วันเสาร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

[ภาพยนตร์] ALIEN - COVENANT เอเลี่ยน โคเวแนนท์ : ผ่าปริศนาเอเลี่ยน!




ก็เป็นแฟน ALIEN ครับ ไม่ว่าจะเป็นด้วยความดีของภาพยนตร์ต้นกำเนิดภาคแรกๆ (ALIEN กับ ALIENS นี่คงไม่ต้องสาธยาย ซึ่งเอาจริงๆ ALIEN 3 นี่ก็ยังเห็นว่าโอเคนะ แม้มันจะดูเป็นภาคที่ 'หัก' หลายๆอย่างไปจากเรื่องราวก่อนหน้า แถมมันก็อาจจะเอาชนะความคาดหวังของภาคสุดบู๊อย่าง ALIENS ได้ยากอยู่) หรือจะแค่ดีไซน์ของ 'เหล่า'ALIEN ทั้งหลายก็ตาม

ซึ่งดีไซน์ของ เอช.อาร์.ไกเกอร์ นี่มันก็ช่างสมกับการเป็นไอตัวร้ายในอวกาศจริงๆ 

ความจริงแม้จะปวารณาตัวเป็นแฟนๆ ส่วนตัวก็ไม่ได้คาดหวังเลยกับการที่จะมีหนังซักเรื่องมาเล่าถึงเรื่องที่มาที่ไปของเจ้าวายร้ายเผ่าพันธุ์นี้ 

แต่ในเมื่ออีกทางจู่ๆผู้กำกับ ริดลี่ย์ สก๊อต (Ridley Scott) ซึ่งผมก็ถือตัวว่าเป็นแฟนภาพยนตร์ที่แกกำกับคนนึง ทั้งที่ก็มีหนังของแกที่ชอบ ไม่ชอบ เฉยๆ ปนๆกัน แต่นอกจากหลังๆที่รู้สึกว่า เฮ้ย แกอายุตั้ง 70 กว่า 80 แล้วยังมีเอเนอจี้ทำหนังขนาดนี้! นับถือ (ร่วมกับผู้กำกับอย่าง คลินท์ อีสต์วู๊ด หรือ วูดีี้ อัลเลน และอีกหลายท่านซึ่งคงมีโอกาสได้กล่าวถึงต่อไป) และหนังที่ชอบหลายเรื่องก็จะเป็นระดับชอบมากไปเลย (อย่าง THE MARTIAN นี่ก็โคดชอบ ส่วนตัวชอบหนังเรื่องนี้ในระดับเดียวกับ MAD MAX : FURY ROAD ในปีเดียวกันเลยทีเดียว - จริงๆเฮีย จอร์จ มิลเลอร์ นี่แกก็เป็นรุ่น 'เก๋า' เหมือนกันนี่ฝ่า! อย่าไปลืม)! และโดยเฉพาะแกเป็นผู้กำกับผู้ให้กำเนิด ALIEN บนจอภาพยนตร์ แกก็เกิดอยากจะกำกับภาพยนตร์ภาคก่อนของภาพยนตร์ตำนานเรื่องนี้ ซึ่งก็ปรากฏออกมาเป็นภาพยนตร์เรื่อง PROMETHEUS  

ซึ่ง ALIEN : COVENANT ก็เป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวหลังจากเรื่องราวที่เกิดใน PROMETHEUS นี่แหละครับ

เพราะงั้นในการกล่าวถึง ALIEN : COVENANT ก็คงจะมีการพาดพิงไปถึง PROMETHEUS ด้วยอย่างช่วยไม่ได้ 


แบบยาวๆ(แต่ก็ไม่ค่อยรู้อะไร - -)

อย่างที่บอกครับว่าจริงๆแม้จะเป็นแฟนไอตัวร้ายหน้าตาสุดบรรยายพวกนี้ แต่จริงๆก็ไม่ได้คาดหวังกับการต้องมีภาคก่อน (ตามสมัยนิยม?) มาเล่าเรื่องราวของเจ้าพวกนี้ ตอนที่มีประกาศทำ PROMETHEUS ยังรู้สึกอยู่เลยว่ามันจะดีเร้อ (กลัวแป้ก) แม้ว่าจะโดยมือของผู้กำกับ ริดลี่ย์ สก๊อต ก็ตาม

ก็เข้าใจว่าผู้กำกับ ริดลี่ย์ สก๊อต แกอาจจะออกแนวอยากล้างไพ่ การดำเนินไปของแฟรนไชส์นี้อยู่หน่อยกระมัง? เพราะในภายหลังหนังอย่าง AvP (ALIEN vs PREDATOR) ทั้ง 2 ภาค ที่พยายามต่อยอดแฟรนไชส์โดยการเอาสองตัวประหลาดต่างดาวหน้าตาสุดบรรยายในตำนานภาพยนตร์มาเจอกัน แม้ไอเดียจะดูดีน่าสนใจ แต่มันก็พาเอาทั้งสองชื่อเข้ารกเข้าพงไปใช้ได้เหมือนกัน (ภาคแรกยังพอโอเค ดูพอเพลินๆ ภาคสองนี่ตัวอย่างดูน่าสนดี เอาจริงตอนไปดูเกือบหลับ - - ไม่รู้ทำไม? - แต่จริงๆก็น่าสนใจว่าด้วยคอนเซ็ฟท์นี้ถ้าได้บทเจ๋งๆผู้กำกับเก๋าๆหน่อยมาทำมันก็น่าสนใจเหมือนกันนะ) ซึ่งในช่วงหลังๆบรรยากาศของหนังแถวๆนั้นก็ต่างไปจากภาคแรกมาก จนคนดูที่ชินกับภาคหลังๆนี่ก็ไม่แน่ใจว่าจะรู้สึกยังไงถ้ากลับไปดูภาคแรก

ซึ่งภาคแรกนั้นส่วนใหญ่จะเป็นสร้างบรรยากาศความลึกลับกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ก่อนจะปล่อยเจ้ามฤตยูร้ายออกมาอาละวาดกันในช่วงท้าย

ซึ่งบางคนอาจจะไม่ชอบ (อาจจะหลับไปก่อนแล้ว) แต่ผมนั้นชอบมาก เทียบกันตัวๆก็ชอบ ALIEN ภาคแรกในการกำกับของ ผกก. ริดลี่ย์ สก๊อต มากกว่า ALIENS สุดบู๊ด้วยฝีมือ ผกก.คิงออฟเดอะเวิร์ล เฮีย เจมส์ คาเมรอน อยู่หน่อยเอาด้วย

เพราะงั้นไม่ว่าเราจะกังวลกังขากับการมาของ PROMETHEUS ยังไง พอหนังเข้าเราก็ไปดูอยู่ดี แม้จะไม่รู้ว่าเรื่องราวของมันจะเกี่ยวกับ ALIEN มากแค่ไหน? เพราะในตัวอย่างหนังก็ไม่เห็นไอเจ้าวายร้ายโผล่มาเลย

ซึ่งก็พบว่าผมก็ชอบหนังครับ ชอบมากพอควรเลย หนังจะมีบรรยากาศใกล้กับ ALIEN ภาคแรกที่กล่าวไปมากกว่า คือหนังจะไปทางเน้นบรรยากาศกดดัน ความน่ากลัวจะเกิดจากบรรยากาศและจังหวะของหนัง ไม่ใช่การสร้างความกลัวด้วยการโยนฉากดุเดือดมาเป็นชุดๆเท่าไหร่ เป็นจุดที่ค่อนข้างชอบ รวมไปถึงดีไซน์ของหนังด้วย  

สิ่งที่ค่อนข้างชอบเป็นส่วนตัวกับหนัง PROMETHEUS อย่างนึงก็คือ คิดว่ามันมีความเฉพาะตัวที่ไม่ 'เอเลี่ยน' นักอยู่เยอะเอาการ และการเล่าของหนังแม้จะเป็นรูปรอยเดียวกัน แต่มันก็ไม่ได้จะไปก๊อปเอาภาคแรกของเอเลี่ยนมาขนาดนั้น ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพราะใน เอเลี่ยน ซิกเนเจอร์ ของเจ้า เซโนมอร์ฟ ก็ค่อนข้างชัด แทบจะเป็นหัวใจของหนังในจตุรภาคแรก (อีกขั้วก็คงเป็น ริปลี่ย์ โดย ซีเกอร์นี่ วีเวอร์ และตัวละครซิกเนเจอร์อีกจำนวนหนึ่ง) ซึ่งในขณะที่สร้างความอกสั่นขวัญแขวนได้อย่างไม่มีไอตัวประหลาดหน้าสุดบรรยายตัวไหนจะมาต่อกรด้วยได้ง่ายๆ ไหนจะมีปากยืดได้ ไหนจะเลือดเป็นกรด ไหนจะมีไอเจ้าเฟซฮักเกอร์ ฯลฯ มันก็มีรูปแบบเฉพาะตัวที่ว่าไปผู้กำกับผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายก็นำไปเล่นกันสนุกมือมาไม่ใช่น้อย คือมีรูปแบบเฉพาะประมาณหนึ่ง 

เพราะฉะงั้นเมื่อใน PROMETHEUS ไม่ได้พึ่งพาการปรากฎตัวของเจ้าเซโนมอร์ฟนี่มาเป็นแกนกระดูกของหนัง มันจึงมีความแตกต่าง จนอาจเรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของหนังที่ไม่จำเป็นต้องส้รางด้วยไอเจ้า เซโนมอร์ฟ ได้อย่างน่าสนใจ รวมไปถึงดีไซน์ของหนังก็ฉีกออกไปจากดีไซน์ทั่วๆไปของเอเลี่ยน และออกมาสวยงามและน่าสนใจดีด้วย 

ด้านหนึ่งก็อาจเป็นเพราะเรื่องราวของหนังซึ่งทีแรกก็เป็นส่วนที่น่ากังวลกังขา ว่าที่นอกจากจะไปเล่าเรื่องในตอนก่อน เอเลี่ยน ภาคแรกแล้ว มันจะเล่าไปถึง กำเนิดมนุษย์ อะไรไปโน่นเลย! ซึ่ง พอไปดูจริงๆ มันก็ไม่ใช่ปัญหาอีกแหละ เพราะความจริงผมก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องอะไรตรงนั้นเท่าไหร่ อยากเล่าอะไรก็เล่าไป - - ถ้ามันไม่ได้ 'ไปไม่เป็น' หรือ 'ไม่รู้พาไปไหน' จนเรางงงวยไปแทนที่จะติดตามเรื่องราวของหนัง (และความสยองประดามี ที่มันต้องมีนะเซ่ อยู่แล้ว) หนังก็เล่าให้มีเรื่องราวหลอกล่อได้น่าสนใจดีเหมือนกัน แม้ว่าจริงๆแล้วเราจะรู้สึกเหมือนไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากนักเท่าไหร่ก็ตาม - - 

แต่เอาเป็นว่า ในเมื่อทีแรกก็มีลุ้นอยู่บ้างเพราะก็สงสัยตะหงิดๆว่าจะไปฟื้นฝอยหาต้นตอไอเจ้าเผ่าพันธุ์เอเลี่ยนเซโนมอร์ฟนี่มาทำไม แล้วมันจะเวิร์คจริงเร้อ กลายเป็นว่าด้วยความที่มันก็มีรสชาติเรื่องราวต่างไปจากหนังเอเลี่ยน ที่โดยปกติมักจะวนอยู่รอบๆชะตากรรมที่ต้องกรีดร้องในอวกาศอยู่พอควร ทั้งเรื่องราวความลึกลับที่ใส่ไว้ พร้อมด้วยดีไซน์ที่เข้าท่า ได้เห็นอะไรที่แปลกตา(ไปพร้อมกับอะไรที่คุ้นๆกันอยู่ และยิ่งเป็นสัญลักษณ์ของเอเลี่ยนภาคแรกอีก) และจังหวะหนังที่กดดันกันด้วยบรรยากาศ นี่ก็กลายเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่ดูจบแล้วก็เดินออกจากโรงได้พร้อมความพอใจ 

แม้ว่า เรื่องราวหลายรายละเอียดที่ใส่มา ยังดูจะห่างไกลกับการที่บอกเล่าให้เราทราบหรือเข้าใจที่มาที่ไปของทั้งเผ่าพันธ์ุเอเลี่ยน หรือเผ่าพันธุ์มนุษย์ อยู่อีกหลายช่วงก็ตาม...

ทิ้งเอาความลึกลับประดามีหลายอย่างให้คงคละคลุ้งไปกับการเปิดเรื่องราวใหม่ที่เกี่ยวพันธุ์กับเจ้าอสูรกายเผ่าพันธุ์นี้ไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้

และสิ่งเหล่านี้ก็รับสืบทอดมายัง เอเลี่ยน โคเวแนนท์ ด้วย...
ถ้าให้สรุปเลยว่าผิดหวังกับ Alien ภาคนี้ไหม? คือ ก็ไม่นะครับ ว่าไปนี่ก็เป็น Alien ภาคที่มีสไตล์คล้ายกับ Alien ภาคแรก และ Prometheus ที่สุด ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรเพราะผู้กำกับของทั้ง 3 หนังที่ว่ามาก็คือ ริดลี่ย์ สก๊อตต์ แม้จะไม่ 'คลาสสิค' เท่าภาคแรก และการออกแบบของมันหลายอย่างอาจไม่ได้ดูฉูดฉาดอย่าง Prometheus เพราะเรื่องราวเกิดขึ้นใน ยานอวกาศ และคณะเดินทางคนละชุดกัน และเป้าหมายที่มีก็ต่างกัน เรื่องราวของ Covenent ก็มีความเฉพาะตัวที่ทำให้มันแตกต่างจากเรื่องราวในหนังสองเรื่องนั้น และที่ผ่านๆมาในตระกูล Alien ในขณะที่เรื่องของความอกสั่นขวัญผวาซึ่งเป็นเสมือนหนึ่งลายเซ็นในหนังชุดนี้ก็ยังกำกับออกมาได้ดี เข้าท่าเข้าทางทีเดียว ถือว่าไม่ได้ผิดหวังกับภาคนี้ในมือผู้กำกับ ริดลี่ย์ สกอตต์ แต่อย่างใด ค่อนข้างพออกพอใจด้วยซ้ำ

แต่! ถ้าจะมีอะไรที่ทำให้ประสบการณ์การรับชมที่ได้จาก Alien : Covenant พร่องไป มันก็คงเป็นเพราะ ประสบการณ์ที่ Alien : Covenant มอบให้นั้น ส่วนเล็กๆน้อยๆของมัน 'หลายส่วน' ดันไป พ้องพาน เข้ากับบรรดาหนังหลายๆเรื่องที่ยังคงอวลอยู่ในความทรงจำของผมที่หลายส่วนก็ไม่ได้ดูผ่านมานานซะจนความอวลตรงนั้นเลือนลางไปจนอยากหามาเติมใหม่ในเร็วๆนี้ อย่างเช่นหนังเรื่อง (ตรงนี้เพื่อลดการสปอยล์(ได้เรอะ?!ไม่ก็ไม่รุ?)เราจะมาบอกแบบกระมิดกระเมี้ยนนิดนึง ไปถอดรหัสกันเอาเอง อนุมานว่าใครดูแล้วน่าจะถอดได้ง่ายกว่าไม่ได้ดูไม่ได้ตามจำชื่อไม่ได้ ใครที่ไม่ได้ดูและถอดไม่ได้ก็อาจไม่สปอยล์(มัง) ใครที่ไม่ได้ดูแต่ดันถอดได้แล้วดันคิดว่าสปอยล์ก็ถือว่าซวยไปละกัน) Transporting Passengers, Life Insurance หรือกระทั่ง The Second Sky River Protectors  มันก็เลยดูเป็นส่วนผสมของอะไรโน่นนิดนี่หน่อยที่เรายังจำได้ไปอย่างช่วยไม่ได้ซะอย่างนั้น ซึ่งบางส่วนก็เป็นสิ่งที่ว่าไป Alien เคยเริ่มมาก่อนด้วยซ้ำก็มี และยังมีส่วนที่เป็นเรื่องราวสำคัญที่น่าสนใจในหนังภาคนี้ที่ก็เป็นประเด็นค่อนข้างสำคัญในหนังเรื่องอื่นด้วยซะงั้น ความ'เฉพาะตัว'ของมันจึงเหมือนถูกทอนไปโดยปริยาย (อย่างน่าสงสาร เพราะเขาก็คงไม่ได้จะไปลอกกันมาขนาดนั้นหรอก) บางอย่างของหนังก็ดันรู้สึกไปทำให้คิดถึง Alien ภาคเก่าๆด้วยซ้ำ

ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ปัญหาของมันก็คือ แทนที่เราดู Covenant แล้ว ปัญหาหลายๆอย่างที่ถูกเริ่มไว้ใน Prometheus จะคลี่คลาย ส่วนใหญ่ของมันกลับดูเลือนลาง แถมยังมีปัญหาอื่นๆที่ถูกเพิ่มเติมมาในเรื่องนี้ซะอย่างนั้น

ถามว่าแล้วมีอะไรที่ถูกคลี่คลายในภาคนี้ไหม? ก็มีครับ และก็ถือเป็นส่วนน่าสนใจ(มากเอาการ - สำหรับผมนะ - ซึ่งคงได้กล่าวต่อไป - เมื่อไหร่ก็...เมื่อนั้น)ของหนัง แต่มันก็ดันไม่ใช่ส่วนที่ปราศจากคำถามจุกจิกบางอย่าง แล้วมันก็อาจไม่สามารถกลบความใหญ่โตของปัญหาและปริศนาอื่นๆที่ยังคงถูกทิ้งเอาไว้ให้ล่องลอยอยู่ต่อไปได้

แล้วสิ่งที่ผมชอบล่ะ? โห ก็ชอบหลายอย่างครับ จริงๆค่อนข้างชอบบรรยากาศของหนัง ซึ่งเตรียมตัวจะชอบตั้งแต่เห็นหนังตัวอย่างแล้ว บรรยากาศการเล่า และเรื่องราวสไตล์การดำเนินเรื่องของหนังในภาคนี้ก็ยังรู้สึกฉีกไปจาก Alien ภาคอื่นๆได้อย่างน่าสนใจ (บางคนอาจบอกว่ามีกลิ่นของความเป็น สืบสวนสอบสวน รหัสคดี อยู่ แม้ผมจะไม่คิดว่ามัน ชัด ขนาดนั้น เพราะองค์ประกอบของเรื่องราวประเภทนี้ส่วนใหญ่ก็มีในส่วนของการสร้างความน่าสงสัยน่าตื่นเต้นในหนังหรือเรื่องราวอื่นๆที่ไม่ใช่ตระกูลนี้โดยตรงอยู่แล้ว) ขณะที่แม้จะไม่ 'ใหม่ถอดด้าม' (เพราะอะไรทำนองนี้เขาก็สร้างกันมาราวแปดแสนเรื่องได้แล้วเหมือนกัน) แต่บุคลิกเฉพาะของ ไอวายร้ายใน Alien ซึ่งเอาจริงๆก็ไม่ใช่แค่ เซโนมอร์ฟ ด้วย (ว่าไป นี่ก็คล้ายๆเป็น ธรรมเนียม ในหนังชุดนี้ ว่าเรามักจะได้เห็น ไอตัวใหม่ที่ไม่ใช่ เซโนมอร์ฟ และ เฟซฮักเกอร์ เพราะไอสองตัวนี้โผล่มาในภาคแรกไปเรื่อยๆ เช่น Aliens มี ควีน Alien 3 มี ด๊อกบัสเตอร์ เป็นต้น) ก็ยังสามารถสร้าง ความน่าสะพรึง อย่างมีรูปแบบเฉพาะได้น่าสนใจ

นอกจากนั้นผมยังชอบตัวละครในภาคนี้เอาการ อย่าง Katherine Waterston นี่ก็ชอบบทของเธอทีเดียว แม้เธอจะไม่ได้มีรูปลักษณ์กร้าวแกร่งเหมือน ริปลี่ย์ ที่ Sigourney Weaver แสดงไว้ แต่ก็รู้สึกว่า คาแรกเตอร์ บุคลิก และ แบ็คกราวด์ ของเธอเหมาะกับการเป็นตัวนำในบทนี้ดีอย่างแตกต่างไป ส่วน ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ เราจะข้ามไปเลยเพราะไว้ใจได้ (อ่าว) ลูกเรือคนอื่นๆก็ค่อนข้างชอบ อาจมีสะดุดนิดๆที่บทของ Billy Crudup (ซึ่งทีแรกดูๆแล้วผมนึกไปถึง Henry Thomas เฉย เพิ่งมารู้ทีหลังว่าไม่ใช่ - -) ทีแรกรู้สึกว่ามันดูไม่เข้ากับอื่นๆ อาจรู้สึกว่ามันขัดๆชัดๆไปหน่อย แต่พอเรื่องดำเนินไปจนจบ ก็รู้สึกว่า ที่ที่คาแรคเตอร์ถูกวางไว้ในเรื่องนี้แบบนี้ว่าไปก็ดูน่าสนใจดีเหมือนกัน แม้จะไปลบความรู้สึกขัดๆได้ไม่หมดก็ตาม

ว่าไปแล้วพลอตและประเด็นย่อยๆของตัวละครใน Covenant ก็เป็นส่วนที่ทำให้ชอบหนัง และทำให้มันมีส่วนต่างกับ Alien ภาคอื่นๆและมีความเฉพาะตัว ความรู้สึกเฉพาะในตัวเองที่ต่างจากหนังเรื่องอื่น ที่ยังคงทำให้ชอบเรื่องนี้ แถมยังมีหลายๆดีไซน์ที่ภาคนี้จะดูไม่ล้ำเท่า Prometheus แต่ก็ทำให้มันมีเรื่องราวของตัวเอง(หนังไซไฟไม่จำเป็นต้องล้ำถึงจะเจ๋งนาจา ลุคซำเหมาบางทีก็ถือเป็นประเด็นในตัวเองได้เหมือนกัน ไม่เชื่อดู District 9) และยังทำให้นึกไปถึง ไอคอน หลายอย่างใน Alien ภาคเก่าๆ ที่สำหรับแควนๆบางคน(อย่างผม) อาจทำให้มันเต็มตื้นขึ้นมาราวกับ แควนๆ Jurassic Park เต็มตื้นขึ้นมาตอนเห็น T-Rex ยืนจังก้าใน Jurassic World เอาเลยทีเดียว (ใครไม่ชอบก็ช่าง ผมชอบ!) แม้ว่า...ปริศนาน่างุนงงที่หนังทิ้งไว้ให้จะทำให้เราติดกับมันจนไม่อาจสลัดหลุดจากหัวได้ ยังคงถ่วงหัวเราไว้ตลอดกระทั่งช่วงของฉากเหล่านี้ ไปจนกระทั่งฉากที่การกำกับความขวัญผวาของ ผกก.ริดลี่ย์ สกอตต์ จะทำงานอย่างได้ผล (ใครจะว่าบางฉากดูเกรดบีก็ไม่สน) และเป็นส่วนที่เรายังคงชอบมากของหนังก็ตาม...

แต่! (ยาวแล้วว้อย ยาวอีกแล้ว สรุปเลยดีกว่า) ถ้าจะถามว่าเฮีย ริดลี่ย์ สก๊อตต์ เขาทำมาต่อ(รึเปล่าฟระ?)พี่จะดูอีกไหม? ดูครับว้อย! แม้จะกังวลอยู่บ้างว่าเรื่องราวของคาแรคเตอร์เหล่านี้จะถูกสานต่อไหม? เพราะก็ค่อนข้างชอบคาแรคเตอร์ ก็กลัวเขาจะทิ้งไว้แล้วเปลี่ยนทางไปซะงั้น เพราะแม้คำวิจารณ์จะดี แต่ในบ้านเกิดอเมริกันชนก็คงโดนประเด็นของความน่างุนงงที่กล่าวมาจู่โจมเข้าไปหนักใช่เล่นเหมือนกัน รายได้จึงไม่ค่อยพุ่งนัก (แต่ก็ยังดี(มัง)ที่ภาคนี้ งบก็ดูจะน้อยกว่าภาคที่แล้วหน่อยนึง (แต่ Fox คงไม่ค่อยปลื้มนัก นี่ล่ะที่น่าห่วงกว่า... เอาน่ะ เฮียเขาก็ทำตังค์กับ The Martian ให้ไปแล้ว แถม Logan ก็ได้ไปไม่น้อยนะช่วงนี้)) ก็น่าสงสารคนเขียนบทเรื่องหน้าเหมือนกันว่า อีท่านี้จะไปยังไงต่อดี(ว้อย) ก็บอกแล้วว่าเราไม่ได้สนใจอะไรประเด็นกำเนิดมนุษย์ กำเนิด Alien อะไรซักหน่อยมาแต่แรกแล้ว เพราะงั้นแม้จะอยากรู้เหมือนกันว่า ดูซิ๊ เล่นมาท่านี้ จะไปจบอีท่าไหน แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นเพียงเท่านี้ มันเป็นเพราะ เราเป็นแควนเอเลี่ยน เราเป็นแควนหนัง ผกก. ริดลี่ย์ สกอตต์ และ Alien : Covenat ก็ยังคงไม่ได้น่าผิดหวังสำหรับเรา (แม้จะทำให้มึนงงเกินจำเป็นไปบ้าง (พับ)ผ่าปริศนาเอเลี่ยน!) แม้จะไม่ทำให้ถึงกับดูหนังจบต้องกู่ตะโกนแซ่ซ้องหน้าโรง (ก็ไม่เคยมีหนังเรื่องไหนทำแบบนั้นนะ...) และเรายังคงชอบการปรากฏตัวของบรรดาเอเลี่ยน ทั้งเซโนมอร์ฟ และไม่เซโนมอร์ฟ ในภาคนี้อยู่! 

เพราะงั้น ขอให้ปู่ ริดลี่ย์ สกอตต์ สุขภาพแข็งแรง! เราจะดูเราจะดูต่อไป! 

8.3 คะแนน 


อ่อ... ขอให้คนเขียนบทมีสุขภาพดีพอจะปั่นบทเรื่องต่อไปให้จบโดยไม่หัวแตกตายไปซะก่อนด้วย (ตรูว่าที่มันสร้างช้าส่วนนึงก็เพราะอีเรื่องบทนี่แหละ)...







นึกถึง

อืม...จริงๆก็อยากเขียนถึงหนังที่ทำให้นึกถึง Alien : Covenant อยู่หรอก แต่ที่ดูมาก็ยังไม่ได้เขียนถึงทั้งกระบิเลย... เพราะงั้นเราจะนอกเรื่องโดยการนึกไปถึงหนังที่ Henry Thomas แสดง บางคนอาจนึกไม่ออกว่าใคร แต่จริงๆเขาเคยแสดงในอีกหนึ่งหนังไอคอนในยุคที่ความมหัศจรรย์(แทบ)ทั้งหมดยังไม่ได้ถูกแสดงผ่านอภิมหาคอมพิวเตอร์กราฟฟิกอย่างทุกวันนี้ ถือเป็นไอคอนร่วมยุคกับ Alien ได้เลย

หนังเรื่องนั้นคือ E.T. ของ ผกก. สตีเว่น สปีลเบิร์ก แห่ง Jurassic Park (และยังอำนวยการสร้าง Jurassic World รับทรัพย์กันไป เตรียมปลอบใจ BFG ไม่ทำตังค์ในเวลาต่อมา(ทั้งที่ก็ชอบมากเอาการ)) ถือว่าแนะนำ 'เอเลี่ยน' ขั้วตรงข้ามกับมหาวายร้ายในหนังชุดนี้ไว้เผื่อไปดูตัดอารมณ์กันละกันครับ (เกี่ยวกันมากเลย...)








นอกนั้น ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า จู่ๆใครมาดูภาคนี้เลยโดยไม่เคยดู Alien ภาคอื่น หรือไม่เคยดู Prometheus มาก่อนจะรู้สึกกับ Covenant ยังไง? ก็ไม่รู้จะไปสัมภาษณ์ใครดี (จริงๆถ้าไม่ใช่ระดับแควนๆ จำได้เข้ากระดูก ความเป็นไปได้ส่วนใหญ่คือ ต่อให้เคยดู ถ้าไม่ได้เอามาดูซ้ำ เขาคงลืมกันไปหมดแล้วแหละ... ซึ่งแปลว่าประสบการณ์อาจไม่ต่างกับคนไม่เคยดูเท่าใดนัก) อย่างไรซะ ใครที่ไม่เคยดู ก็น่าหา Prometheus มาดูอยู่ดีแหละ เพราะมันก็เกี่ยวข้องกันมากอยู่ (แม้บางคนอาจจะสบถออกมาก็ได้ว่า แล้วมันจะเล่าเรื่องแบบนี้ทำไมว้อยยย) แต่สลับลำดับดูแล้วจะมีผลไหม? แค่ไหน? อันนี้ไม่รู้เหมือนกัน

ส่วนใครเคยดูแล้ว แต่ไม่เคยดู Alien ภาคเก่าๆ หรือเคยดูแต่ AvP อะไรงี้ ขอแนะนำทางเลือกที่น่าสนใจอีกอย่างว่า ไว้ เอเลี่ยนในช่วงไทม์ไลน์นี้จบ คาดว่ามันคงวนไปชนกับ Alien ภาคแรกสุดใหม่ (ราวกับซีรี่ส์ X-Men ยังไงหยั่งงั้น (นั่นก็ของ Fox แฮะ)) ก็ไว้ไปดูวนเอาตอนนั้นเลยก็น่าสนใจดีเหมือนกัน ซึ่ง...นั่นก็ไม่รู้เมื่อไหร่กันนะ... (ไม่รู้ปริศนานี้ต้องแก้ปมไปอีกกี่เรื่อง แต่ใครจะไปรู้...เขาอาจจะตัดสรุปจบภาคหน้าได้เลยก็ได้นะ... (ไม่อยากจะนึก... แต่ดูไหม? ดูครับว้อยย จบนะ.)

ยังไงก็ตามสำหรับคนที่ติดตามหรือสนใจเรื่องราวความเป็นมาเป็นไปใน Alien จริงๆ(ถ้าไม่ซื้อบลูเรย์)ก็น่าลองไปตามดูอะไรเล็กๆน้อยๆที่เขาปะปุมาเพิ่มไว้ให้ เผื่อจะได้รับรู้เรื่องราวบรรยากาศใน Alien ในเรื่องราวช่วงนี้มากขึ้นอีกนิด คือ Fox เองมี Prologue สั้นๆของ Covenant มาให้ 2 ตอน คือ Last Supper กับ The Crossing คิดว่าดู Covenant มาแล้วน่าจะอินกว่า ลองเข้าไปดูกันได้ครับ คิดว่า The Crossing ดูมีเรื่องที่น่ารับรู้มากกว่า Last Supper แต่ก็ค่อนข้างชอบทั้ง 2 ตอน แต่มันก็สั้นๆ คือนิดเดียวจริงๆ อาจไปหวังมากไม่ได้ แต่ใครจินตนาการมากหรืออินมากก็น่าจะรับสัมผัสได้โอเคอยู่

ลองเข้าไปดูได้ในหน้าเว็บไซต์ Alien ของ Fox ที่นี่
หรือคลิกดูจากที่แปะไว้ก็ได้ครับ

Alien: Covenant | Prologue: The Crossing

Alien: Covenant | Prologue: Last Supper

คิดว่าส่วนนี้อาจเป็นฉากที่ถูกตัดออก แล้วเอามาเสริมแทน หรืออาจเป็นความตั้งใจทำไว้แต่แรกแล้วก็ไม่แน่ใจ ก็เดาว่าอาจมีใส่ทั้งสองตอนนี้ไว้ในบลูเรย์แหละ นอกนั้นก็ยังมีที่น่าสนใจอย่าง Meet Walter (ซึ่งก็ดันทำให้นึกถึงหนังเรื่องอื่นหน่อยๆเหมือนกัน) และใครที่ยังไม่เคยดูก็น่าลองหา Meet David ดูด้วยก็น่าสนใจดีครับ  แถมถ้าใครจำได้(?) Peter Wayland ยังมีไปพูดใน TED ด้วยนะ แต่เป็นปี ค.ศ.2023 น่ะนะ...

Meet Walter

Meet David (2012)

Peter Weyland at TED 2023

ยังมีที่น่าหาดูเล็กๆน้อยๆอีก ก็ลองหาดูกันครับ

จนกว่า Alien จะกลับมา...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น