วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] THE BIG SHORT เกมฉวยโอกาสรวย : เงินตรา คุณ(มูล)ค่า ขื่นขำ ลึกลับ ขวัญสยอง


THE BIG SHORT เป็นหนังตลก

อย่างน้อยในสายตาของผู้จัดการประกวดรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 73 ล่ะนะครับ (ซึ่ง THE MARTIAN ก็ตลกพอที่จะมาชิงในประเภทหนัง เพลง/ตลก ยอดเยี่ยม ในสายตาของผู้จัดด้วย และได้คว้ารางวัลนี้ไป ซึ่งจะว่าดีก็ดี แต่มันก็... เอ๊ะ รึ THE MARTIAN เข้าชิงเพราะเป็นหนังเพลงฟร่ะ?! ไม่ใช่หรอกมัง แม้ว่าเพลงจะมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้โขอยู่ (กับทั้งการที่ทำให้มันตลก และเป็นเสมือนปัจจัยในการเอาชีวิตรอด (ซึ่งอาจไม่ตลกขนาดนั้น)) ก็อย่าไปอะไรมากครับ ติดตามกันหนุกๆพอตื่นเต้นๆ)

จริงๆจะว่าไป มันก็ตลก แม้จะเป็นตลกแบบออกจะเสียดสี จิกกัด และไฮเปอร์ๆ ทั้งผู้กำกับ อดัม แม็คเคย์ ก็เป็นผู้กำกับสายหนังตลกอย่าง ANCHORMAN มาก่อน ซึ่งทีแรกหลายคนพอรู้ว่าแกจะมากำกับหนังที่ดูไม่น่าจะตลกแต่น่าจะซีเรียสมากกว่า อย่างเรื่องในแวดวงการเงินตลาดหุ้น ก็อาจจะมีคำถามว่าแกจะทำมันออกมาอีท่าไหน จะรอดไหม แต่เอาเข้าจริงผลที่ออกมาเราก็พบว่าแกก็ยังตลกได้ ทั้งๆที่มันออกจะซีเรียส(ด้วย) และหนังก็ออกมาเข้าท่า ดี เจ๋ง คูล ในแบบของมันทีเดียว

แต่มันก็ไม่ได้เป็นแค่หนังตลก

THE BIG SHORT เป็นหนังที่ควรเตรียมตัวก่อนไปดูกันอยู่ซักหน่อย ซึ่งอาจจะต้องเตรียมตัวไปมากกว่าหนังอย่าง STEVE JOBS ซะอีก เนื่องจากมันเกี่ยวกับเรื่องของ ตลาดเงิน ตลาดการลงทุน ตลาดหุ้น อะไรเทือกนั้น แม้ว่าในหนังจะเต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย การยิงรัวๆๆๆ และบทสนทนาไฟแล่บ (และตัวละครไฮเปอร์) เหมือนกัน แต่ในขณะที่เราอาจไม่รู้จัก STEVE JOBS มากนัก ถ้าฟังหรือตามหนังทัน เราก็ยังได้รู้อะไรๆหลายๆเรื่องที่หนังบอกมาและเข้าใจหรือติดตามหนังไปได้พอสมควร แต่กับ THE BIG SHORT เราไม่ต้องรู้จักตัวละครสำคัญซักคนในหนังไปก่อนเลยก็ได้ แต่เราควรจะรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับศัพท์ตลาดการลงทุน (แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องหรือข้องแวะกับเหล่านั้นนักก็ตาม) อย่างเช่น พันธบัตร อนุพันธ์ การซื้อขายล่วงหน้า การชอร์ต (แต่อันนี้จริงๆหนังก็อธิบายให้ ซึ่งก็โอเค - ถ้าตามและฟังทัน คือพอถึงตรงนี้แล้วไม่มึนกับเรื่องอื่นๆอยู่จนกรูไม่ไหวแล้ว ก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก) ฯลฯ อะไรทำนองนี้ คือรู้นิดๆหน่อยๆก็จะพอไหวแล้ว ที่เหลือรู้มั่งไม่รู้มั่งก็ช่างมัน (ผมเองก็จัดอยู่ในประเภทนี้) เพราะหนังก็ไม่ได้จะมาทำท่าเป็นหนังตำราตลาดทุนอย่างเดียว มีเรื่องราวอื่นให้ติดตาม แต่ถ้าไม่รู้เลย... (คาดว่าน่าจะ) ตรายแน่...

เงิน น่าจะถือเป็นนวัตกรรมและสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งที่มนุษย์เคยสร้าง(หรืออุปโลกน์?)ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน มันทำให้เกิดความสะดวกและความเป็นไปได้อีกมากมายในอะไรๆหลายอย่างที่ใช้ขับเคลื่อนโลกนี้มาตลอด ขณะเดียวกันเมื่อมันเพิ่มความซับซ้อนรายรอบเข้ามาเรื่อยๆ มันก็กลายเป็นสิ่งที่เรารู้จักกันดีแต่ก็เหมือนไม่รู้จัก เหมือนจะเข้าใจแต่ก็เหมือนไม่เข้าใจ (แต่มีในมือก็ดี เวร) ในทางหนึ่ง มันก็เลยเป็นสิ่งลึกลับ ชนิดที่ไปดูสารคดี MONEY & LIFE มา ก็ไม่เห็นจะเข้าใจมันมากขึ้น (เท่าที่อยากจะเข้าใจ) เท่าไหร่ และเมื่อเวลาผันผ่านวิวัฒนาการ(ที่ไม่แน่ว่านำไปสู่(สิ่งพิกลพิการ?)อะไร) อันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของมูลค่า หรือเงิน ภายใต้ทุนนิยม เสรีนิยม หรืออะไรก็ดี ในขณะที่ด้านหนึ่งมัน(เหมือน)พร้อมจะทำให้การหาทุนเป็นไปได้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ เทคโนโลยี งาน หรืออื่นๆๆๆ โดยมีช่องทางมากขึ้น ขณะเดียวกันมันก็ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนสับสนงุนงงลึกลับที่เกี่ยวเนื่องกับมันซ้อนทับขึ้นไปเรื่อยๆได้ด้วย

มาถึงตรงนี้แล้วก็ยังไม่เห็นจะเกี่ยวกับเรื่องหนัง THE BIG SHORT มากเท่าไหร่ เพราะงั้นเรื่องเงิน(และการพล่ามบร้าอะไรของมัน)เราจะเอาไว้แค่นี้ก่อน ต่อไปเราไปเข้าเรื่องแตะๆเรื่องของหนังบ้างดีกว่า


วิกฤติแฮมเบอเกอร์ที่ไม่เพียงส่งผลสะเทือนพี่บิ๊กอย่างอเมริกา แต่ดูเหมือนจะส่งผลสะเทือนไปทั่วโลกด้วย ส่งผลถึงคนหลายล้าน ธุรกิจที่ตั้งมายาวนานเป็นร้อยปีต้องสูญสลาย(เพราะ?) คนตกงานอีกมากมาย เงินจำนวนมากหายสาบสูญ(ไปอยู่ในกระเป๋าใคร?)อย่างลึกลับ(บ้างไม่ลับบ้าง) มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?  มีคนรู้ไหมว่ามันจะเกิดขึ้น? THE BIG SHORT จะพาเราไปติดตามเรื่องราวของคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเดิมพันกับความพิกลพิการในเรื่องนี้ และติดตามดูแต่ละช่วงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมคำอธิบายที่เข้าใจได้ง่ายโอเคและตลก(ขำขื่น)ให้เสร็จสรรพ และมุ่งไปสู่ตอนจบของหนังเรื่องนี้กัน

บรรดาตัวละครหลักๆนั้น ปรากฏตัวอยู่บนโปสเตอร์กันหมดแล้ว (จริงๆขาดสองหนุ่มนักลงทุนหน้าใหม่ ซึ่งไปขอความช่วยเหลือจากเก๋าเกมล้างวงการปลูกผักกินผักออร์แกนิครับบทโดย แบรด พิทท์ - ชื่ออาจจะยังบิ๊กไม่พอ (ก็ดูแต่ละคนบนโปสเตอร์) หรือไม่เนื้อที่บนโปสเตอร์ก็ไม่พอแล้ว หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง หรืออื่นๆ) ซึ่งล้วนได้บรรดาขาใหญ่มารับบทกันอุ่นหนาฝาคั่ง แต่ละคนก็มาปล่อยของไฮเปอร์ปล่อยการแสดงบทสนทนาแสบสันต์จิกกัดไฮเปอร์กันได้ครบถ้วนกระบวนความดี (กระทั่งบทมาดนิ่งๆพูดนิ่มๆอย่าง แบรด พิทท์ ซึ่งดูจะต่างกับคนอื่นเข้าอยู่ก็ยังรู้สึกว่ามีความไฮเปอร์แฝงอยู่) หนังถึงได้ออกมาตลกขนาดนี้ แต่มันเป็นตลกร้ายแสบสันต์ กวนตีน จิกกัด เสียดเย้ย ย้อนแย้ง มากกว่าจะตลกกันก๊ากๆ (แต่บางทีก็ได้) ซึ่งก็ดูเข้ากับความอลหม่านของเรื่องราวดี ซึ่งแต่ละคนล้วนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเดิมพันครั้งใหญ่กับตลาดหุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเฟื่องฟูเติบโตในอเมริกา ว่ามันจะต้องเกิดความชิหายวายวอดขึ้นแน่ ทั้งๆที่ดูๆไปมันก็ไม่น่าจะเกิดอะไรแบบนั้นขึ้นได้? ซึ่งตัวละครหลักบางคนก็ได้โคจรเข้ามาในเรื่องนี้ (ตามที่ก็เห็นในโปสเตอร์ว่าเข้ามาสู่ 'THE BIG SHORT') และโคจรมาพบกันอย่างคาดไม่ถึง บางคนก็เกี่ยวกันมาก บางคนก็เกี่ยวกันน้อย บางคนก็ไม่ค่อยเกี่ยว แต่จะเกี่ยวไม่เกี่ยวหายนะก็กำลังคืบคลานมาอย่างช้าๆ

ในช่วงหลังๆ รู้สึกว่าวงการหนังฮอลลีวู้ดจะหันกลับไปมองวิกฤติที่ว่ามากขึ้น และวิกฤติตลาดทุน หรือเรื่องราวในวงการนี้มากขึ้น และมีหนังหลายเรื่องออกมา ที่ใกล้สุดและน่าจะมีหลายคนรู้จักกันดี ก็คือ THE WOLF OF WALL STREET อีกหนึ่งหนังเข้าชิงออสการ์ของ ลีโอฯ ซึ่งก็ออกมาในแนวแอ็คชั่น(?) ตลก(ขำขื่น) ไฮเปอร์เหมือนกัน แต่นั่นก็เน้นไปที่ตัวของ จอร์แดน เบลฟอร์ด ที่ลีโอแสดงมากกว่า ขณะที่เรื่องนี้พาเราเข้าไปในวังวนวิกฤติมากกว่า ซึ่งรายละเอียดดูจะยุ่งและเยอะกว่า

ความจริงแม้เรื่องราวจะยุ่งเหยิง และตัวละครใส่กันไฟแล่บ แต่ในหลายส่วนของหนัง มันก็ดูพยายามทำตัวง่ายในระดับหนึ่งแล้ว ที่จะอธิบายเรื่องยากๆบางอย่างออกมาเป็นภาพ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เข้าท่าและเข้าใจได้ง่ายดีเลย อย่างการใช้เกมดึงบล๊อกตึกถล่มอย่าง JENGA มาอธิบายความยุ่งเหยิงของหลักทรัพย์มหัศจรรย์ที่เราเห็นแว่บๆในตัวอย่างหนัง ทั้งหลายอันยังตัดฉับไปอธิบายกันดื้อๆ แบบยียวนแสบสันต์และยังตลก จนบางทีอาจต้องมีสมาธินิดนึงว่าจะตลกรึจะฟังเขาอธิบาย (แต่บางคนที่สับสนงุนงงมาตลอดอาจไม่ตลกไปด้วยก็ได้...ประมาณว่าอะไรของเมิงงงงง????!!!! อันนี้ก็บอกแล้วว่าเตรียมตัวไปนิดน่าจะดีกว่า) ซึ่งความจริงหนังก็อาจจงใจยั่วล้อตัวเองไปอ้างอิงถึงหนังที่เกี่ยวๆกันอย่าง THE WOLF OF WALL STREET ด้วยการให้ มาร์กอต รอบบี้ คนสวยมาอธิบายถึงอะไรยากๆในตอนหนึ่งโดยไม่ยักกะแนะนำตัวเหมือนคนอื่นๆ ก็ได้? (ในสภาพที่ เห็นแล้วก็คิดนิดๆว่า นี่ไม่ได้ต้องการให้มีสมาธิทำความเข้าใจกันจริงๆใช่ไหม? - รึคนอื่นที่ทาบทามเขาไม่มาเล่นอธิบายให้หว่า? อ่าว - คนที่มึนมาก็ยังคง อะไรของเอ็งงงง??!!!) ประมาณว่าเป็นตัวละครในเรื่องนั้น? แต่แม้ว่าจะพยายามอธิบายกันให้ง่ายขนาดนี้แล้ว (อันนี้ก็ยืนยันว่าหนังพยายามอธิบายได้โอเคพยายามให้เข้าใจง่าย(และยียวน+ตลก)แล้วจริงๆ) ทั้งยังมีกลุ่มตัวละครให้ติดตาม แต่ด้วยความที่เรื่องราวของมันยังไงก็ซับซ้อนยุ่งเหยิง (และในอีกทางแม้จะมีตัวละครให้ติดตาม ความไฮเปอร์ของแต่ละคนอาจไม่ช่วยอะไรก็ได้ ฮา) มันจึงยังต้องอาศัยการติดตามเรื่องราวอย่างตั้งอกตั้งใจกันพอควร ไม่ใช่เดินไปกินน้ำหรือเผลอหลับกลับมามันยังยิงปืนเลเซอร์กันนัวอยู่เลยเหมือนตอนก่อนไป คือก็ไม่ได้สะดวกสบายขนาดนั้น

และเมื่อเรื่องดำเนินไป เราก็จะค่อยๆพบว่า การค้าเสรี คืออะไร(กันวะ!!!!!?) เมื่อการเดิมพันของแต่ละตัวละครที่เราติดตาม กลับไม่เป็นไปตามทฤษฎีที่เสี่ยงเดิมพัน ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่เป็นไปอย่างที่คิด ซึ่งก็อาจไม่แปลก เพราะขนาดอภิมหานวัตกรรมผลิตภัณฑ์จับมัดรวมยังเกิดขึ้นได้ นับประสาอะไรที่ความชิหายวายป่วงกว่านั้นจะเป็นไปไม่ได้ อะไรเสรีๆ ที่จะเสรีได้จริงก็ต่อเมื่อต้องมีการปล่อยให้ตลาดอิสระจริงๆและมีกำกับดูแลความอิสระนั้นให้เป็นไปตามกติกา ของความเป็นเสรี (เสรีนี่ไม่ได้แปลว่าอะไรก็ได้นะ คือถ้าเสรี แปลว่าโกงกันฆ่าแกงกันได้ทุกอย่างตามใจแต่ละคน อันนั้นมันไม่ใช่แล้ว) แต่เมื่อเผชิญกับความชิหายวายป่วงในระดับที่ไม่แน่ใจว่ามันเกิดจากอะไรและมีการตรวจสอบกันแค่ไหน? เราก็พบว่ามันสามารถอธิบายได้ง่ายๆ(แต่ทลวงใจ)ด้วยแค่เหตุการณ์ในตอนหนึ่งในหนัง ว่า "เราไม่ทำคนอื่น(ที่อยู่ข้างๆนี่แหละ)ก็ทำ" ซึ่งเอาจริงๆประโยคนี้ก็ดูเหมือนจะใช้ได้(และอาจโผล่มาแต่จำไม่ได้)ในหลายๆๆๆๆอย่างหลายๆๆๆๆๆตอนในหนังได้ด้วย แต่ลองไปดูกันเองก็แล้วกันนะครับว่ามันคือตอนไหน (แต่ถ้าดันได้คนละตอนมาจริงๆก็ช่างมัน)

 ถึงจุดหนังจึงเปลี่ยนจากแค่หนังจิกกัดขำขื่นข้อมูลเยอะแยะตัวละครไฮเปอร์พูดมากเหลือเกิน กลายเป็นอีกแบบหนึ่ง เมื่อเราพบไปพร้อมๆกับตัวละครว่า บางสิ่งไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น อะไรที่ควรจะอยู่ตรงนั้นถ้ามันเป็นแบบนี้ไม่ได้อยู่ที่ที่มันควรอยู่ ราวกับความเป็นเหตุเป็นผลหายไป เหมือนอะไรบางอย่างถูกเก็บถูกกดไว้ไม่ให้เห็นรอเวลาว่าเมื่อมันเกินจะเก็บไว้ได้มันจะส่งหายนะไปทั่วทุกทิศทาง เพื่อ? ผลประโยชน์? ของใครจำนวนหนึ่ง?

เมื่อนั้นหนังก็กลายเป็นหนังสยองขวัญไปได้โดยปริยาย

นักแสดงทุกคนเล่นได้มันส์ดีตามบทตามแบบของใครของมัน (กระทั่งตัวละครประกอบการอธิบายด้วย) ทีแรกผมรู้สึกว่าตัวละครของ คริสเตียน เบล นี่ดูไม่ค่อยจะเกี่ยวกับเรื่องคนอื่นๆเขาเท่าไหร่เลย ทั้งที่เรื่องของคนอื่นๆก็ดูจะเกี่ยวๆเกาะๆกันอย่างพิสดารอยู่ แต่พอดูมาถึงตอนท้ายคิดอีกที เส้นเรื่องของตัวละครนี้ว่าไปก็ดูจะทำให้เราเห็นภาพรวมได้ง่ายที่สุดแล้วเหมือนกัน (แต่อันนี้อาจจะยึดจากหนังสือก็ได้นะ เพราะหนังสร้างจากหนังสือชื่อเดียวกัน แต่มีสร้อยพ่วงท้ายน่ารักๆว่า INSIDE THE DOOMSDAY MACHINE แต่ไม่ชัวร์เพราะไม่ได้อ่าน)  

ความจริงหายนะที่เกิดก็ไม่ใช่หายนะที่จะไปถึงทุกคน เมื่อมันเหมือนคล้ายๆการเดิมพันอะไรบางอย่างไว้ว่ามันจะไปออกข้างไหน โดยมีเหตุผลในด้านที่ตัวเองเชื่อรองรับอยู่พอสมควร ฝ่ายที่เดิมพันไว้ถูกข้างจึงเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ เรื่องนี้แม้เราจะได้เห็นถึงความปราดเปรื่องของหลายๆตัวละคร ความน่ากลัวของอะไรบ้าๆบอๆที่พวกเขาต้องเผชิญจนเกิดความมึนงง จนเมื่อในที่สุดเรื่องมาถึงบทสรุป หลายคนอาจรู้สึกว่าพวกเขาเป็นฮีโร่เลยก็ได้(หลายคนก็คงรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ) และก็ต้องยอมรับความปราดเปรื่องและความกล้าเดิมพันของพวกเขาจริงๆเช่นกัน แต่ในอีกด้าน แม้จะมองว่าใครจะขายก็ขายไป แต่เมื่อมันเกาะเกี่ยวกันอยู่ การเดิมพันของฟากหนึ่งก็ส่งผลกระทบไปถึงความล่มสลายของอีกฟากหนึ่งได้เหมือนกัน มีคนได้ก็ต้องมีคนเสียว่างั้น การเดิมพันใหญ่จึงมีส่วนในการล่มหลายๆส่วนได้เหมือนกันก็ได้ ถึงตรงนี้ความลึกลับซับซ้อนของหลายๆอย่างที่เกี่ยวกับเงิน มูลค่า และตลาดทุน ก็ยังคงอยู่ และในหลายๆส่วนก็ดูเหมือนว่าเมื่อมันจำเป็นต้องยักย้ายถ่ายเท มันก็ต้องมีคนได้คนเสีย มีคนแพ้มีคนชนะ (เราจะยังไม่พูดถึงว่าบางคนแพ้ก็อาจไม่แพ้) จนถึงจุดหนึ่งเราก็รู้สึกว่าทั้งหมดนี่มันเหมือนเป็นแค่เกมอะไรซักอย่างแค่นั้นจริงๆ เพียงแต่ว่ากระดานของมันกว้างใหญ่มาก และบางคนก็ไม่(มีโอกาส)รู้เลยว่าเราเข้าไปอยู่บนกระดานเกมด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่(กันวะ)?...

พอดูเรื่องนี้ไป ใจหนึ่งก็อยากทำเอาผมอยากไปหา ANCHORMAN มาดูซักหน่อยเพราะไม่เคยดู ได้ยินคำรื่อลือมาบ้างว่าแม้จะเป็นหนังตลกมันก็ไม่ใช่หนังตั้งหน้าตลกจนไม่มีอะไรอย่างอื่น ซึ่งอานิสงค์จาก THE BIG SHORT นี่ก็เยอะอยู่ เพราะไม่นับนักแสดงเล่นมันส์ มันยังพยายามเล่าเรื่องราวยากๆให้มีเซนส์ของความสนุกได้ (เป็นตลกร้ายจิกกัดนะ) แถมยังเป็นหนังที่พยายามอธิบายเรื่องยากๆที่เกี่ยวเนื่องให้ดูง่ายขึ้นบนจอได้ เรียกว่าไม่ได้ตั้งท่าเล่าเรื่องอย่างเดียว แต่พยายามอธิบายหลายอย่างในเรื่องด้วย จนจุดหนึ่งก็แอบนึกว่ามันจะกลายเป็นแค่หนังการศึกษาเน้นให้ข้อมูลแนวใหม่ไหมนะ? แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่เพราะเรื่องราวและตัวละครก็แสดงให้เห็นว่าการอธิบายเรื่องบางอย่างให้ผู้ชมทราบไปด้วยไม่ใช่แค่เพิ่มความหฤหรรษ์ แต่เพราะมันก็มีส่วนสำคัญที่จะนำเรื่องราวไปถึงส่วนสำคัญของเรื่องและบทสรุป หนังควรมีข้อมูลพื้นฐานบ้างหรือควรเตรียมตัวก่อนดูเรื่องนี้ จึงจัดอยู่ในหมวดหนังดูไม่ง่ายนักแต่มันส์ (โดยถ้าไม่รู้เรื่องอะไรที่น่าจะต้องรู้ก่อนไปดูเท่าไหร่ก็น่าสงสัยว่าจะยังมันส์ไปกับลีลาการเล่าเรื่องหรือการแสดงได้ขนาดไหน) 8.9 คะแนน ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะอิมแพ็คท์จากการที่จู่ๆหนังก็เปลี่ยนจากตลกขำขื่นจิกกัดไปเป็นหนังสยองขัวญได้หน้าตาเฉย... 

เอ๊ะ แต่นั่นมันเกี่ยวกับหนังรึเกี่ยวกับตัวเรื่องของมันฟระ?! เอาน่ะ ให้คะแนนเท่านี้แหละ


นึกถึง

ถ้าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องเทือกนี้ หายนะ การลงทุน ตลาดทุน และอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้หลายๆอย่างจากหนังด้วยคงหาเรื่องไหนกิน THE BIG SHORT ยากเหมือนกัน (แต่ทั้งอย่างนั้นก็ควรรู้บางอย่างก่อนไปดูอยู่ดี - นี่พูดมาหลายครั้งแล้ว - แต่ถ้าเป็นคนที่รู้เยอะๆอยู่แล้วไม่รู้จะรู้สึกว่ามันสนุกน้อยกว่ารึเปล่านะ? - อันนี้ไม่รู้เพราะไม่ได้จัดอยู่ในนั้น) แต่จริงๆหนังที่พูดถึงเรื่องทำนองนี้ ให้เราได้ติดตามเรื่องพอรู้บรรยากาศคร่าวๆ หรือรู้รายละเอียดบางอย่าง ก็มีให้เลือกดูกันพอสมควร

อย่างที่บอกถ้าจะดูเอาบันเทิงด้วยแบบไม่ต้องเตรียมตัวมาก THE WOLF OF WALL STREET ก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่ดูสนุกก็ได้  เพราะบรรยากาศหนังก็ออกจะเอเนอเจติก ไฮเปอร์ บ้าบอกันสุดตัว พี่ลีโอชิงแต่ชวดอีกแล้ว (อะไรฟระ?!) แต่ยังไงก็ต้องบอกว่านักแสดงเล่นกันได้มันส์จริงๆ ไม่ได้พูดมากรัวๆขนาดเรื่องนี้ด้วย นอกนั้นที่อยากแนะนำอีกเรื่องคือ MARGIN CALL บรรยากาศออกจะต่างกับ THE WOLF OF WALL STREET เป็นโทนขรึมกว่า และเรื่องราวก็พุ่งตรงไปที่วิกฤติแฮมเบอเกอร์มากกว่า จะได้เห็นมุมมองอื่นๆที่ไม่เหมือนใน THE BIG SHORT ด้วย



หรือจะลองดู WALL STREET : MONEY NEVER SLEEPS ซึ่งเป็นภาคต่อของ WALL STREET (ที่เล่าเรื่องทำนองนี้มาก่อนนานมาก) ซึ่งยังติดตามเรื่องราวของ กอร์ดอน เก็กโค่ อยู่ด้วยก็ได้ ถ้าดูภาคแรกมาก่อนด้วยก็จะได้เห็นมุมมองบางอย่างที่บ้างก็เปลี่ยนไปบ้างก็เหมือนเดิมบ้างก็เหมือนจะหนักกว่าเดิมตามความต่างของยุคสมัยของทั้ง 2 ภาคด้วย แถมมันยังจิกกัดและเสียดเย้ยตัวละครจากภาคแรกไว้ด้วย ถือว่าเติมมุมมองของตัวละครในตลาดทุนให้เห็น (แม้จะเป็นมุมเฉพาะด้านดาร์คๆเย้ยๆก็ตามน่ะนะ)





สำหรับการเตรียมตัวหรือเพื่อเรื่องราวเพิ่มเติม (ที่ไม่ใช่หนังสือ THE BIG SHORT ฯ) แนะนำหนังสือไว้ซัก 2 เล่มละกันครับ ซึ่งก็กล่าวถึงวิกฤติแฮมเบอเกอร์เป็นส่วนสำคัญไว้ทั้งคู่

เล่มแรก เศรษฐกิจโลกถดถอยครั้งใหญ่ โดย ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ จัดพิมพ์โดย openbooks ซึ่ง...อาจจะหายากหน่อยเพราะนานแล้ว โดยถ้ายังไม่อยากอ่านในเล่มซึ่งเต็มไปด้วยรายละเอียดทั้งหมด ก็เปิดไปอ่านในภาคผนวกท้ายเล่ม เรื่อง คู่มือซับไพรม์ ก่อนเลยก็ได้ เพราะส่วนนี้เป็นแปลการ์ตูนแสบๆคันๆแต่ตรงประเด็นที่อธิบายถึงที่มาและที่ไปของหลักทรัพย์มหัศจรรย์ที่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรื่องชิหายวายป่วงนี้เกิดขึ้นได้อย่าง...ก็มหัศจรรย์จริงๆ

พยายามหาการืตูนที่น่าจะเป็นต้นฉบับที่แปลไว้ในภาคผนวกที่ว่า แต่ไม่เจออันที่ลายเส้นแบบนั้น เจอแต่อันอื่นที่น่าจะเนื้อหาเดียวกันแต่ลายเส้นไม่เนี๊ยบเท่า ไม่รู้อันไหนต้นฉบับ แต่ลองไปอ่านดูก่อนก็ได้ ที่นี่



อีกเล่มคือ รอยเลื่อนเขย่าเศรษฐกิจโลก แปลโดย คุณ สฤณี อาชวานันทกุล จาก Fault Lines : How Hidden Fractures Still Threaten the World Economy เขียนโดย Raghuram G. Rajan (ราจัน รากุราม) สำนักพิมพ์ openworlds (ทดลองอ่านได้จากหน้าเวป ตามลิงค์ที่ชื่อหนังสือ)




จะลองหาดูสารคดี MONEY & LIFE  ดูด้วยก็ได้ครับ ตอนนั้นได้ดูในเทศกาลหนังเปลี่ยนสังคม ฉายสารคดีน่าสนใจหลายเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ในโลกปัจจุบัน เป็นกิจกรรมฟรี จัดฉายที่โรงภาพยนตร์สกาล่าเมื่อราว 2 ปีก่อน แต่ลองค้นหาใน YOUTUBE ดูก็น่าจะมี

ขนาดนี้ก็ยังไม่เข้าใจความลึกลับของมันหรอกนะ...




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น