วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] BRIDGE OF SPIES บริดจ์ ออฟ สปายส์ จารชนเจรจาทมิฬ : ทนายและสายลับบนสะพาน


ในขณะที่ไม่ค่อยจะคิดว่าเป็นแฟนผู้กำกับคนไหน เช่น เป็นแฟนตัวประหลาดในหนังของ ผู้กำกับ กิลเลอโม่ เดลโตโร่ แต่ยังไม่ปวารณาตัวเป็นแฟนหนังแกซะทีเดียว ก็พอจะบอกได้เต็มปากว่าเป็นแฟนหนังผู้กำกับ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ซึ่งจะว่าไปทีแรกก็ตามๆเขาไปที่ว่าแกเป็นพ่อมดฮอลลีวู้ด ถล่มบอกซ์ออฟฟิศ อะไรต่ออะไร (แต่ดูตัวเลขหนังถล่มบอกซ์ฯเดี๋ยวนี้ซิ...) แต่ตอนได้ดูหนังอย่าง JURASSIC PARK นี่คือรู้สึกว่ามันใช่จริงๆ คือมันบันเทิง มันมีไดโนเสาร์ มันมีความสนุก น่ากลัว ตื่นเต้น มีคาแรคเตอร์ที่เราพร้อมจะติดตาม พร้อมจะรัก (ก็บิวด์แล้วผมหลง ว่างั้น) นอกนั้นหนังอื่นๆของแกก็ชอบ เรื่องแรกๆอย่าง SUGARLAND EXPRESS ก็ชอบ หรือ 1941 ที่ดูจะคว่ำก็ยังชอบ เรื่องหลังๆอย่าง CATCH ME IF YOU CAN รึ MINORITY REPORT ก็ชอบ แต่ก็ไม่ได้ตะบี้ตะบันชอบนะ ที่ไม่ค่อยชอบก็มี เช่น HOOK นี่ออกจะเฉยๆ พอดูได้เพลินๆมากกว่า รึอย่าง THE LOST WORLD นี่ก็ดูไม่หนุกเท่าไหร่ (คิดว่าภาค 3 สนุกกว่าซะอีก) แต่ก็ติดตามดูหนังแกมาตลอด

สำหรับตัวเอง มีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าหนังของลุงสปีลเบิร์กมี 2 ภาค คือภาคก่อนได้ออสการ์ กับภาคหลังได้ออสการ์ จริงๆพอย้อนๆไปดูข้อมูลอะไรต่ออะไร ก็ไม่ปฏิเสธว่าหนังหลายๆเรื่องมีดีกรีพอจะได้ออสการ์มาประดับทั้งยุคก่อนได้ออสการ์ และหลังได้ออสการ์ แต่ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่รู้สึกแฝงมาตลอดหลังจากแกได้ออสการ์ก็คือว่า หนังยุคก่อนออสการ์หลายเรื่องนั้นมัน สนุกมว๊าก แต่หลังจากได้ออสการ์ รู้สึกว่าหนังแกจะลดดีกรีความสนุกตื่นเต้นลง (แม้จะยังบิ๊วด์อยู่ แต่ก็ไปบิ๊วด์ด้านอื่นๆแทน) เหมือนมันมีความเกร็งอะไรบางอย่าง หรือมีขอบเขตอะไรบางอย่าง ที่ทำให้มันไม่ได้สนุกสุดขอบเหมือนหนังหลายเรื่องของแกยุคก่อนได้ออสการ์ (อย่าง THE LOST WORLD นี่ก็ยุคหลังออสการ์นี่หว่า) โดยเฉพาะหนังที่เกี่ยวกับเรื่องจริงหรือประวัติศาสตร์จะมีความรู้สึกว่ามันติดจะโอลด์แฟชั่นซักหน่อย ซึ่งอาจไม่เกียวกับได้รึไม่ได้ออสการ์ก็ได้ แกอาจจะมีมุมมองความคิดบางอย่างเปลี่ยนไปก็ได้ เลยทำให้บรรยากาศในหนังมันเปลี่ยนไป ซึ่งจะว่าไปเรื่องของมุมมองบางอย่างในการทำหนัง แกก็เคยพูดในตอนที่พูดถึงตอนที่ตัดสินใจทำ SCHINDLER'S LIST ซึ่งเป็นหนังที่ทำให้แกได้ออสการ์ผู้กำกับตัวแรก (รวมไปถึงออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย - ในอีกด้านหนึง สตีเว่น สปีลเบิร์ก มีเชื้อสายยิว เลยมีความรู้สึกร่วมบางอย่างกับเรื่องราวนี้เป็นพิเศษ และในช่วงนั้นหนังเรื่องนี้ก็ถูกพูดถึงในแง่ว่าเป็นหนังที่มีความเป็น 'ผู้ใหญ่' มากที่สุดของสปีลเบิร์ก) ด้วย แต่ยังไงก็ตามก็ยังติดตามดูหนังแกมาเรื่อยๆจนปัจจุบัน และก็ยังคงมีหนังที่ชอบ เราจึงยังขอเป็นแฟนแกต่อไปก่อน จะฮิตไม่ฮิตก็ขอตีตั๋วไปดูในโรงไว้ก่อน ชอบมากชอบน้อยไว้ว่ากันอีกที

และ BRIDGE OF SPIES ก็เป็นเรื่องล่าสุดของแกที่ก็ยังตีตั๋วไปดูในโรง มันเป็นหนังที่ประณีต พิถีพิถัน มีโปรดักชั่นที่ดี มีทีมงานดี มีนักแสดงที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี มาพร้อมกับเรื่องราวที่มีแง่มุมกินใจ และมาพร้อมเนื้อเรื่องที่ถือว่าเป็นเรื่องที่ชี้ชวนให้ตั้งคำถามบางอย่างได้อยู่เหมือนกัน

หนังเล่าเรื่องราวในช่วงเวลาของสงครามเย็น หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่แต่ละฝ่ายในสองมหาอำนาจในเวลานั้นอย่างสหภาพโซเวียต (ปัจจุบันแตกออกเป็นรัสเซีย และประเทศอื่นๆ) และสหรัฐอเมริกา มีการกดดันกันด้วยการสร้างอำนาจทางทหารและเทคโนโลยี สร้างข่าว ซึ่งทำให้สถานภาพของสองฝั่งฟากแม้ไม่มีการสงครามรุนแรงออกมา แต่ก็เต็มไปด้วยความหวาดระแวง การสร้างสถานการณ์ การสร้างและคาดเดาความลับของอีกฝ่าย ทำให้การรุกรานเปลี่ยนจากการส่งกำลังทหารหรือยุทโธปกรณ์เข้าคุกคามโดยตรง มาเป็นการส่งสายลับเข้าไปแอบแฝงเพื่อสืบทราบความลับของอีกฝ่าย จึงมีทั้งสายลับและหน่วยล่าสายลับจำนวนมากในแต่ละประเทศ สายลับบางคนไม่เคยถูกจับได้ว่าเป็นสายลับ บ้างถูกเข้าใจผิด และสายลับที่ถูกจับได้ก็มีมาก ในช่วงเวลาแห่งความคุกรุ่นและหวาดระแวง แต่ละประเทศแต่ละกรณีมีการจัดการกับสายลับแต่ละกรณีต่างกันไป เรื่องราวนี้เกี่ยวกับส่วนหนึ่งในนั้น... หนึ่งคนเป็นสายลับ อีกหนึ่งเป็นทนาย ที่อำนาจส่วนหนึ่งในการชี้เป็นชี้ตายชะตาชีวิตของอีกคนหนึ่งตกอยู่กับเขา และอาจไม่ใช่ชะตาชีวิตของคนๆเดียว...


สิ่งที่ถือว่าพิเศษอย่างหนึ่งในเรื่องนี้เป็นเรื่องของการแสดง นักแสดงนำอย่าง ทอม แฮงค์ ถือว่าดี ทอม แฮงค์ เล่นเป็นทนาย โดโนแวน ได้อย่างเหมาะสม มีความสุขุม จริงจัง มีความอบอุ่น ขณะที่เมื่อต้องเผชิญความกดดันหรือการตัดสินใจที่หนักหน่วง ก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงการข่มอารมณ์ ความเข้มแข็ง ขณะเดียวกันก็แฝงอารมณ์ขัน ซึ่งบางครั้งก็ติดออกจะเสียดสีบ้างไว้เล็กๆ ซึ่งส่วนนี้ไม่แน่ใจว่าเพราะพี่น้องโคเอน (FARGO, NO COUNTRY FOR OLD MEN, A SERIOUS MAN, ฯลฯ) มีส่วนร่วมเขียนบทหนังหรือเปล่า? ยังไงก็ตามหนังก็เป็นอารมณ์หนังสปีลเบิร์กมากกว่าอารมณ์หนังพี่น้องโคเอนมาก และส่วนนี้จะว่าไปก็ช่วยเพิ่มมิติให้คาแรกเตอร์ของโดโนแวนได้ ในขณะที่บทเล็กๆอื่นๆจริงๆนักแสดงหลายคนก็ถือว่าทำได้ดีในบทบาทที่ได้รับมอบหมาย แต่ก็ไม่ได้เป็นบทที่ถูกฉายให้โดดเด่นในหนัง

อีกหนึ่งที่โดดเด่นก็คือ มาร์ค ไลแรนซ์ ซึ่งมีข่าวว่า สปีลเบิร์ก อยากร่วมงานกับแกมานาน จนได้โอกาสร่วมงานกันในเรื่องนี้ และก็ดูเหมือนจะไม่ผิดหวัง ในที่นี้มาร์ค ไรแลนซ์ ให้การแสดงที่ดูสงบสุขุม ซึ่งไปกันได้ดีกับความเป็นสายลับ อเบล ขณะเดียวกันทั้งจังหวะจะโคนในการแสดงหรือการแสดงกริยาอาการการพูดก็สามารถแสดงถึงคาแรคเตอร์ของตัวละครได้อย่างดีผ่านการแสดงที่ดูเรียบง่ายทว่าหนักแน่น ไรแลนซ์จึงทำให้ผู้ชมทั้งรู้สึกถึงบทบาทหน้าที่ที่เขาได้รับ ความเป็นมืออาชีพ ทัศนคติที่มีต่อหน้าที่นั้น และความรู้สึกเบื้องหลังที่อาจเก็บซ่อนไว้ผ่านการแสดงออกแบบ'นักรบ'ที่รู้ถึงหน้าที่ของตัวเอง ทั้งที่เวลาในการปรากฎตัวบนจอของเขาก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่บทของเขาก็เป็นสิ่งที่สร้างทั้งเส้นเรื่องและบรรยากาศครอบคลุมตัวหนังไว้ควบคู่กับบททนายของ ทอม แฮงค์ ได้เป็นอย่างดี เห็นได้จากการเข้าชิงและคว้ามาได้หลายรางวัลการแสดงในบทสมทบชายในปีที่ผ่านมา รวมไปถึงการเข้าชิงรางวัลออสการ์ด้วย

ในขณะที่ ทอม แฮงค์ ถือว่าเล่นบทนำได้ไม่เสียยี่ห้อ และสร้างคาแรคเตอร์เฉพาะของโดโนแวนได้ไม่เลวเลย ยังเล่นได้อย่างสุขุม ควบคุมการแสดงผ่านการกดข่มอารมณ์ได้ดีมาก แต่อาจเพราะความรู้สึกหรือสไตล์ของบทไม่ได้ฉีกออกไปมากจากหลายบทที่ ทอม แฮงค์ เคยเล่นมากจนเซอไพรส์ผู้ชมได้เท่า ในเวทีรางวัลการแสดงของ มาร์ค ไลแรนซ์ ที่ดูสงบนิ่งขณะเดียวกันก็คาดเดาได้ยาก จึงดูจะมีความโดดเด่นในบทสมทบชายมากกว่า ในที่นี้ก็ต้องถือว่าสปีลเบิร์กมองไม่พลาด

ความจริงบทบาทของโดโนแวนในช่วงท้ายก็ถือว่าโดดเด่นมาก ในการต่อรองครั้งสำคัญ ในที่นี้ถ้าต้องพาดพิงถึงผลลัพธ์จากการต่อรองไว้ แม้มองในแง่มนุษยธรรม คงต้องถือว่าการตัดสินใจของโดโนแวน ผ่านการคิดใคร่ครวญ การตัดสินใจที่เฉียบขาดหนักแน่น ซึ่งอยู่ฝ่ายสหรัฐอเมริกาถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว อย่างไรก็ตามถ้าต้องมองจากมุมของผู้เล่นอื่นๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องราวซึ่งเกี่ยวข้องกับระเบียบปฏิบัติ การแสดงอำนาจ การคานอำนาจระหว่างกัน หรือผลประโยชน์แล้ว ก็อาจถกกันได้เหมือนกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความชาญฉลาดที่ผ่านการคิดอย่างสุขุม หรือเป็นทริกเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกันแน่ได้เหมือนกัน แต่ในที่นี้การแสดงของ ทอม แฮงค์ ซึ่งไม่เพียงต้องรับความกดดันจากการเผชิญหน้ากับทั้งฝ่ายตรงข้ามและฝ่ายตนเอง ทั้งยังต้องตัดสินใจอย่างเฉียบขาดและกล้าหาญไว้ด้วย รวมไปถึงการพบกันกับตัวละครของ มาร์ค ไลแรนซ์ ก็เติมความหนักแน่นในการตัดสินใจครั้งนี้ รวมไปถึงสายสัมพันธ์บางอย่างที่มีระหว่างกัน และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้ไม่ใช่น้อย นั่นจึงยิ่งทำให้การพบกันในช่วงท้ายของสายลับกับทนายเต็มไปด้วยความรู้สึก

ถ้าอยู่ในปีที่นำชายออสการ์ขับเคียวกันถึงพริกถึงขิงน้อยกว่านี้ซักหน่อย บทบาททนายโดโนแวนก็น่าจะพา ทอม แฮงค์ มีชื่อเข้าชิงออสการ์นำชายอีกซักครั้งได้ไม่ยาก แม้คาแรกเตอร์อาจจะดูไม่โดดเด่นหรือแปลกตาเท่าบทบาทของ มาร์ค ไลแรนซ์ ก็ตาม สำหรับแฟน ทอม แฮงค์ เรื่องนี้เขาก็ไม่ได้ให้การแสดงที่น่าผิดหวังนะฮะ

เรื่องราวของหนังดำเนินไปโดยไม่มีโครงสร้างซับซ้อน เรียบง่าย สุขุม และแสดงถึงรายละเอียดในช่วงของสงครามเย็นออกมาให้เราเห็นประมาณหนึ่ง เช่น ตอนที่โดโนแวนข้ามผ่านพรมแดนระหว่างเยอรมันตะวันตกกับตะวันออก หรือการพยายามคานอำนาจภายใต้ผู้นำของแต่ละกลุ่มประเทศ การแสดงจึงเป็นส่วนสำคัญหนึ่งที่จะพาผู้ชมให้สัมผัสกับบรรยากาศ และการดำเนินเรื่องภายใต้ความแตกต่างและการต่อรองภายใต้ผลประโยชน์ เหตุผล และอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ของแต่ละฝ่าย แม้หนังจะมีพิ้นฐานจากเรื่องจริง ทนายโดโนแวน และอเบล เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริง แต่เนื่องจากไม่ได้ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม จึงบอกไม่ได้ว่าหนังที่เห็นมีความแตกต่างจากเหตุการณ์จริงแค่ไหน?

ผ่านการแสดง โดยเฉพาะบทเด่นที่หนักแน่น การกำกับ โปรดักชั่น และการเล่าเรื่องราวที่ประณีต BRIDGE OF SPIES จีงไม่ใช่หนังที่น่าผิดหวัง และแม้จะไม่ใช่หนังที่เน้นแอ็คชั่น แต่การเล่าเรื่องที่เข้มข้นผ่านการต่อรองและคุกคามเงียบๆผ่านบรรยากาศของสงครามเย็นจะว่าไปก็ดูเสริมส่งกันได้ดี ยังคงเห็นการสร้างอารมณ์ในแบบสปีลเบิร์กอยู่ แต่ในที่นี้ก็ถือว่าสปีลเบิร์กควบคุมมันให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะ อาจมีบ้างที่ติดจะเกือบๆล้ำออกไป แต่ก็ไม่มากอย่างหนังบางเรื่อง และในทีแรกเมื่อรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับทนาย ก็คิดไปถึงฉากขึ้นโรงขึ้นศาลอย่างใน AMISTAD หรือ LINCOLN คิดว่าบรรยากาศในหนังจะพาไปที่อะไรคล้ายๆแบบนั้น แต่กลับไม่ใช่ (ซึ่งก็คิดว่าดีแล้ว) และแม้ไม่ใช่ทางที่เดาไว้ แต่ก็ทำออกมาได้ดีทีเดียว

ยังไงก็ตามสำหรับผมก็คิดว่าหนังยังคงสไตล์ของสปีลเบิร์กยุคหลังออสการ์ไว้ และเป็นผมเองแหละที่ยังคงหวังว่าจะได้ดูหนังสนุกๆจากสปีลเบิร์กอยู่เสมอ ขณะเดียวกันก็คิดว่าอยากเห็นหนังแนวอื่นๆจากสปีลเบิร์กอยู่เรื่อยๆ (จะเป็นสไตล์หลังออสการ์ก็ช่าง) ทีแรกจึงค่อนข้างตื่นเต้นเมื่อได้ข่าวว่าสปีลเบิร์กจะกำกับ ROBOPOCALYPSE แต่สุดท้ายโปรเจ็คท์ก็ดูเหมือนจะต้องหยุดไป และก็ได้ข่าว BRIDGE OF SPIES มาแทน (ความจริงทีแรกรู้แค่ชื่อ ดันคิดไปถึงภาพสายลับห้าคนเดินสวนกันบนสะพาน แล้วคิดว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ แบบนั้นไปโน่น - ซึ่ง...ว่าไปแบบนั้นก็ดูน่าสนุกดีนะ นี่มันสายบันเทิงนี่ฝ่า?!) ซึ่งแม้ไม่ใช่หนังที่หวังอยากดูแต่แรก แต่ผลงานประณีตชิ้นนี้ของสปีลเบิร์กก็ไม่ใช่หนังที่น่าผิดหวังสำหรับผม แม้ไม่ถึงขั้นพีค แต่ก็หนักแน่นสุขุม พร้อมด้วยการแสดงชั้นดี 8.2 คะแนน อาจดูจะให้คะแนนน้อยไปบ้าง แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะยังอยากดู ROBOPOCALYPSE ซะงั้น... (ตกลงงอนเรอะ!? ไปออกตังค์ให้เขาไหมล่ะหือ??!)


นึกถึง

จริงๆคิดว่าหนังเกี่ยวกับสงครามเย็นก็น่าจะมีเยอะ ทั้งที่พูดถึงแบบเล็กๆน้อยๆประกอบเรื่อง หรือพูดถึงเป็นเรื่องหลัก แต่พอจะนึกจริงๆ จู่ๆดันนึกไม่ค่อยออกซะงั้น จริงๆที่ใกล้ที่สุด THE MAN FROM U.N.C.L.E. จากผู้กำกับ กาย ริทชี่ (จาก SHERLOCK HOLMES ฉบับ โรเบิร์ต ตาวนี่ย์ จูเนียร์ กะ จู๊ด ลอว์) นี่ก็ใช่ ซึ่งถือเป็นหนังแอ็คชั่นดูสนุกที่ถูกมองข้ามไปแบบงงๆเหมือนกัน ทั้งที่คิดว่าเรื่องนี้ดูสนุกลงตัวดีกว่า SHERLOCK HOLMES อีกนะ  แต่พอพูดไปถึงช่วงเวลานั้น ซึ่งโลกแยกออกเป็น 2ขั้วใหญ่ ระหว่างค่ายเสรีประชาธิปไตย กับ คอมมิวนิสต์ ซึ่งแยกเยอรมันออกเป็น 2 ฟากฝั่งด้วย สำหรับสภาพในฝั่งของค่ายคอมมิวนิสต์ กระทั่งในสหภาพโซเวียตเอง อยากแนะนำนิยายเรื่อง CHILD 44 เป็นนิยายแนวรหัสคดี เกี่ยวกับคดีเด็กสาบสูญที่ดูไม่มีใครสนใจ และตัวเอกซึ่งมีตำแหน่งที่ดีในพรรค ก็มีเหตุให้ต้องระวังอันตรายอื่นๆจากภายใน ที่บีบล้อมเข้ามาหลังจากเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ เรื่องนี้สร้างเป็นหนังด้วย นำแสดงโดยพระเอก MAD MAX อย่าง ทอม ฮาร์ดี้ ซึ่งแคสติ้งก็พอใช้ได้ แต่แนะนำว่าอ่านหนังสือดีกว่า เพราะสนุก(และระทึก)กว่ากันมาก(มาก) ในไทยจัดแปลและพิมพ์โดย สนพ.ฟรีฟอร์ม เล่มหนา จนทีแรกจะหยิบมาอ่านก็ยังกลัว แต่น่าติดตามมาก อ่านไม่นานจบ - แต่อดนอนนิดหน่อย... (ใครดูหนังมาแล้ว ก็ยังอยากแนะนำให้ลองหานิยายมาอ่านดู ยืนยันว่านิยายดีกว่ามาก)

ส่วนถ้าจะเอาแบบเบาๆกว่านั้น การ์ตูนมังงะ ROCKET MAN โดย โมโตฮิโร่ คาโต้ ผลงานก่อน Q.E.D. และ C.M.B. ก็พูดพาดพิงเรื่องนี้ไว้เหมือนกัน แม้จะไม่ได้ดูเป็นหน้าฉากตรงๆ แต่ก็ยังพอจะได้บรรยากาศและเรื่องราวของยุคสงครามเย็น สายลับ และบรรยากาศระหว่างสองขั้ว ได้ มี 10 เล่มจบ จัดแปลและพิมพ์ครบนานแล้วเหมือนกันโดย สนพ.วิบูลย์กิจ (ส่วนแฟนๆ Q.E.D. และ C.M.B. ก็อ่านได้ครับ เพราะยังเป็นเรื่องราวที่มีกลิ่นของสืบสวนสอบสวน การแก้ปัญหา ในสไตล์ของ โมโตฮิโร่ คาโต้ อยู่ แต่สโคปเรื่องนี้จะกว้างกว่า (มีเรื่องจรวดตามชื่อด้วย) มีบรรยากาศผจญภัยเข้ามาด้วย อ่านสนุกดีครับ)



พูดถึงหนังสปีลเบิร์กเอง ในยุคหลังออสการ์ มีหนังเรื่องหนึ่งที่ผมเองทั้งๆที่คิดว่ามันโอลด์สกูลอยู่มาก แต่ดันติดใจว่าความโอลด์สกูลของมันไปกันกับเรื่องราวได้และยิ่งตอกย้ำความรู้สึกหดหู่ในหนัง เรื่องนั้นคือ MUNICH ซึ่งก็ได้ชิงออสการ์ด้วย จริงๆผมคิดว่า MUNICH นี่ไม่สนุกเลย เป็นหนังที่หดหู่และกดดัน ทั้งยังดูเนิบมากเรื่องหนึ่งของสปีลเบิร์กด้วยซ้ำ แต่เรื่องของ MUNICH ที่พูดถึงการที่นักกีฬาของอิสราเอลถูกสังหารโหดในกีฬาโอลิมปิก ที่เมืองมิวนิค ในปี ค.ศ.1972 และรัฐบาลอิสราเอลมีการตั้งหน่วยงานลับๆเพื่อ ล่าสังหาร ผู้ก่อการ นั้น ทั้งๆที่ดูแล้วไม่ชอบ เพราะคิดว่ามันหดหู่มาก แถมในปฏิบัติการนี้แทนที่จะเป็นไปในแบบการปฏิบัติการหาญกล้า ดูตื่นเต้น อย่าง SAVING PRIVATE RYAN มันกลับเต็มไปด้วยความผิดพลาด และความรู้สึกแบบติดๆจะน่าสมเพช และแทบไม่มีอารมณ์ขัน แต่ก็รู้สึกลึกๆว่าหลายๆครั้งเรื่องแบบนี้ก็น่าจะเต็มไปด้วยบรรยากาศแบบนี้...บางครั้งมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องของความลุ้นระทึก ตื่นเต้น หาญกล้าจนร่วมลุ้นไปด้วย แม้จะไม่ชอบ แต่นี่กลับเป็นหนังเรื่องนึง(โดยเฉพาะในยุคหลังออสการ์)ที่ติดอยู่ในใจมากที่สุดเรื่องนึงของสปีลเบิร์กครับ เรื่องราวแบบนี้ ดูแล้วจริงๆก็อาจจะขยาดและไม่อยากรับรู้มากกว่าก็เป็นได้ ก็อยากให้ลองหามาดูกันดู

กลับกัน เรื่องในยุคหลังออสการ์ของสปีลเบิร์กที่ดูแล้วคิดว่าสนุกที่สุด คือเรื่อง THE TERMINAL เรื่องของชายคนหนึ่ง (แสดงโดย ทอม แฮงค์ เช่นกัน) ที่ต้องอยู่ใน TERMINAL เพราะระหว่างที่เขารอจะเดินทางกลับประเทศ ประเทศของเขาที่เคยรู้จักก็ไม่มีเสียแล้วเพราะเกิดการปฏิวัติยึดอำนาจ และหนังสือเดินทางของเขาก็หมดสภาพ จะกลับประเทศก็ไม่ได้จะกลับออกไปสู่เขตประเทศอเมริกาก็ไม่ได้ เขาจึงต้องติดอยู่ใน TERMINAL  พร้อมกันนั้นเขาก็ได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง... หนังเอาเหตุการณ์จริงที่เกิดกับชายคนหนึ่งมาเป็นแรงบันดาลใจ แต่ที่เหลือไม่เกี่ยว แม้จะพูดถึงเรื่องที่ดูซีเรียส แต่นี่ก็เป็นหนังสายบันเทิง แม้จะไม่ใช่หนังสเปเชี่ยลเอ็ฟเฟ็คท์เฟี้ยวฟ้าวอะไร (แต่งบก็ไม่น้อยนะ เพราะสปีลเบิร์กแกเล่นสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารมาถ่ายหนัง เพราะอาคารที่ถูกใจแกดันไม่มี...) แต่ก็เป็นหนังที่ผมคิดว่าดูสนุกสำหรับตัวเอง ชอบครับ เพราะดูสนุกเป็นสำคัญเลย ถือว่าแปะไว้ดูเผื่อตัดอารมณ์กับเรื่องอื่นๆละกัน

สำหรับหนังเกี่ยวกับสงครามเย็นอื่นๆ ไว้นึกๆไปแล้วจะมาเขียนถึงอีกทีก็แล้วกัน (เมื่อไหร่ก็ไม่รู้...)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น