วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] JOY เธอสู้เพื่อฝัน : เธอผู้ไม่ยอมแพ้


JOY เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีชื่อตามชื่อเรื่องนะครับ จอย เป็นชื่อของเธอ และเธอก็ถือเป็นทั้งนักประดิษฐ์และนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในอเมริกา แต่ก่อนหน้าที่เธอจะอยู่ในจุดที่ประสบความสำเร็จนั้น ชีวิตของเธอก็ผ่านอะไรมามากมาย และหลายเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอผ่านมันมาได้อย่างไร? หรือเธอต้องรักษาภาพที่เธอเห็นเอาไว้ให้มั่น ยึดความหมายในคำตามชื่อของเธอเอาไว้ และผ่านมันไปให้ได้

เป็นครั้งที่สามแล้วที่ผู้กำกับ เอวิด โอ รัสเซล ร่วมงานกับ เจนนิเฟอร์ ลอเรนซ์ แต่ดูเหมือนเป็นครั้งแรกที่หนังของเขาจะมีตัวละครเอกเป็นผู้หญิง เป็นครั้งแรกที่เขาเล่าเรื่องที่ผู้หญิงเป็นจุดศูนย์กลาง และอย่างน้อยที่สุดการเลือกร่วมงานกับ เจนนิเฟอร์ ลอเรนซ์ นางเอกคนเก่งของเขาอีกครั้งก็ดูเหมือนจะเป็นคำตอบที่ถูกมากกว่าไม่ถูก และเรื่องราวของ JOY ก็น่าสนใจอยู่ในแง่ที่ปกติเรามักจะได้เห็นเรื่องราวของคนสำคัญที่คิดสิ่งประดิษฐ์ไฮเทค(โนโลยี)พลิกโลก แต่ในเรื่องนี้เราจะได้ติดตามชีวิตของเด็กสาวช่าวฝัน ช่างสังเกต ช่างคิดประดิษฐ์ประดอย ที่เอาไอเดียของเธอมาทำให้กลายเป็นเครื่องใช้ที่เป็นประโยชน์สำหรับการทำงานในบ้านกันบ้าง สิ่งที่เป็นประโยชน์ขนาดอิมแพ็คท์ไม่จำเป็นต้องอลังการหรือมีเทคโนโลยีซับซ้อนเสมอไปนะครับ

ชีวิตของจอยไม่ได้สวยงาม แม้เธอจะดูมีครอบครัวที่มีความสุข มีประกายของความเป็นนักประดิษฐ์ช่างคิดมาตั้งแต่เด็กๆ ก็ไม่ได้แปลว่าความสวยงามนั้นจะคงอยู่ตลอดไป เมื่อรู้ตัวอีกที เธอเป็นคุณแม่ลูกหนึ่ง หย่ากับสามีแต่เขายังอยู่ในบ้าน มีแม่ที่ผิดหวังซึ่งหย่ากับพ่อและติดละครน้ำเน่า และพ่อซึ่งหย่ากับแม่และจากบ้านไปก็เกิดเลิกกับคู่รักใหม่ย้อนกลับมาขออาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิม แถมมีพี่สาวคนละแม่ที่ไม่กินเส้นกันอีก (อย่าถือว่าผมสปอยล์เลย ทั้งหมดนี้ดูได้จากตัวอย่างหนัง) ชีวิตช่างบัดซบอะไรเช่นนี้...

ในสภาพเช่นนั้น สิ่งที่ยังเหลืออยู้่ในตัวจอยอย่างไม่น่าเชื่อก็คือความเชื่อมั่นในความคิดและไอเดียของเธอ เมื่อต้องเป็นแม่และแม่บ้านเธอพบปัญหาที่เกิดกับเครื่องไม้เครื่องมือของเธอ และจากสิ่งที่เห็นได้ในอเมริกา เธอมั่นใจความคิดของเธอจะกลายเป็นสินค้า ที่ทุกบ้านต้องการ และเธอรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่าสิทธิบัตร

ปัญหาคือ ดูเหมือนไม่มีใครเชื่อและมั่นใจในตัวเธอเลย... แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ มีเพียงสามีที่แม้จะหย่า แต่ก็ยังเวียนวนอยู่ในชีวิต กับเพื่อนรักแต่สมัยเด็กคนหนึ่ง เท่านั้นที่ยังเห็นความพยายามของเธอ และพยายามยื่นมือเข้ามาช่วย จะด้วยความเห็นใจ หรือความผูกพันก็แล้วแต่ และเธอยังมีคุณย่าให้กำลังใจ แม้คุณย่าจะรู้สึกว่าแกมีเรี่ยวแรงน้อยลงไป แกก็ยังจับตาดูเด็กตัวน้อยของแกเสมอ

แม้เธอจะแก้ปัญหาได้อย่างหนึ่ง ก็ดูเหมือนมีปัญหาหนึ่งเข้ามาทับถม ให้ดูเหมือนว่าความพยายามสุดท้ายจะอัปปาง แม้จะทำสินค้าออกมาได้ ก็เหมือนจะมีสิทธิบัตรจากคนอื่นอยู่ก่อนแล้ว แม้จะมีผู้ผลิตชิ้นส่วนให้แต่ก็ดูเหมือนบริษัทจะโกงเธอ แม้จะผ่านเรื่องต่างๆมาได้ แต่เธอก็ไม่มีที่ที่ยอมรับสินค้าของเธอไปขาย แม้เมื่อหาที่ที่สนใจสินค้าของเธอได้แล้ว ผลลัพธ์ยอดขายก็เลวร้ายอย่างยิ่ง...

แต่เธอก็เชื่อมั่น... ว่าเธอรู้จักสินค้าของตัวเองดี สุดท้าย...เธอก็ได้รับผลตอบแทนจากความเชื่อมั่นของเธอ


ตรงนี้เอาไว้เท่านี้ ที่เหลือไปดูในหนังเองจะสนุกกว่า

พูดถึงตัวละครและนักแสดงหลัก เจนนิเฟอร์ ลอเรนซ์ ถือเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องไม่น้อย อย่างน้อยก็จากผลลัพธ์ที่เห็นในหนัง แม้อาจมีข้อสงสัยนิดว่าเธอจะแสดงเป็นคนที่แก่ประสบการณ์หรือผ่านอะไรมามากในชีวิตได้ขนาดไหน แต่การแสดงของเธอก็ให้มิติที่หลากหลายแก่ตัวละครได้ดี และการแสดงความมั่นใจ และความมุ่งมั่นออกมา รวมถึงความไม่ย่อท้อ เธอก็ใส่ลงไปในตัวละครได้ดี กระทั่งตอนที่เผชิญกับความปวดร้าว สูญเสีย ลังเล ประหม่า และกลับมายืนใหม่ เธอก็ใส่ทั้งหมดลงไปในตัวละครจอย ด้วยพลังและความกระตือรือร้นของเธอได้ ในหนังเราจึงเชื่อว่าจอยสามารถนำเอาความมุ่งมั่นฝ่าด่านความยากลำบากนานัปประการไปได้จริงๆ และในตอนที่เธอโศกเศร้าเราก็เชื่อว่ามันหนักหนาสำหรับเธอจริงๆ แม้ว่าอาจมีบางช่วงตอนนิดหน่อยที่เกิดความไม่แน่ใจหรือความกังขาว่าเธอสวมบทบาทของผู้มีประสบการณ์และผ่านอะไรมามากได้พอดีหรือไม่ แต่พลังการแสดง(และพลังดารา)ของเธอก็เติมความมั่นใจลงไปพียงพอที่จะผ่านมันไปได้

ในส่วนอื่น ส่วนที่อาจจะน่ากังขาที่สุดคือท่าทีของหนัง จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้ไม่ได้ดูยากหรือดูไม่สนุก มันเล่าเรื่องได้เพลิดเพลิน นักแสดงก็เล่นได้ดีทีเดียว แต่ก็แปลกที่เมื่อจับความรู้สึกของหนังแล้วผมดันไม่แน่ใจว่าจริงๆหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ตั้งใจเล่าให้สนุก หรือเป็นหนังที่ต้องการเติมรสชาติตลก(แดกดัน) หรือเป็นหนังชีวิตหนักๆไปเลย เพราะ เรื่องแรก อย่างที่บอก ชีวิตของจอยนั้น ดูบัดซบมาก เหมือนรอบๆตัวมีแต่คนที่พร้อมจะไม่มีเหตุผล ไม่มีความเห็นใจ เรียกร้องเยอะ ซึ่งนักแสดงทุกคนก็ได้แสดงสิ่งเหล่านี้ออกมาได้ดี ตามแต่บทของแต่ละตัวละคร แต่ทั้งการแสดง เสื้อผ้าหน้าผม(บางคน) หรือนิสัยใจคอจังหวะการพูด อะไรต่างๆ บางครั้งมันก็ทำให้รู้สึกว่า มันคอนทราสกับตัวจอยค่อนข้างมาก แม้กระทั่งรู้สึกว่าการแสดงนั้นถูกปรับให้อยู่ในระดับที่พอดีแล้วก็ตาม เราก็ไม่อาจแน่ใจได้ในเรื่องนี้ มันจึงมีความรู้สึกเหนือจริงลอยอวลอยู่ในบรรยากาศของหนังเสมอๆ

ความจริงแล้ว บรรยากาศที่ว่านี่จริงๆก็รู้สึกว่ามันก็มีอยู่ในหนังของ เดวิด โอ รัสเซล เรื่องก่อนๆเหมือนกันนะครับ จะ SILVER LINING PLAYBOOK หรือ AMERICAN HUSTLER ที่ว่าแม้จริงๆมักรู้สึกว่าโครงของเรื่องหรือหนังที่ว่ามาเป็นหนังออกจะ 'สูตร' แต่มันจะมีบรรยากาศลีลาเฉพาะตัวบางอย่างในการกำกับของ เดวิด โอ รัสเซล ที่ทำให้รู้สึกว่ามันไม่ 'ซ้ำ' ซะทีเดียว มีรสชาติของมันเอง ทั้งๆที่มันต่างจากปกติไม่มากเท่าไหร่ หรือกระทั่ง THE FIGHTER ที่บรรยากาศออกดราม่าชัดเจนกว่าผมก็รู้สึกแบบนี้อยู่บ้างเหมือนกัน จะว่าเป็นไอความเหนือจริงที่ว่านี่ก็ไม่ถนัดปากนัก ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่า เดวิด โอ รัสเซล แกจะมีปรับอะไรนิดๆหน่อยๆในหนังแต่ละเรื่องโดยเฉพาะเรื่องหลังๆที่แม้จะคล้ายกันหรือมีเอกลักษณ์ร่วมบางอย่าง มันก็มีจังหวะบรรยากาศอะไรบางอย่างต่างกันไปนิดๆหน่อยๆ เหมือนว่าขณะเดียวกัน เดวิด โอ รัสเซล ก็พยายามฉีกบางอย่างของหนังแต่ละเรื่องให้ต่างกันไปด้วย

และก็ไม่รู้ว่าทีแรกหนังอาจตั้งใจเติมด้านของ อารมณ์ขัน(แม้จะแดกดัน) ไว้มากกว่านี้รึเปล่า? ซึ่งสงสัยเรื่องนี้มาจากบรรยากาศและฉากบางฉากในตัวอย่างหนัง แต่สุดท้ายตัดสินใจปรับมาเป็นแบบที่เห็น แม้ว่าหนังจะยังดูสนุก แต่มันก็เหมือนลดพลังบางอย่างของหนังลงไป คือจะว่าคราวนี้ส่วนผสมมันคลุกเคล้าได้รสชาติดี กินเพลิน แต่ก็ขาดความกลมกล่อมกลมกลืนบางอย่างไปก็ได้ ซึ่งในหนังเรื่องก่อนๆ แม้ไม่ใช่ขั้นสุดยอดรสชาติจานเด็ดในสามโลกเหมือนกัน ความกลมกล่อมของมันก็อาจจะพอดิบพอดีกว่านี้

ดังนั้น แม้ในหลายจังหวะ โดยเฉพาะในตอนสำคัญ (ที่ก็เน้นเร้าอารมณ์คนดูด้วย) หนังจะทำได้ดีในหลายฉากหลายตอน รวมๆถือว่าดีเลย แต่ความรู้สึกไม่กลมกลืนบางอย่างนี้ก็ยังอยู่กับเราไปจนจบ ทั้งที่นักแสดงหลายคนก็ให้การแสดงในบทบาทของตัวเองไว้ดีแล้ว (เช่นตัวละครป๋าของ ป๋าเดอนีโร ที่หลายคนคงทั้งส่ายหัวแต่ก็ยังไม่ชัง) บางทีเราก็เลยไม่แน่ใจว่าชีวิตของจอยนั้นเจออะไรแบบนี้มาจริงหรือไม่ มันหลอนขนาดนี้เลยเหรอ (ต่อให้ความเป็นจริง มันอาจจะเลวร้ายได้ระดับนี้หรืออาจจะมากกว่านี้ได้ก็ตาม)

ดังนั้นนี่ก็เป็นจุดหนึ่งที่ยั้งไว้ให้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ไม่พีคซะทีเดียวกับท่าทีครึ่งๆของมัน จะตลกแดกดันก็ไม่ใช่ จะดราม่าก็ไม่เชิง จะเกินจริงรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่นักแสดงแสดงดี

อีกส่วนที่น่าสนใจคือเรื่องของสิทธิบัตร อันที่จริงสิทธิบัตรนั้นทีแรกก็คงเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจอันดี(แหละนะ) ในการที่จะปกป้องความคิดของเจ้าของคนใดคนหนึ่งที่อุตส่าห์คิดมาแทบตายไม่ให้คนอื่นมาฉกชิงประโยชน์ไปได้ง่ายๆ เรื่องน่าสนใจหนึ่งก็คือว่า ดูเหมือนจอยซึ่งน่าจะเป็นพลเมืองอเมริกันธรรมดาทั่วไปก็ดูเหมือนจะคุ้นเคยถึงการมีอยู่ของสิทธิบัตรเป็นอย่างดี (หรือไม่เธออาจมีความสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษก็ได้) ที่น่าสนใจสองก็คือว่า แม้รูปแบบแนวคิดของมันจะดูดีและมันก็ทำให้เกิดอะไรดีๆหลายอย่าง ขณะเดียวกันมันก็อาจมีอีกด้านที่มันอาจะถูกนำไปหาประโยชน์ในอีกทางที่ขัดกับจุดประสงค์แรกของมันเข้าก็ได้ อย่างเช่น มันทำให้เกิดรูปแบบที่เรียกว่า PATENT TROLL (อาจแปลง่ายๆงั้นๆได้ว่า เกรียนสิทธิบัตร) คือรูปแบบที่มีการถือสิทธิบัตรไว้งั้นๆ จดไว้ ไม่ได้ทำอะไรออกมาให้ออกดอกผลอะไร แต่พอมีคนอื่นเอาสิทธิบัตรไปใช้ล่ะก็ ฟ้องมันเอาตังค์ตอนนี้เลย คือ เหมือนจุดประสงค์หลักของการมีสิทธิบัตรเอาไว้ก็คือเอาไว้ฟ้องกินตังค์เป็นหลัก ไม่ได้คิดว่าจะเอามาทำประดิษฐกรรมออกมาจริงๆให้เกิดกิเลสตัณหาแก่มนุษยชาติแต่อย่างใดไม่ (เนาะ) หรือจะประเด็นอื่นๆ เช่น การขอสิทธิบัตรรับรองสิทธิบัตรนั้นหลายครั้งก็ต้องใช้เวลายาวนานและขั้นตอนยุ่งยากมากมาย หรือหลายๆครั้งสิทธิบัตรบางอย่างก็ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่กลายไปเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมได้ ฯลฯ ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธได้ยากเหมือนกันว่าการมีอยู่ของสิทธิบัตรเองก็เป็นแรงจูงใจให้เกิดอะไรๆที่เข้าท่าเข้าทางออกมาเยอะ ไม่ใช่คิดแทบตายกว่าจะทำออกมาได้มะรืนนี้โดนคนก๊อปไปทำสบายใจเฉิบไม่ต้องลงทุนคิดอะไรเลยซะแล้ว ซึ่งในเรื่องนี้เรื่องของสิทธิบัตรก็ดูจะมีบทบาทสำคัญในการดำเนินเรื่องอยู่เอาการในเส้นทางของจอย ตอนท้ายนั้นที่จอยกลายเป็นอยู่ฝั่งที่จะมีสิทธิให้โอกาสคนอื่นที่อาจผ่านมาในเส้นทางเดียวกันกับตัวเองบ้าง อันนั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีข้อตกลงกันยังไง? คงต้องไปลองหาข้อมูลเพิ่มเติมเอา

อีกอย่างหนึ่งที่เห็นได้ในหนังเรื่องนี้ก็อาจเหมือนกับเรื่องราวของการตามฝันอื่นๆหลายเรื่องที่เคยผ่านตาเราไป บางครั้งเวลาที่ต้องฟันฝ่าอะไรไป หลายครั้งการที่เราผ่านมันมาได้ เพราะมีคนข้างๆ คือเป็นคนที่ตัดสินใจยืนอยู่ข้างเดียวกับเรา แม้คนอื่นจะไม่เอา ไม่รับ บางครั้งเราอาจยืนไม่ไหวถ้าไม่มีความรู้สึกว่ามีใครที่อาจจะช่วยพยุงเราไว้เลย มันเลยเป็นส่วนที่เพิ่มความรู้สึกอบอุ่น ความรู้สึกของมิตรภาพ (และดราม่า) ไว้ในหนังที่มีตัวละครติดจะประหลาดๆ (แต่แสดงดี) เรื่องนี้ไว้ ซึ่งก็ยังคงเป็นประเด็นที่ส่วนมากมักจะแพ้ทาง... (นึกเร็วๆยังนึกได้ถึงคู่หูการ์ตูน BAKUMAN ที่เพิ่งเขียนถึงก่อนหน้าเลยแฮะ - ซึ่งก็ทำให้รู้สึกนิดๆว่าสำหรับ JOY นี่ตัวละครบางตัวก็เพี้ยนซะจนไม่อยากอยู่ใกล้ แต่บางตัวละครบทจะดีก็ดีซะ แต่ใครจะรู้? ความจริงอาจเป็นได้ขนาดนั้นก็ได้? - ก็คงต้องหาข้อมูลเพิ่มเอาเอง) ยังไงก็ตามในเรื่องราวแบบนี้ก็ต้องอย่าลืมเหมือนกันว่า แม้จะมีคนช่วยยันหลังให้ แต่ถ้าเจ้าตัวไร้ซึ่งความมุ่งมั่น ตั้งมั่น ตั้งใจ พยายาม ทุ่มเท สะดุดล้มแล้วก็เลิกไปเสีย แล้วละก็ ที่หวังจะนำมาถึงซึ่งสิ่งที่ตั้งใจก็อาจไม่เกิดขึ้นได้เลย อย่างที่เรื่องราวของจอยแสดงไว้ให้เห็นแล้ว

JOY เป็นหนังดูเพลิน ที่นักแสดงในเรื่องนี้ล้วนแสดงได้ดีทีเดียว เข้าบรรยากาศแปลกๆหน่อยๆของหนังได้ดีเหมือนกัน และ เจนนิเฟอร์ ลอเรนซ์ ที่ถูกเลือกมารับบทนำในเรื่องก็แสดงความมุ่งมั่นและพลังของจอย ให้ผู้ชมได้เห็นและรู้สึกได้อย่างดี แม้อาจไม่เป็นหนังที่พีคขั้นกรุณาอย่าพลาด แต่บทบาทนักประดิษฐ์หญิงที่ใช้ไอเดียของเธอฝ่าอุปสรรคนานัปการโดยรักษาความมุ่งมั่นเชื่อมั่นเอาไว้ได้นี้ ก็เป็นหนังดูง่าย (แม้ตัวละครบางตัวจะประหลาด) ดูเพลิน และบางครั้งมันอาจมอบพลังให้หลายๆคนที่อาจเจอช่วงหมดไฟเข้าก็ได้นะครับ 8.0 คะแนน 


นึกถึง
จริงๆ ก็พยายามนึกๆเรื่องของการฝ่าฟันของผู้หญิงซักคนมาเสริม แต่นึกไม่ได้จั๋งๆเท่าไหร่ (แต่ถ้าดูเรื่องราวเป็นแรงบันดาลใจ ถ้าเป็นสารคดีก็มีเยอะครับ เช่น เรื่องของ IRIS, AMY, VIVIAN MAIER เป็นต้น) แต่ก็นึกถึงเรื่องนี้ครับ

TOP SECRET วัยรุ่นพันล้าน เรื่องราวของ ต๊อบ ในการฝ่าฟันไปสู่สินค้าสาหร่ายยอดฮิตแบรนด์ เถ้าแก่น้อย หนังไทยจากชีวประวัติบุคคลจริง ที่หลังๆแม้จะมีหนังชีวประวัติเยอะขึ้นให้ได้ดูกันประปราย แต่ก็เหมือนยังไม่ได้มีให้ดูเยอะเท่าของฮอลลีวู้ด (นับแค่หนังมีเอี่ยวออสการ์ปีนี้กับปีที่แล้วก็ได้ ว่าไปก็ถือเป็นแนวนิยมแนวหนึ่งของฮอลลีวู้ด) เรื่องราวก็มีบางอย่างใกล้เคียงกับ JOY และยังเป็นชีวประวัติของรุ่นใหม่เลือดใหม่ที่คิดว่าไม่ค่อยได้เห็นด้วย หนังก็เป็นหนังดูสนุกครับ และถือว่าเป็นหนังแนวที่เพิ่มรสชาติหลากหลายในหนังของ GTH ในช่วงนั้นด้วย ยังคิดถึงตัวละครลุงเทืองมาถึงทุกวันนี้



ไหนๆก็ลองมาดูเรื่องราวล่าฝันในแบบอื่นๆหรือมุมอื่นๆบ้าง ลองดูเรื่องราวของการก่อเกิดอภิมหาโลกเสมือนโซเชี่ยลที่ชื่อ facebook จากพี่มาร์ค คนนั้นที่คุณก็รู้ว่าใคร ได้ในหนังเนี๊ยบๆของผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ เรื่อง THE SOCIAL NETWORK ครับ แม้จะยังคงมีหลายความกังขาว่าหลายอย่างทีเราเห็นบนจอเป็นเรื่องจริงหรือไม่? แต่ยังไงพอเป็นหนังมันก็มีโอกาสที่หลายๆอย่างจะถูกตัดทอนเพิ่มเสริมเข้ามาได้เสมอ แม้จะปะว่าจาก TRUE STORY ก็ตาม

ยังไงเราก็จะได้เห็บการแสดงเนี๊ยบๆจากเหล่าตัวละครนำทั้งหลาย เป็นหนังเอเนอจี้เยอะอีกเรื่องครับ นอกจากจะได้ดูการรัวบทสนทนาของ เจสซี่ ไอเซนเบิร์ก ที่แสดงเป็นพี่มาร์คฯ แล้ว (ซ้อมไว้ดู DAWN OF JUSTICE)  ก็จะได้เห็นบทเจ๋งๆของพระเอกอเมซิ่งสไปดี้ที่อุตส่าห์ลุคให้แล้วเชียวแต่คงโดนตัดจบแค่ภาค 2 อย่าง แอนดรู การ์ฟิลด์ และจะได้เห็นการแสดงดีๆจาก รูนี่ย์ มาร่า ที่มีบทบาทน่าประทับใจใน CAROL ด้วย หนังน่าจะให้รสชาติต่างจาก JOY และ TOP SECRET แม้จะเป็นเรื่องราวล่าฝันเหมือนกันก็ตาม

และเมื่อพูดถึง การทำตามความฝัน แม้ไม่ใช่เรื่องของการประดิษฐ์อะไร มีเรื่องที่นึกอยากดูก็ยังไม่ได้ดูซักทีอย่าง INTO THE WILD การล่าฝันโดยลำพัง... ที่สร้างจากเรื่องจริง ที่เป็นผลงานกำกับของดาราเจ้าบทบาทอย่าง ฌอน เพนน์ ครับ







และเมื่อพูดถึงงานกำกับของ เดวิด โอ รัสเซล เรื่องที่ชอบที่สุดก็ยังเป็น THREE KINGS แม้มันจะไม่ได้มีบรรยากาศล่ารางวัลชัดเจนอย่างในหนัง 3-4 เรื่องหลังของแก แต่พอพูดถึงเรื่องที่ท่าทีของหนัง JOY อาจดูครึ่งๆไม่ชัดเจนนัก มีหนังเรื่องหนี่งที่อยากชวนดู เป็นหนังรวมดารา ที่คราวนี้ดูแล้วอาจจะงงไปเลยว่ามันมาแนวอะไรแน่ แต่คิดว่ามันชัดเจนดีว่าจะมาแบบนี้แหละ 55 อาจจะเป็นหนังดูงงๆหน่อย แต่ค่อนข้างชอบหนังเรื่องนี้เอาการครับ

ลองหามาดูกัน งงก็...โทษ เดวิด โอ รัสเซล ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น