วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] SPOTLIGHT คนข่าวคลั่ง : หน้าที่ จรรยาบรรณ ความคาดหวัง


SPOTLIGHT เป็นหนังข่าวสืบสวนซึ่งสร้างจากเรื่องจริงที่มีเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับประเด็นที่อ่อนไหวและค่อนข้างหนักหน่วง ซึ่งก็เรียกความสนใจของคนที่ต้องการรู้เรื่องราวเบื้องหลังการทำข่าวสืบสวนนี้ มีการนำเสนอที่สุขุม หนังรวบรวมนักแสดงฝีมือดีเอาไว้หลายท่านซึ่งทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี มีรายละเอียดบางอย่างที่น่าสนใจเหลือทิ้งไว้ให้

จากเปลือกนอก SPOTLIGHT เป็นหนังที่ไม่ได้มีโครงสร้างพิสดารหรือน่าตื่นเต้น เรื่องราวในหนังถูกเล่าออกมาตรงๆ ไม่ได้พยายามใช้ลูกเล่นอะไรบิดให้มันดูพิเศษหรือผิดธรรมดา การที่ SPOTLIGHT ดึงความสนใจเกี่ยวกับสิ่งที่นำเสนอได้ตั้งแต่แรก ก็เป็นสิ่งเดียวกับที่ทีมข่าวในเรื่องถูกดึงความสนใจไปหา

ทำไม บาทหลวงซึ่งมีข่าวเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ถึงแค่หายไปเฉยๆจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง โดยไม่ได้มีการฟ้องร้องคดีหรือการลงโทษใหญ่โตอะไรให้เห็นหรือรู้สึกเลย?

และในอีกเมืองหนึ่งบาทหลวงผู้นั้นก็ยังคงเป็นบาทหลวง หรือบาทหลวงผู้นี้สำนึกเสียใจในความผิดอย่างที่สุดแล้ว กลับใจ และพร้อมที่จะทำหน้าที่บาทหลวงต่อไปแล้ว?

SPOTLIGHT แม้จะดูเหมือนมีน้ำหนักของการสืบสวน หรือการทำข่าวสืบสวน แต่จริงๆหนังไม่ได้เน้นไปที่ความพลิกผันของการสืบสวน เรื่องราวที่ทีม SPOTLIGHT ของหนังสือพิมพ์ BOSTON GLOBE เข้าไปเกี่ยวข้องนั้นเริ่มจากเรื่องราวดูฉาวโฉ่ที่ดูเหมือนถูกปิดเงียบ เรื่องที่น่าตระหนกจริงๆเบื้องหลังหัวข้อข่าวที่ค่อยๆถูกกระเทาะ คือ เหตุผลของการที่เรื่องเหมือนเงียบหายไปเฉยๆ โดยไม่ได้มีผลลัพธ์ที่ทำให้รู้สึกว่ามีเรื่องไม่เหมาะสมเกิดขึ้น และภายใต้หน้าฉากเบื้องต้นที่ถูกขุดค้นลึกลงไป มีความลับซึ่งใหญ่โตขนาดไหนซ่อนอยู่?

ความลับที่เหมือนมีเพียงผืนผ้าบางๆปกคลุมอยู่ แต่เหมือนไม่มีมือข้างในเคยเอื้อมไปเลิกผืนผ้านี้ออกให้เห็นถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างใต้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?...

SPOTLIGHT เป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยรายละเอียด แต่มันก็ไม่ได้ถูกนำเสนอออกมาให้เข้าใจได้ยาก มันนำเสนอตัวเองอย่างสุขุม ทั้งการถ่ายทอดเรื่องราวและการแสดง กระนั้นนักแสดงทุกคนในบทสำคัญก็มีช่วงเวลาสำคัญของตัวเอง ในเวลาส่วนใหญ่หนังไม่ได้พยายามแสดงออกมาอย่างเกรี้ยวกราดหรือฟูมฟาย ซึ่งอาจเป็นการดีก็ได้ เพราะเมื่อมันเผยเรื่องราวในหลายช่วงที่ปิดซ่อนอยู่ สารที่ส่งออกมาโดยไม่ต้องอาศัยความกราดเกรี้ยวหรือฟูมฟายมาเสี่ยงแบ่งความสนใจไปก็สามารถส่งความรู้สึกช๊อคมาให้เราได้ตรงๆ และนั่นอาจเพียงพอแล้ว


ถ้าคุณชอบหนังที่ดำเนินเรื่องด้วยเรื่องราวและตัวละครที่แสดงออกอย่างสุขุม หรืออยากรู้เรื่องราวที่ซ่อนอยู่ภายใต้การเริ่มเรื่องจากคำถามที่ว่าทำไมไม่มีใครเห็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นในวงการซึ่งอาศัยการแสดงออกซึ่งศรัทธาและความบริสุทธิ์ อย่างศาสนา นี่ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แน่นอนว่าการที่ทีม SPOTLIGHT เริ่มทำข่าวนี้เริ่มมาจากมุมมองจาก คนนอก ที่เพิ่งเข้ามามีส่วนสำคัญในทีม เป็นคำสั่งกลายๆให้ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนที่จะได้เห็นเรื่องราวเหล่านี้ชัดขึ้น

สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมนอกเหนือไปจากการเผยเรื่องราวที่ซ่อนอยู่าว่ามันใหญ่โตขนาดไหนแล้ว และเรื่องของการที่ทำไมทุกคนจึงทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่น่าจะเห็นได้ชัดๆ ก็คือเรื่องของบทบาทหน้าที่ จากมุมมองของตนเอง จากมุมมองที่เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรหรือสถาบัน และจากมุมมองของสังคม หรือจากมุมมองอื่นๆ

สำหรับหนังสือพิมพ์ หรือสื่อ เรื่องนี้เป็นอะไรได้บ้าง? หน้าที่ของหนังสือพิมพ์หรือสื่อคืออะไร? ดูเหมือนสื่อต้องนำเสนอเรื่องราวความจริงให้แก่สังคม เป็นกระบอกเสียง เรียกร้องความยุติธรรม นั่นคือจรรณยาบรรณ หรือความคาดหวังที่สังคมมีต่อสื่อ? ขณะเดียวกัน นอกจากนำเสนอข่าวอย่างถูกต้อง ครบถ้วน สื่อก็ต้องนำเสนอข่าวอย่างถูกเวลา เพื่อสร้างผลกระทบอย่างได้ผล เพื่อจับความสนใจของมวลชน และมันมีผลต่อยอดขาย เราควรรู้จักคู่แข่ง และถ้าเราทำได้ดีกว่าคู่แข่ง นั่นก็เป็นสิ่งที่ดีประการหนึ่ง

สำหรับองค์การศาสนา การที่ผู้นำระดับสูงจะเลือกปิดเรื่องราวบางอย่างไว้ เกิดขึ้นเพราะอะไร? เป็นเพราะอยากให้โอกาส? เป็นเพราะอยู่ท่ามกลางสายตาของมวลชน? หรือเพราะอยู่ท่ามกลางสายตาขององค์กร? ของคนอื่นๆในองค์กร? หรือเป็นสิ่งอื่นที่ใหญ่กว่านั้น การปะทะกันของศรัทธา หรืออะไรอื่น? หรือสำหรับคนอื่นๆในองค์กรที่อาจรับรู้เรื่องราวความผิดที่เกิดขึ้น อะไรที่ทำให้เลือกไม่ปริปาก ไม่อยากยุ่ง ธุระไม่ใช่ อยากให้โอกาส ให้ขึ้นกับองค์กร ความไม่แน่ใจ ความสงสาร หรืออาจเป็นเรื่องของการที่คนที่ทำความผิดในเรื่องหนึ่งไม่กล้าแพร่งพรายความผิดของคนอื่นๆในอีกเรื่องหนึ่งเพราะคิดว่าตนก็มีความผิดที่ปกปิดไว้เหมือนกัน? แม้ความผิดบางอย่างอาจมีแง่มุมที่ดูย่ำแย่และส่งผลกระทบกว่าความผิดบางอย่างก็ตาม?

สำหรับทนาย การทำตามหน้าที่คืออะไร? รักษากฏหมาย? ปกป้องลูกความให้ถึงที่สุด? ปกป้องตนเองในฐานะปุถุชนที่ต้องต่อกรกับอำนาจอื่นๆที่อาจเหนือกว่า ทั้งด้านจิตใจหรือโครงสร้างสังคม? หรือปกป้องผลประโยชน์ของตน ทั้งการเงิน และสถานะชื่อเสียง ซึ่งอาจมีผลอย่างมากกับอาชีพของตน ซึ่งก็เป็นสถานะที่ต้องเปรียบเทียบและอยู่ท่ามกลางสังคม

สำหรับคนที่อยู่ในสถานะของผู้ถูกคุกคาม การต้องเปิดเผยเรื่องราวที่ซุกซ่อนต้องอาศัยความกล้าหาญ และหวังพึ่งให้คนที่รับรู้เข้าใจ กระทั่งมีอำนาจหรือสามารถมากพอจะจัดการกับเดิมพันนี้ได้ แม้บางครั้งผลลัพธ์อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง และบางครั้งการรอคอยก็ไม่แน่ใจว่าจะนำไปสู่อะไร

ในฐานะปุถุชนซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในสังคมตามหน่วยงานหรือสถาบันที่ตนสังกัด ในด้านหนึ่งเรามีหน้าที่ และจรรยาบรรณ ที่ต้องทำตามหรือรักษาไว้ ซึ่งเมื่อพูดถึงหน้าที่อาจมีความชัดเจนและขอบเขตชัดกว่าเมื่อพูดถึงเรื่องของจรรยาบรรณ ขณะเดียวกันเรามีความคิดความเห็นความปรารถนาส่วนตัว เราไม่อยากลงแรงเสียเปล่า ไม่อยากให้สิ่งที่ลงแรงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่อยากให้มีคนคาบชิ้นปลามัน เรามีสิ่งที่ชอบ มีสิ่งที่กลัว มีสิ่งที่ศรัทธา มีสิ่งที่สงสัย บางครั้งเราก็เลือกที่จะทำหรือไม่ทำอะไรตามแรงผลักดันส่วนตัว บางครั้งเมื่อต้องต่อกรกับอะไรที่เรารู้สึกว่าเกินตัว เราก็ไม่อาจทำได้ด้วยตัวคนเดียว บางครั้งเราต้องอาศัยแรงผลักดันจากที่อื่นๆ จากคนอื่นๆ ต้องการความช่วยเหลือ เราจึงอยากพึ่งตัวเล่นอื่นๆในสังคมที่เรามองว่ามีบทบาทหน้าที่หนึ่งๆ ขณะเดียวกันเราก็ต้องเผชิญแรงกดดันจากสังคมในฐานะตัวเล่นอีกตัวหนึ่ง ความคาดหวังของเรามีต่อตัวเอง คนอื่นๆ และสังคม ขณะเดียวกันความคาดหวังอื่นๆก็มีกลับมายังเรา และการตอบสนองต่อสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องซับซ้อน เราอาจจะคิดว่ารู้จักหน้าที่ของตัวเองดี จนกว่าจะต้องเผชิญบททดสอบที่มาถึง ขณะเดียวกันเราก็มีภาพหรือความคาดหวังกับคนอื่นๆและหน้าที่อื่นๆด้วย การที่เราจะตัดสินใจทำหรือไม่ทำอะไรเพื่อใครหรือวัตถุประสงค์อะไรในสถานการณ์บางอย่างจึงอาจเป็นเรื่องไม่ง่ายดายเท่าที่นึก และบางครั้งการทำให้ได้อย่างที่ตัดสินใจนั้นก็อาจไม่ใช่เรื่องง่าย (ตัวอย่างเช่นเรื่องราวของ ทนายและสายลับ ใน BRIDGE OF SPIES ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ชวนให้นึกถึงบทบาท หน้าที่ หรือจรรยาบรรณ ของทนายได้ โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหลายคนหลายฝ่าย)

ทีม SPOTLIGHT ได้รับแรงกระตุ้นที่ดี ในเวลาที่มาถึง และการประเมินสถานการณ์ รวมถึงความมุ่งมั่นของแต่ละคน นำไปสู่เรื่องราวเบื้องหลังมากขึ้น และดูจะใหญ่โตขึ้น พวกเขามีหลายอย่างที่พร้อมอยู่ในมือ แม้จะดูไม่อาจเชื่อมโยงได้ง่ายในทีแรก แต่ความจริงหลายอย่างในมือของเขาก็พร้อมที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ และการที่หลายคนจะมองข้ามมันไปหรือจะบอกว่าทำไมจึงไม่พยายามให้มากกว่านี้ในตอนนั้น อาจไม่ใช่เรื่องที่ต้องโทษกัน ในเวลาที่ควรต้องช่วยกันแม้ว่าแต่ละคนอาจไม่สมบูรณ์แบบ และแม้แต่ละคนอาจไม่สมบูรณ์แบบ อาจมีทั้งการกระทบกระทั่ง ความไม่ไว้ใจกัน กระทั่งบางคนอาจไม่ได้มองเรื่องนี้อย่างที่เคยมองผ่านมันมา แรงกระตุ้นที่จะไม่อยู่ท่ามกลางบางสิ่งที่บิดเบี้ยวในสังคม ที่ตนเองก็ยังต้องอาศัยอยู่ ในท้ายที่สุดทีมก็นำมันไปสู่การเปิดเผยเรื่องราวที่ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างหนักหน่วงเรื่องหนึ่ง และมันดูจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแต่ละคนที่มีบทบาทหน้าที่หนึ่งและเป็นส่วนหนึ่งที่ยังต้อง'อาศัย'ในสังคม เป็นทั้งที่พักพิงและพึ่งพิง

ทีมนักแสดงแต่ละคนใน SPOTLIGHT ไม่ได้มีใครที่ดูเด่นกว่าใครเป็นพิเศษ แต่ทุกคนทำหน้าที่ได้ดีและมีช่วงเวลาสำคัญของตนเอง อาจมีเพียง มาร์ค รัฟฟาโล และ ราเชล แม็คอดัมส์ ที่ได้เข้าชิงออสการ์ในสาขานักแสดงสมทบชาย และหญิง ยอดเยี่ยมตามลำดับ ซึ่งอาจเพราะทั้งสองคนมีฉากแสดงอารมณ์ในบางฉากและมีเรื่องราวชีวิตฉากหลังชัดเจนกว่าบทอื่นๆอยู่บ้างก็เป็นได้ แต่นักแสดงอื่นๆ ทั้งในทีม SPOTLIGHT (แม้ ไมเคิล คีตัน ไม่ได้เข้าชิงในปีนี้หลังจากที่ BIRDMAN ปีก่อนส่งให้ แต่ก็ทำได้ดีและรู้สึกถึงความกระติอรือร้นในการแสดงจากแกอยู่ แม้จะเสียดายนิดหน่อย แต่ก็โอเค) และทีมข่าวของ BOSTON GLOBE รวมถึงบทบาทอื่นๆ ล้วนทำหน้าที่ของตนได้ดี (และก็ดีใจที่  ราเชล แม็คอดัมส์ ได้เข้าชิงอยู่ดี) นอกจากนั้นแม้เรื่องราวในหนังจะไม่ได้ผลิกผันราวกับนิยายนักสืบรหัสคดี แต่การเล่าเรื่องราวของมันก็มีจังหวะที่ดี รวมถึงนำเสนอรายละเอียดมากมาย แต่ก็ด้วยช่วงเวลาที่เหมาะสม จึงอาจเหมาะแล้วก็ได้ที่หนังเลือกนำเสนอตัวเองแบบเรียบง่ายและไม่ซับซ้อนอะไรในด้านโครงสร้างในการเล่าเรื่อง

SPOTLIGHT เป็นหนังที่นำเสนอไม่ซับซ้อน แต่มันพูดถึงสิ่งที่ใหญ่โตและซับซ้อนทั้งเรื่องของศรัทธา และสังคม รวมไปถึงบทบาทหน้าที่ของ แต่ละอาชีพ และในฐานะของปุถุชน ในสังคม ด้วยมีแกนกลางที่ทีม SPOTLIGHT หนังจึงโฟกัสไปที่เรื่องของนักข่าวและทีมข่าวมากกว่ามุมอื่นๆ สำหรับผู้ชมก็เป็นแกนที่ทำให้ติดตามเรื่องราวซึ่งมีรายละเอียดค่อนข้างมากได้ดี และนักแสดงทุกคนทั้งในทีม SPOTLIGHT และอื่นๆ ยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ซึ่งได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นหนังที่แม้โครงสร้างและท่าทีที่เรียบง่าย แต่มีเรื่องราวและการแสดงที่เข้มข้นทีเดียว 8.8 คะแนน


นึกถึง
แม้เรื่องราวจะพาดพิงไปถึงเรื่องของศรัทธาและองค์กรศาสนา แต่ในที่นี้นึกถึงเรื่องราวของนักข่าวหรือทีมข่าวมากกว่าเรื่องอื่นๆก็แล้วกันนะครับ

ถ้าเป็นหนังเกี่ยวกับข่าวสืบสวนที่ได้ยินหลายคนพูดถึงกันมาก ก็คือ ALL THE PRESIDENT'S MEN ซึ่งเป็นหนัง(ซึ่งสร้างจากหนังสือในชื่อเรื่องเดียวกันอีกที)สร้างจากเรื่องจริงอีกเรื่องหนึ่ง  เป็นเรื่องของการสืบสวนเรื่องราวเบื้องหลังคดีฉาวโฉ่ในอีกวงการหนึ่ง ในคดี วอเตอร์เกท ของ THE WASHINGTON POST แต่เรื่องนี้จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ดูเลยครับ แต่คิดว่าน่าจะหาดูได้ไม่ยากนัก เพราะเป็นหนังคุณภาพเรื่องที่ดูจะถูกพูดถึงอยู่เรื่อยๆ จะได้เห็น โรเบิร์ต  เรดฟอร์ด กับ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน ในสมัยหนุ่มด้วย เรื่องนี้เป็นหนึ่งใน 10 หนังบันดาลใจ ของหนุ่ม จอห์น วิญญู แห่ง เจาะข่าวตื้น ด้วยนะ




เมื่อพูดถึงเรื่องของการทำข่าว และการเป็นข่าว โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ที่เทคโนโลยีเอื้อให้เราสามารถทำอะไรๆได้ด้วยตัวเองมากขึ้น ทั้งการทำข่าว การติดตามข่าว และการเป็นข่าว ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึง NIGHTCLAWLER หนังนักข่าวสมัครเล่นสุดสะพรึง นำแสดงโดย เจค จิลเลนฮาน ที่แม้จะไม่ได้สร้างจากเรื่องจริง แต่ก็นำเสนอเรื่องราวที่ตบหน้าและกบาลคนในยุคเทคโนโลยี (ทั้งคนนำเสนอและคนดู) และการพึ่งพิงช่วงชิงเรตติ้งได้น่าสะพรึงมาก (ดูโปสเตอร์เอาก็ได้ แต่แค่เห็นโปสเตอร์กับชื่อเรื่อง ทีแรกนึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเรื่องการทำข่าว และนึกไม่ถึงว่ามันจะน่าสะพรึงขนาดนี้) การแสดงของ เจค จิลเลนฮาน ก็ยอดเยียมและน่าสะพรึง จนอดคิดไม่ได้ว่าออสการ์ปีที่แล้วทำไมให้ความสนใจหนังเรื่องนี้น้อยจัง
หนังได้มาเข้าโรงฉายในบ้านเราด้วย ประมาณว่าเป็นรอบพิเศษ รู้สึกจะแค่ 2 รอบ ที่โรงภาพยนต์สกาล่า ซึ่งรู้สึกคนจะเต็มทั้งสองรอบเลยมัง

และหนังเกี่ยวกับการทำข่าว และมีนักข่าวเป็นตัวละครสำคัญหนึ่ง ดันนึกไปถึง ZODIAC ซึ่งสร้างจากเรื่องจริงเกี่ยวกับเรื่องราวของฆาตกรต่อเนื่องที่ใช้ชื่อว่า ZODIAC (ประมาณ ฆาตกรจักรราศี) หนังกำกับโดย เดวิด ฟินเชอร์ (SE7EN, THE GIRL WITH THE DRAGON TATTOO, GONE GIRL, ฯลฯ) และมี โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ (แห่ง IRON MAN และ SHERLOCK HOLMES) และเจค จิลเลนฮาน กับ มาร์ฺค รัฟฟาโล แสดงในเรื่องนี้ด้วย ในตอนฉายในอเมริกาเรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ แต่เป็นหนังเรื่องที่ชอบมากเป็นอันดับต้นๆของ เดวิด ฟินเชอร์



และอีกเรื่องในแง่ของการทำข่าว โดยเฉพาะในปัจจุบัน เรื่องหนึ่งที่น่าจะไม่พูดถึงไม่ได้ คือ CITIZENFOUR สารคดีที่พูดถึงเรื่องของ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ซึ่งเปิดเผยการส่อดส่องอินเทอร์เน็ตของหน่วยงาน NSA ของสหรัฐอเมริกา แม้ในสารคดีอาจเน้นไปที่ตัว เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน แต่การปล่อยข่าวสารผ่านช่องทางสื่อก็ทำให้เราได้สัมผัสถึง บรรยากาศ กระบวนการตัดสินใจ ปฏิกริยา และการดำเนินงาน ของสื่อ โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบกระเทือนในวงกว้าง (รวมถึงจะว่าไป ผู้กำกับสารคดีเอง และตัวสารคดี ก็จัดเป็นช่องทางสื่อแบบหนึ่ง) รวมไปถึงมุมมองของ สโนว์เดน ที่มีต่อสื่อ ซึ่งเลือกที่จะให้ข่าวสารผ่านสื่อเหล่านี้ด้วย (CITIZENFOUR เคยเข้ามาฉายในบ้านเราด้วย โดย DOCUMENTARY CLUB และเป็น 1 ใน 4 เรื่องใน DVD COLLECTION 01 แต่ซื้อแบบแยกแผ่นก็ได้ เคยเห็นที่ LIDO DVD) อ่านเรื่องราวของ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ได้ ที่นี่


และสำหรับเรื่องของอะไรที่ ถูกเก็บกดไว้ไม่ให้ออกสู่การรับรู้ของสาธารณชน ว่าทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น? อาจลองดูโปรแกรมที่มีคิวจะเข้าฉายของ DOCUMENTARY CLUB ก็ได้ กับสารคดีเรื่อง THE HUNTING GROUND เรื่องของนักศึกษาหญิงในสหรัฐอเมริกาที่เคยถูกข่มขืนในมหาวิทยาลัย แต่ 88% ของพวกเธอ ตัดสินใจไม่รายงานให้ผู้บริหารสถาบันรับรู้

ความเห็นหนึ่งกล่าวว่า "สิ่งที่มหาวิทยาลัยปกป้องเป็นสิ่งแรก ไม่ใช่นักศึกษาหรอก พวกเขาปกป้องแบรนด์ตัวเองต่างหาก" 

ติดตามข่าวสารได้ที่หน้า facebook ของ DOCUMENTARY CLUB


พูดถึง ราเชล แม็คอดัมส์ เธอก็เคยเล่นเป็นคนในทีมข่าวมาแล้ว ในหนังเรื่อง STATE OF PLAY ซึ่งไม่ได้สร้างจากเรื่องจริง แต่ก็เป็นหนังในเชิงสืบสวนสอบสวนรหัสคดีที่ดูสนุกดี และมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับวงการเฉพาะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความกดดันของทีมข่าวได้เหมือนกัน แต่ที่อยากพูดถึงในที่นี้เป็นหนังอีกเรื่องของเธอ ซึ่งแม้ไม่ได้เป็นนักข่าว แต่ก็อยู่ในวงการเหมือนกัน กับบทบาทใน MORNING GLORY ซึ่งได้ดูมาไม่นานนี้เอง แม้เรื่องนี้จะไม่ได้ถูกมองเป็นหนังคุณภาพ และอารมณ์ก็ตัดกับรายชื่อหนังด้านบนทั้งหมดเพราะเป็นหนังสาย COMEDY เต็มตัวมากกว่า แต่ตอนที่ดูในตอนอารมณ์ขุ่นๆนี่พบว่า เราชอบมาก สนุกมาก แม้หลายๆอย่างอาจดูติดเว่อไม่สมจริง และ ราเชล แม็คอดัมส์ อาจดูเป็นซูเปอร์วูเมนไป(ไม่)หน่อย แต่พลังความกระฉับกระเฉงกระตือรือร้นของเธอและตัวราเชลเองก็เป็นหัวใจของหนังจริงๆ ยอมตามความกระฉับกระเฉงไปจนจบ แถมเราก็ชอบทั้ง แฮริสัน ฟอร์ด และ ไดแอน คีตัน ที่ก็กวนๆและน่ารักดีในหนังเรื่องนี้ด้วย ถือเป็นโบนัสฮะ (ส่วนแพททริก วิลสัน ไม่อะไรมากฮะ (อ่าว)) ถือว่าเอาไว้เผื่อดูตัดอารมณ์กับลิสต์หนังข้างบนละกัน

แล้วทำไมพูดถึงเป็นพิเศษอยู่คนเดียว? ลำเอียงรึเปล่า? เออ ช่างเถอะ ก็จะเอาแบบนี้หนิ... จบ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น