคเอนก็จะทำหนังที่ดูจะเอาอารมณ์ขันนำหน้า(แต่ก็แบบมืดๆ)ออกมาบ้าง และ HAIL, CAESAR! ก็น่าจะจัดอยู่ในตระกูลนี้

HAIL, CAESAR! เป็นหนังที่ว่าไปแล้วก็ทำให้นึกไปถึงหนังบางเรื่องของผู้กำกับ วูดี้ อัลเลน อีกหนึ่งผู้รอดชีวิตในฮอลลีวู้ดมาถึงปัจจุบันโดยยังทำหนังออกมาสม่ำเสมอและรักษาตัวตนไว้อย่างเหนียวแน่น (ทำหนังถี่กว่าพี่น้องโคเอนซะอีกเพราะทำทุกปี แทบไม่เคยขาด) คือ นี่เป็นหนังที่ถ้ามีข้อมูล(หรือความรู้)เกี่ยวกับเรื่องราวของหนังซักหน่อยจะดูสนุกกว่าไม่มี

เพราะมันเป็นเรื่องราวหลังกองในวงการภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ในยุคทอง (ราวๆยุค 1950s) เรียกว่าแทบจะล้วนๆ เพราะงั้นคนที่พอจะอินเรื่องในวงการ อินหนังเก่า อินเรื่องฮอลลีวู้ดเก่าๆ น่าจะดูสนุกกว่าคนที่ไม่อินหรือไม่รู้เลย (พอดีผมก็เป็นพวกครึ่งๆกลางๆ)

หากดูในโปสเตอร์จะเห็นว่า คนที่ปรากฎหน้าตามากที่สุด ซึ่งปกติจะเดาก่อนว่าเป็นพระเอก คือ จอร์จ คลูนี่ย์ เจ้าของบท แบรด วิทล๊อค ดาราเจ้าบทบาทฟันงาม ที่มีรูปหน้าปรากฎบนโปสเตอร์ถึง 1 หน้าครึ่ง (ถ้าด้านล่างที่ถูกแบกหน้าตะแคง(นับเป็นครึ่งหน้า)อยู่ดูออกว่าเป็นหน้าแก) แต่ จอช โบรลิน เจ้าของบท เอ็ดดี้ แมนนิกซ์ มีรูปอยู่กลาง สรุป ใครเป็นพระเอกกันแน่? ไม่รู้เหมือนกัน... แต่เรื่องเปิดด้วย เอ็ดดี้ แมนนิกซ์  ในห้องสารภาพบาป ครับ


เอ็ดดี้ แมนนิกซ์ รู้สึกต้องเข้าไปใช้บริการห้องสารภาพบาปเกี่ยวเนื่องมาจากงานที่แกทำอยู่ เพราะมันทำให้รู้สึกว่าแกต้องประพฤติปฏิบัติอะไรที่เป็นการไม่เหมาะไม่ควรไปบ่อยๆ แต่ ถัดจากห้องสารภาพบาปแกก็ต้องไปเผชิญกับงาน ในฮอลลีวู้ด ของแกอยู่ดี แต่ด้วยความที่แกเป็นคนเก่ง อ่างที่ถ้าไปดูก็จะได้รู้ถึงความฉกาจฉกรรจ์ของแกเองในการรับมือกับปัญหาสารพัดให้สามารถจบหรือหาทางออกได้สวยๆ (?) และรับมือกับบรรดาคนมากมายหลากหลายประดามีซึ่งก็มีความ 'พิเศษ' แตกต่างกันไปในสตูดิโอที่แกประจำอยู่ ทั้งนักแสดง ผู้กำกับ นักข่าว เจ้าของ สปอนเซอร์ บลาบลาบลา ชีวิตดูน่าปวดหัวเสียนี่กระไร แต่แกก็ยังทำงานอย่างมุ่งมั่นคิ้วขมวดต่อไป แถมยังไม่มีอาการเกรี้ยวกราดและใจเย็นอย่างเหลือจะเชื่อ เพราะงั้น จะมีคนเห็นความเก่งของแกก็ไม่แปลก จึงมีข้อเสนอมาให้แกย้ายไปทำงานกับงานที่ต้องการความเก่งในการจัดการของแก นอกสตูดิโอ เมื่อกลับถึงบ้าน ดูเหมือนแกก็มีภรรยาที่เข้าอกเข้าใจแกรออยู่ไม่มีการเกรี้ยวกราดที่กลับช้า และแกก็เอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับภรรยาด้วย เผื่อว่าแกจะได้งานที่สบายขึ้นไม่ต้องกลับดึกดื่น ไม่ต้องมีความรู้สึกผิดติดใจให้ต้องไปเป็นขาประจำห้องสารภาพบาปขนาดนี้ แต่ภรรยาแกก็ไม่ว่าอะไร ให้แกเลือกสิ่งที่ 'ชอบ' และเห็นว่าแกพอใจ ช่างเป็นภรรยาที่ดีอะไรอย่างนี้

รุ่งขึ้น..เมื่อแกกลับมาที่สตูดิโอ แกก็ต้องเผชิญกับปัญหาพันแปดประการที่รอให้แกสะสางอยู่อีก ระหว่างนั้นเราก็จะได้ตามดูเรื่องราวของอีกหลายๆๆคน เช่น นักแสดงสาวสวยภาพลักษณ์ใสๆที่ดันท้องแต่ไม่รู้ว่าพ่อเป็นใคร นักแสดงจากบทคาวบอยลูกทุ่งพูดน้อยที่ต้องมาแสดงในหนังผู้ดีลีลาศในมือของผู้กำกับต่างชาติจอมเพอเฟ็คชั่นนิสต์ (แปลว่าเจ้าระเบียบเผงๆก็พอได้) ระหว่างนั้นก็มีหนังอีพิคเกี่ยวกับอาณาจักรโรมันใต้การปกครองของซีซาร์ ที่ไม่ยักได้เห็นซีซาร์ แต่กล่าวถึงแม่ทัพนายกองนามแม็กซิมัส เฮ้ย ไม่ใช่ นั่น GLADIATOR ผิดเรื่องแล้ว   ...กล่าวถึงแม่ทัพนายกองคนหนึ่ง ที่อยู่ในยุคที่พระเยซูมาเผยแพร่คำสอนในอาณาจักรโรมัน ก่อนจะถูกจับและลงโทษโดยการตรึงกางเขนในท้ายที่สุดในข้อหาสมอ้างเป็นบุตรของพระเจ้า ซึ่ง...เอ็ดดี้ ก็ต้องเชิญเหล่าผู้นำตัวแทนจากแต่ละศาสนาที่เกี่ยวข้อง ทั้ง คาทอลิก โปรเตสแตนต์ ยิว และอิสลาม มาพูดคุยแจ้งจารให้รับทราบเกี่ยวกับลักษณาการที่พระเยซูจะปรากฎตัวบนจอหนังเพื่อไม่ให้เกิดความหมางใจใดๆในทางศาสนาเข้า ซึ่งก็ทั้งน่าปวดหัวและน่างุนงงอยู่ไม่น้อย แต่ที่น่าปวดหัวที่สุดคือ... (ปรากฎในตัวอย่างหนังแล้ว) แบรด วิทล๊อค หายตัวไปจากกองถ่าย... และมีจดหมายขู่เรียกค่าไถ่มาจาก อนาคต (THE FUTURE) ขณะเดียวกัน แบรด วิทล๊อค ก็ตื่นขึ้นในที่แห่งหนึ่ง

ผมมีปัญหาอยู่สองข้อในขณะดูหนังเรื่องนี้ คือ หนึ่ง ผมเป็นพวกครึ่งๆกลางๆอย่างที่่ว่าไว้ด้านบน เพราะงั้นกว่าจะค่อยๆจับค่อยๆติดตามว่า เฮ้ย เรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร ก็ต้องใช้เวลาไปพักนึง และ สอง ตามๆมาแล้วก็รู้สึกว่ายังไม่แน่ใจว่าเรื่องราวในเรื่องนี้มันเกี่ยวกับอะไรแน่? หรือจริงๆแล้วตั้งใจจะเล่าเรื่องอะไรแน่? เพราะรู้สึกว่า ตัวละครที่(เขาให้)เราตามอยู่มันเยอะมาก แม้เรื่องจะเปิดด้วย แบรด วิทล๊อค ก็จริง แต่ต่อมาเราก็จะได้ติดตามเรื่องราวของนักแสดงโน่นนี่ ผู้กำกับ เรื่องราวในกองถ่าย นักข่าว และเดอะอนาคต ด้วยเต็มไปหมด ดูไปพักใหญ่ๆก็ยังไม่แน่ใจว่ามันยังไงแน่? จะว่าเขาเล่าเรื่องความวายป่วงเบื้องหลังฮอลลีวู้ดว่ามันยุ่งได้ขนาดนี้เลยนะ ก็คิดว่ามันน้อยไป ไม่น่าใช่ และส่วนหนึ่งเพราะมาถึงปัจจุบันเรื่องพวกนี้ก็น่าจะยังอยู่แถมยังยุ่งเหยิงกว่าเดิมซะอีกมัง? (เมืองไทยก็มีบ้าง แต่ยังดูเด็กๆมากถ้าเทียบกับฮอลลีวู้ดที่นำเราไปนานนแล้ว หุหุ) จะว่าให้ประทับใจกับความหลังฮอลลีวู้ดก็ไม่น่าใช่ เพราะแม้จะมีเสน่ห์ของฮอลลีวู้ดให้ได้เห็นกันน่ารักๆดีหลายอย่าง แต่มันก็ถูกแสดงออกมาในแบบดูเอาตลกผสมมากกว่าจะเอาจริงกันจังๆ และมันก็ดูไม่ชัดเจนขนาดนั้น จะว่าไปเรื่องที่ดูจะใหญ่โตที่อาจหาดูไม่ได้(ชัดๆ)ในปัจจุบันก็เห็นจะมีแต่ส่วนของ เดอะอนาคต แต่ก็ไม่รู้สึกว่าจริงๆมันโฟกัสไปที่เรื่องนี้แหงๆ?... หรือจะบอกกันทื่อๆเลยว่า นี่นะ ดูไว้ วงการมายามันอลหม่านชุลมุนชุลเก ขนาดนี้เลยนะ! มันก็ดูเลื่อนลอยไปหน่อยไหม? นี่ดูไปก็คิดสงสงสัยไปดูไม่ค่อยจะมีความสุขไปเกือบตลอดเรื่องเลยนะนี่ (เวร) แม้ว่าจะสนุกสนานกับหลายช่วงหลายตอนในหนัง ก็ยังรู้สึกว่ามันดูกระจัดกระจาย(กว่าหนังที่ผ่านตามาของพี่น้องโคเอนด้วย ทั้งในแนวตลกนำ หรือแนวเข้มนดราม่านำ ก็ตาม) และยังจับอะไรไม่ได้ถนัดนักนอกจากความอลหม่านอยู่ดี (สกาเล็ตก็ช่วยผมไม่ได้ แม้จะจับตาตลอดที่เธอโผล่มาบนจอก็ตาม...) ไปจน...เรื่องจบ...

ผมถึงค่อยรู้สึกว่า หรือนี่มันจะเป็นเรื่องของศรัทธา...

จริงๆแล้วแต่ละอย่างที่เราทำหรือแต่ละอย่างที่เราเผชิญ แม้บางครั้งจะเป็นไปโดยเหตุผล มีการใช้เหตุผลมากมาย แต่บางครั้งหลายๆเรื่องที่เราทำ หลายๆเรื่องที่เราเผชิญ มันก็ดูไม่นำพากับสิ่งที่เรียกว่าเหตุผลซะเลย พรุ่งนี้ฝนจะตกไหม งานที่เราทำจะเลี้ยงดูเราได้อีกยี่สิบปีไหม ความดีที่เราทำจะได้คืนกลับไหม เขาจะหลงใหลเราจริงๆใช่ไหม ชีวิตคู่เราจะสวยงามใช่ไหม หมาข้างบ้านจะไม่เห่าเราแล้วใช่ไหม ฯลฯ บางเรื่อง...ดูเหมือนเราไม่อาจเอาเหตุผลมาช่วยให้คำตอบให้กระจ่างชัดได้เลย... ทั้งคำถามเล็กๆ หรือคำถามใหญ่โตเกินที่เราจะเข้าใจได้ แต่ ในเมื่อหลายครั้งเราก็ยังต้องดำเนินชีวิตต่อไป มันก็อาจมีสิ่งที่มาช่วยเติมเต็มช่องว่างเหล่านี้ ถมช่องว่างของเหตุผลให้เราก้าวเดินไปบนเส้นทางเหล่านั้นต่อไป และมันยังช่วยให้เรามองข้ามอะไรๆหลายๆอย่างที่เราไม่แน่ใจหรือไม่เข้าใจไว้ไปด้วยในขณะเดียวกัน นักแสดงที่อาชีพก้าวหน้าจึงกล้าที่จะทิ้งอาชีพรุ่งเรืองไปกับสิ่งที่ตนเชื่อ(และสุนัขแสนรัก) นักเขียนบทที่คิดว่าโลกไม่ยุติธรรมจึงกล้าก่อการใหญ่และสุดท้ายก็ทิ้งเงินที่เรียกร้องให้กับสิ่งที่เชื่อมั่นกว่าไป นักแสดงสาวที่เจอชายผู้เสียสละเพียงครั้งจึงตกลงปลงใจร่วมชีวิตกับเขาทั้งที่ชีวิตเธอล้มเหลวมามากครั้ง (หรือเธออาจเสียศรัทธาเก่าๆที่เคยยึดถือไป) นักแสดงที่ยังแสดงไม่ถูกใจผู้กำกับซักทีและหญิงข้างๆเขาดูจะให้ความสนใจกับฉากโปกฮามากกว่าฉากเกากีตาร์ร้องเพลงของเขาจึงยังมุ่งมั่นทำสิ่งที่โดนบอกให้ทำเสมอมาอย่างไม่ย่อท้อได้โดยตลอดแม้จะไม่เข้าใจอะไรทั้งหมดเท่าไหร่ก็ตาม นักข่าวสาวจึงยังแวะเวียนมาตามแหล่งข่าวโดยเชื่อว่าตนจะได้ข่าวพิเศษเพียงผู้เดียว และเรายังมีคู่แข่งพร้อมกับความเป็นพี่น้องได้เสมอ กระทั่ง...ศรัทธาของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันหรือไม่จำเป็นต้องชี้ไปที่สิ่งเดียวกัน เราจึงเห็นว่าตัวแทนจากศาสนาที่ถูกเชิญมาถกเรื่องการปรากฏตัวของพระเยซูในภาพยนต์นั้น ดูจะมีสิ่งที่ให้ความสำคัญหรือรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกัน และความจริงเราก็ยังไม่ได้เห็นซีซาร์เลย... ศรัทธาของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน แต่หลายครั้งเราก็ต้องอาศัยศรัทธาเป็นเครื่องชี้นำชีวิต แต่ถ้าสูญสิ้นซึ่งศรัทธาล่ะ? เราจะอาศัยอะไรเป็นเครื่องชี้นำชีวิต?

และบางครั้ง เราก็ยังอาจมีความลังเลใจหรือไม่แน่ใจเกิดขึ้นในชีวิต เราอาจมีคำถาม ว่าทำไมเราจึงต้องอยู่กับสิ่งนี้ทั้งที่มีทางเลือก หรือเราชอบมัน? แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร  เพราะมันทำให้เราเป็นทุกข์และต้องทำอะไรแย่ๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้เรากลับไปนอนคิดอยู่ทุกคืนก่อนหลับใหลไปในนิทรารมภ์ แต่ถ้าวันนึงเราตื่นขึ้นมาและพบสัญญาณอะไรบางอย่าง เรื่องวุ่นวายกลับคลี่คลายได้ง่ายๆ จู่ๆนักแสดงสาวก็ไม่ต้องท้องไม่มีพ่อของลูก จู่ๆก็มีดอกไม้ปรับความเข้าใจส่งมาในมือ จู่ๆก็มีที่ให้ใช้ดอกไม้ในมือโดยไม่ต้องตามหา จู่ๆก็มีคนบอกว่าให้เราทำตามสิ่งที่เราชอบเราเชื่อ... จู่ๆเราก็จะเชื่อมั่นและตัดสินใจได้ว่า เราจะยังคงมุ่งมั่นทำมันต่อไป แม้ขวากหนามอุปสรรคจะมากมาย และดูช่างไร้เหตุผลเหลือเกินที่เราจะยังไม่ทิ้งมันไปหาตัวเลือกที่ดูจะดีกว่า นั่นก็เพราะว่า มันเป็นสิ่งที่เราศรัทธา

ผมเข้าใจเอาว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับ เอ็ดดี้ แมนนิกซ์

ขณะเดียวกันผมก็แอบสงสัยว่า หรือนี่มันจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่น้องโคเอนด้วย? ในช่วงเวลายาวนานที่ฝ่าฟันมาในวงการฮอลลีวู้ด ซึ่งคงเจออะไรมากมาย บางทีแม้ไม่ได้บอกเล่าออกมาตรงๆในบทบาทของผู้กำกับ (เออ แต่มีเรื่องของคนเขียนบทนะ) พี่น้องโคเอนก็อาจจะอยากเอาความอลหม่านที่คงมีอยู่ในฮอลลีวู้ดมาบอกเล่ากันให้ได้รับทราบ ผ่านท่าทีหนุกๆขำๆ (แบบมืดๆ) หลายๆอย่างก็จิกกัดกันแค่พอแสบๆ และหลายอย่างก็มีบรรยากาศของการรำลึกคารวะ ในท่าทีทำเอาสนุกที่ได้จำลองภาพในขณะนั้น หรือภาพอย่างหนังคาวบอย หรือหนังเพลงมาใส่ (สนุกดี) พร้อมมีบรรยากาศของอารมณ์แบบสืบสวนสอบสวนพอได้กลิ่น แถมเรื่องราวใหญ่โตบางอย่างก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในฮอลลีวู้ดยุคนั้นจริงๆ กระทั่ง เอ็ดดี้ แมนนิกซ์ ก็มีตัวตนจริง และมี 'อาชีพ' อย่างในเรื่องจริง แต่ก็ไม่ได้เอาเรื่องราวจริงๆหรือบุคลิกจริงๆมาใส่ไว้ แต่ก็บอกอย่างจริงใจไว้ด้วยว่า ความวุ่นวายลำบากขนาดนี้ แม้อาจไม่ใช่สิ่งที่พวกตนต้องเจอมาจริงๆจั๋งๆ แต่ก็นั่นแหละ ในวงการมายาฮอลีวู้ด มันมีความวายป่วงที่ดูจะป่วยการหาสาเหตุได้อยู่เสมอ ได้แต่ค่อยๆตามแก้ปัญหาไปวันๆ และบางครั้งเราก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะไปต่อไหวไหม? หรือจะต้องไปต่อเพื่ออะไร? ทั้งที่มันมีอุปสรรคขวากหนามขนาดนี้... เพราะฉะนั้น เราคงรอดมาถึงวันนี้ไม่ได้ ถ้าเราไม่มีศรัทธากับสิ่งที่เราทำเพียงพอ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กับเวลายาวนานที่ผ่านมา พี่น้องโคเอนอาจเล่าถึงอารมณ์ที่ต้องฟันฝ่ามาผ่านหนังเรื่องนี้ก็เป็นได้

เพราะฉะนั้นกับสิ่งที่เคยเชื่อหรือยึดถือมาตลอด ถ้าเราเผชิญเหตุการณ์บางอย่างที่เราไม่เคยรู้จัก หลายครั้งเราก็เริ่มไม่แน่ใจขึ้นมาว่าเรารู้จักอะไรที่เคยคิดว่ารู้จักดีแล้ว เมื่อนั้น เราก็เริ่มไม่แน่ใจ และมันอาจแย่ที่สุด เมื่อเราตระหนักขึ้นมาว่าเราไม่รู้จักมันจนกระทั่งเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ เปล่งเสียงว่า ศรัทธา... ว่าเราไม่แน่ใจว่าควรจะศรัทธาอะไร หรือเหลืออะไรให้ศรัทธา... แม้แต่ตัวเอง...

แม้จะไม่ใช่หนังที่บอกได้ว่าชอบเกือบเต็มพันหรือสนุกเฉียดเต็มร้อย (เว่ออีกแล้ว ไม่มีหนังเรื่องไหนได้คะแนนขนาดนั้นหรอก หุหุ กั๊กคะแนน) อย่างงานหลายๆเรื่องในช่วงหลังๆที่ผ่านมาของพี่น้องโคเอน ด้วยงานที่ผ่อนคลายในสไตล์เอาอารมณ์ขัน (แบบมืดๆ) นำหน้า และคิดว่าพี่น้องโคเอนก็คงอยากทำอะไรสนุกๆพร้อมล้อเลียน คารวะ และแฉวงการฮอลลีวู้ดไปพร้อมๆกันนี้ (จึงได้ฉากหนุกๆมาหลายฉาก อย่างเช่น ฉากหนังเพลงของ แชนนิ่ง ทาทัม) แม้จะสนุกไม่เต็มนักด้วยความกระจัดกระจายของเรื่องย่อยๆและตัวละคร (แม้ว่าดาราคับคั่งทุกคนจะได้มีฉากสนุกๆกันหมด) พลังของหนังจึงดูจะอ่อนไปหน่อย แต่ประเด็นที่ฉุกคิดได้ด้วยศรัทธา(?) ก็ยังทิ่มแทงใจได้พอๆกับงานหลายๆเรื่องในช่วงหลังๆของพี่น้องโคเอน(แถมอาจจะคาบเกี่ยวกับประเด็นเดิมในหนังบางเรื่องซะด้วย) เอาเป็นว่า เต็มใจให้ 8.1 คะแนนครับ

...ทั้งๆที่ก็ไม่รู้หรอกว่าที่เข้าใจเอานี่ ตรงกับสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อจริงๆหรือเปล่า(ฟระ?) แต่ก็นั่นล่ะครับ... เราต้องมีศรัทธา 

(แต่ไม่จำเป็นต้องเชื่อผมครับ ศรัทธาของใครก็ของมัน)


นึกถึง
จริงๆ ดูเรื่องนี้แล้วก็นึกถึงหนังพี่น้องโคเอนที่ผ่านๆมาหลายเรื่องอยู่นะครับ จริงๆในสายตลกนำ เรื่องที่ชอบที่สุดยังเป็น RAISING ARIZONA (ขำสุด ว่างั้น) แต่ก็จะยังไม่แนะนำคู่กับเรื่องนี้ อืม...ส่วนใหญ่พี่น้องโคเอนมักจะทำหนังที่พูดถึงยุคเก่าๆซะเยอะ เรื่องนี้ก็ใช่ ซึ่งอาจเป็นความชอบส่วนตัวบางอย่างหรือเหตุผลอื่น

จริงๆก็อยากเห็นหนังในบรรยากาศปัจจุบันของพี่น้องโคเอนเหมือนกัน ซึ่งก็มีบ้างแต่ไม่ค่อยเยอะ ถ้าต้องแนะนำไว้ซักเรื่อง เอาเป็น BURN AFTER READING ละกันครับ บรรยากาศค่อนข้างปัจจุบัน แต่แม้มันจะไม่เก่านักก็ออกฉาย(และกลายเป็น DVD) มาหลายปีแล้ว พลังความปัจจุบันของมันจึงอาจลดไปบ้าง แต่ก็นะ ใหม่กว่าหนังหลายๆเรื่องที่เล่าในยุคเก่าจริงๆแน่ แม้จะคิดว่าออกแนวตลกนำ แต่คิดว่ามีฉากชวนช๊อคมากกว่า HAIL, CAESAR! นะ และก็เป็นเรื่องที่มีดารามากันคับคั่งเหมือนกัน แถมหลายคนก็ยังแสดงใน HAIL, CAESAR! ด้วย

มี แบรด พิทท์ ด้วยนะ แต่เฮียไม่ได้ตามมาแสดง HAIL, CAESAR!

ไหนๆก็ไหนๆ มีอาชีพนักแก้ปัญหาตามล้างเช็ดในฮอลลีวู้ดแล้ว แนะนำหนังที่มีอาชีพประหลาดๆ ที่เฮีย จอร์จ คลูนี่ย์ แสดงคั่นไว้ซักเรื่องครับ เรื่อง UP IN THE AIR พูดถึงอาชีพของ 'นักแก้ปัญหา' เหมือนกัน แถมจะว่าเป็นนักแก้ปัญหาในยุคสมัยใหม่ก็ว่าได้นะ

หน้าหนังอาจดูเป็นคอเมดี้ แต่หนังจริงๆไม่ได้คอมเมดี้สุดตัวขนาดนั้น เรียกว่าเป็นหนังมีประเด็นหนักๆที่มีคอเมดี้เคลือบอยู่มากกว่า คล้ายๆ JUNO (ผู้กำกับคนเดียวกัน แต่ JUNO อาจมีเรื่องที่ทำให้ขำตรงๆได้มากกว่า) แต่ก็เป็นหนังดูสนุกที่มีประเด็นของชีวิตในยุคสมัยใหม่(แบบเจ็บจี๊ด) แอนนา เคนดริก แสดงในหนังเรื่องนี้ด้วย และ เวรา ฟาร์มิก้า ก็ปล่อยพลัง(และเสน่ห์)ในหนังคู่กับ จอร์จ คลูนี่ย์ ได้คู่คี่สูสีครับ ปีนั้นทั้งสามคอกอดคอเข้าชิงออสการ์กันหมด

หนังอีกเรื่องของพี่น้องโคเอนที่นึกถึงหลังเขียนจบ คือ A SERIOUS MAN เป็นหนังอีกเรื่องของพี่น้องโคเอนที่ชอบมาก รู้สึกจะชิงออสการ์ปีเดียวกับ UP IN THE AIR ด้วยมัง?









และเมื่อพูดถึงฮอลลีวู้ด โดยเฉพาะในยุคทอง มีหนังพี่น้องโคเอนอีกเรื่องที่นึกถึง และหนังอื่นอีกซัก 2 เรื่องให้ ถ้าดู HAIL, CAESAR! แล้ว ก็ลองไปตามดูกันเพิ่มเติมได้ โดยจะไม่บอกรายละเอียดของหนังนะครับ (หุหุ - เขียนเยอะแล้ว จนขี้เกียจ... - -) ลองไปหามาดูกันเลย

ของพี่น้องโคเอน BARTON FINK










และ HOLLYWOOD LAND ชื่อเข้าแก๊บมาก










กับ TRUMBO กำลังจะเข้าโรงในไทย ปลายเดือน มีนาคม (เคยพูดถึงไปแว่บๆทีนึงในฐานะหนังเอี่ยวออสการ์ที่มีโอกาสเข้าโรงฉายในไทย) ลองติดตามดูกันได้ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น