วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] WHITE GOD สี่ขา ล่าปิดเมือง : ในเมืองซึ่งข้าอาศัย


เป็นเรื่องที่ดูแล้วทำให้นึกถึงหลายอย่างมากครับ การ์ตูน ไอเขี้ยวเงิน, ต้องรอด, บากิ หนังอย่าง 28 DAYS LATER, AMORES PERROS, HALOWEEN ปน RE-ANIMATORS หน่อยๆ (ทำไมฟระ??!!!) ซึ่งมันไม่ใช่ว่าเหมือนหนังทั้งหมดนี้มาปนๆกันนะครับ แต่มีบางอย่างในบรรดาเหล่านี้ที่ดูหนังเรื่อง WHITE GOD ทำให้ดูแล้วนึกไปถึง ถ้าเอาเสี้ยวของอะไรที่ว่าๆมา(แค่เสี้ยวเองเรอะ? ครับแค่เสี้ยวๆครับ)ไปรวมกับตัวอย่างหนังแล้วทำท่าว่าน่าจะสนใจหนังฮังการีเรื่องนี้ ก็ลองไปหาดูกันได้ครับ คิดว่าไม่น่าจะผิดหวังกันนะ 8.1 คะแนน


สาวน้อยชื่อลีลี่ พร้อมสุนัขตัวโปรดฮาเก้น มีความจำเป็นให้ต้องไปพักอาศัยอยู่กับพ่อของเธอชั่วระยะหนึ่ง ในขณะที่ความสัมพันธ์กับลีลี่กับพ่อดูจะมีความขัดเคืองระหว่างกันอยู่ ลีลี่ก็ดูจะมีใจผูกพันกับสุนัขตัวเก่งของเธอมาก แต่ในขณะที่พ่อของเธอไม่ได้รักชอบมันเท่าเธอ และชีวิตก็ไม่ได้สุขสบาย ในฮังการีกลับมีการประกาศกฎในการควบคุมสุนัขให้สุนัข ให้มีการลงทะเบียน และมีภาระภาษีเพิ่ม ฮาเก้นถูกเอาไปปล่อย เป็นเหตุให้เกิดความขัดเคืองใจระหว่างลีลี่กับพ่อ ฮาเก้นต้องเผชิญกับอันตรายมากมายใน'เมือง' ขณะที่คลาดกับลีลี่ซึ่งออกตามหาเพื่อจะได้เจอกับฮาเก้น จนในท้ายที่สุดเมื่อต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่กักกัน มีเหตุให้สุนัขในสถานกักกันเรือนร้อยหลุดออกมาในเมือง จะเป็นอย่างไร? สุดท้ายลีลี่จะยังได้พบกับฮาเก้นหรือไม่?

ความจริงดูพลอตและบรรยากาศคร่าวๆแล้ว พลอตของ WHITE GOD ก็อาจไม่หนีพลอตของหนังเกรด B เท่าไหร่ (แม้ว่าเทียบแบบนี้จะดูไม่ยุติธรรมนัก เพราะหนังเกรด B ที่พูดกันบ่อยๆนี่ ยึดบรรทัดฐานของหนังในฮอลลีวู้ด (หรือก็คือ หนังจากอเมริกา) ซึ่งมีทุนน้อย และบางทีก็เน้นพลอตแปลกๆสุดๆอยู่พอประมาณ(ว่าไปหนังใหญ่ฮอลลีวู้ดหลายเรื่องก็เน้นพลอตสุดเหมือนกันไม่ใช่เรอะ?) และถ้าจะต้องเทียบกันแบบนี้ ทุนสร้างของ WHITE GOD ก็อาจไม่หนีหนังเกรด B ของฮอลลีวู้ดนักก็ได้ ซึ่ง ประเทศที่ลงทุนในหนังหนึ่งเรื่องได้มหาศาลขนาดนั้นเพราะมีตลาดใหญ่มากและขายได้ในตลาดโลกด้วยมันมีอยู่ไม่กี่ประเทศหรอก) เพียงแต่ว่า WHITE GOD นั้นชัดเจนในประเด็นของตัวเองมาก และสิ่งที่ทำให้ WHITE GOD หลุดจากภาพลักษณ์ของหนังเกรด B มาได้เป็นช่วงตัวอยู่ก็เพราะการที่ WHITE GOD รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้แค่ไหน แน่นอนว่านี่ไม่ใช่หนังไดโนเสาร์คืนชีพที่ตั้งคำถามกับความทะเยอทะยานของมนุษย์ทุนหนาหนัก มันจึงคงไม่มีฉากไดโนเสาร์แหกกรงมาแยกเขี้ยวคำรามกลางสายฝนคอดคูลให้เราเห็น สิ่งที่เราเห็นก็เป็นเพียง สุนัข คลั่ง แต่ด้วยความที่รู้ว่าตัวเองมีอะไรแค่ไหน อะไรที่ทำท่าว่าจะยากเยอะ ใหญ่ เกินไป ก็ไม่ต้องไปทำแล้วเอากับแค่ที่มีอยู่ให้ได้ ให้ดี จะด้วยทั้งมุมกล้อง การตัดต่อ การแสดง มันจึงไม่มีฉากไหนใน WHITE GOD ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเอ็งไปไกลละ แต่เอ็งไกลไม่พอทุนไม่ถึงจึงกลายเป็นฉากกิ๊กๆก๊อกๆให้ได้รู้สึก (แน่นอนว่าเราไม่นับหนังที่กลายเป็นคัลท์เพราะตั้งใจมากๆแม้จะรู้ว่าตัวเองกิ๊กก๊อก หรือตั้งใจกิ๊กก๊อกให้มันสุดๆไปเลย จนกลายเป็นจุดเด่นขึ้นมา แบบนี้เป็นต้น) WHITE GOD จึงจับอารมณ์ขึงขังจริงจังของเรื่องราวที่มันต้องการบอกเล่าได้พอตัวเลยทีเดียว อย่างที่ว่าบรรยากาศบางช่วงก็ทำได้ดี นึกไปถึงอะไรนิดๆหน่อยๆจากย่อหน้าแรกที่ว่ามาเลย


อีกด้านหนึ่งสิ่งที่ผมรู้สึกทั้งกับเรื่องราวและตัวละครใน WHITE GOD นั้น จากที่เริ่มดูมาด้วยความที่ยังไม่รู้อะไรไปจนถึงช่วงหนึ่งของหนัง ผมรู้สึกว่าโลกของ WHITE GOD นั้นดูเป็นโลกที่มีอะไรบางอย่างเซอร์เรียลจนเกือบๆจะหลุดไปจากโลกจริงที่เรารู้สึกอยู่หน่อยๆ คือในขณะที่ผมรู้สึกว่าตัวละครมนุษย์แต่ละตัวนั้นไม่น่ารักเอาซะเลยจนดูเกินขีดระดับที่รู้สึกได้ปกติ(โดยเฉพาะตัวละครมนุษย์ผู้ใหญ่) แม้จะถือว่าตัวแสดงตอบโจทย์ทั้งฝ่ายคนและสุนัข และตัวนำอย่างลีลี่และฮาเก้นก็ดูมีเสน่ห์พอที่จะดึงให้เราติดตามเรื่องราวของทั้งสองได้ แต่หลายๆอย่างในบทของฝั่งสุนัขนั้นดูจะมีอะไรที่มีหัวจิตหัวใจชนิดคอนทราสต์กับฝั่งมนุษย์มาก แต่ก็นั่นล่ะครับมันอยู่ในระดับที่เกือบๆเกี่ยวๆไว้ให้หลุดไปทางร้ายมากกับดีมากอย่างละนิดๆหน่อยๆ มันก็เลยอยู่ในระดับที่ไม่ถึงขั้นกระชากความรู้สึกให้รู้สึกชัดๆว่าเว่อ หรืออวยฝ่ายนั้นกดฝ่ายนี้ แม้จะทำให้ติดใจอยู่บ้างในบางความรู้สึกว่านี่มันเกินหรือยัง? แต่ด้วยการคุมโทนจริงจังของหนังได้ค่อนข้างอยู่  แทนที่เราจะรู้สึกว่ามันหลุดจากความจริงไปเป็นโลกใบใหม่ รึแฟนตาซีไปเลยอะไรประมาณนั้น มันจึงทำให้รู้สึกถึงหนังญี่ปุ่นอย่าง CONFESSION อะไรแบบนี้มากกว่า (แม้ว่าความเซอร์เรียลของ CONFESSION นั้นนอกจากจะเหมือนเป็นสไตล์ประจำตัวของผู้กำกับแล้ว ลักษณะของมันก็ไปช่วยเสริมความคลั่งและรุนแรงในการเล่าไปด้วยอีกด้านนึง)

ผมรู้สึกประมาณนี้กับตัวละครเด็กหญิงลีลี่ในเรื่องด้วยเหมือนกัน แต่ด้วยความที่ตัวละครเป็นเด็ก อยู่ในจุดที่เปราะบาง ไร้เดียงสากว่า และต้องเผชิญกับการเติบโตตามวัยมากกว่า จึงยังไม่รู้สึกหลุดมากนัก แต่ก็ไมได้รู้สึกว่าเด็กหญิงคนนี้ แสนดี๊แสนดีอะไรทำนองนี้ แต่เด็กหญิงซึ่งในบทที่เป็นเสมือนตัวละครนำคู่กับสุนัขของเธอก็ถ่ายทอดการแสดงที่ทำให้รู้สึกว่าเธอพันผูกกับสุนัขของเธอมาก สะท้อนความไร้เดียงสา และอ่อนไหวที่ต้องเผชิญ(การสู้รบ)กับโลกของมนุษย์ผู้ใหญ่ ในขณะที่ต้องรับมือกับปัญหาและการเติบโตขึ้น ขณะที่ในโลกของมนุษย์ผู้ใหญ่นั้นก็มีความกดดันหลายอย่างที่ทำให้ต้องสู้รบกันเอง(และส่งผลมาถึงโลกของมนุษย์ที่เด็กกว่า และอื่นๆรอบๆ) ซึ่งหนังก็ทำให้รู้สึกถึงที่มาที่ไปของมันอยู่เหมือนกัน แต่ก็ดูไม่มีเหตุผลมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับโลกของสุนัขในเรื่อง (ซึ่งจริงๆก็ไม่รู้เหตุผลทั้งหมดของสุนัขหรอกมัง?) แม้ว่าเรื่องราวของตัวเอกอย่างลีลี่จะถูกเล่าออกมาอย่างมีรายละเอียด และมีเรื่องราวของการเติบโตก้าวผ่านวัยปนอยู่ประมาณหนึ่ง คือดูเหมือนเหตุผลว่าทำไมสุนัขจึงเป็นแบบนั้นแบบนี้ หรือหัวจิตหัวใจที่สุนัขมี มันดูเป็นเรื่องเป็นราวดูมีเหตุมีผลกว่า (แม้จะไม่ใช่ว่าฝ่ายสุนัขดูสมจริงกว่า แต่คล้ายๆกับว่่าเหตุผลของเหล่าสุนัขมันดูเป็นอะไรที่มีหัวจิตหัวใจกว่าอย่างที่ว่า)

เรื่องสุดท้ายที่คิดว่าน่าสนใจคือเรื่องของ สุนัขเลี้ยง (ซึ่งก็รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงอื่นๆอีกหลายชนิดด้วย) คือจริงๆแล้ว สุนัข ในปัจจุบัน หรือจะ แมว ซึ่งเป็นสัตว์อีกชนิดที่นิยมเลี้ยงนั้นไม่น่าจะเหลือสายพันธุ์ที่คงสภาพความเป็นสัตว์ป่าหรือสัตว์ตามธรรมชาติซักเท่าไหร่ (หมาป่า แมวป่า นั้นเหลือน้อยมาก) แม้ว่าถ้าต้องจู่ๆต้องถูกจับไปอยู่ป่าโดยไม่มีอุปกรณ์อะไรติดตัว มันอาจดูพร้อมกว่ามนุษย์ในการดำรงชีวิตค่อนข้างมาก หมา แมว ที่หนีเข้าป่า หรือที่ดูเป็นสัตว์ที่ไม่ใช่สัตว์(ที่มีคน)เลี้ยงที่สร้างอณานิคมอยู่ตามเมืองนั้น ก็สืบสายมาจากสัตว์(เคย)เลี้ยงของมนุษย์ (จะพันธุ์แท้ พันทาง พันธุ์ผสม อะไรก็ทั้งหมดนั่นล่ะ) ซึ่งผ่านการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์มาเพื่อเลี้ยงทั้งสิ้น สัตว์นั้นต้อง เดินทาง หากิน ขับถ่าย สืบพันธุ์ เป็นปกติ (มนุษย์ก็ด้วยแหละ) และในหลายครั้ง มันก็กลายเป็นภาระในสังคมเมืองของมนุษย์จริงๆ (ตัวที่มีเจ้าของก็เหอะ) ซึ่งก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ความผิดของมันโดยตรง เพียงแต่มันไม่เหมาะกับรูปแบบเมืองของมนุษย์ขนาดนั้น มันจึงต้องมีผู้เลี้ยงไว้คอยดูแลกันพอสมควร และอีกด้านหนึ่งเราก็ต้องถือว่าการเลี้ยงดูชีวิตนั้นมีต้นทุนและภาระ จะมากจะน้อยก็แล้วแต่กรณี น้องหมาจากขั้วโลกมาอยู่เมืองร้อนจะต้องอยู่ในห้องแอร์ทั้งวันก็ไม่แปลก สัตว์เลี้ยงนั้นหลายๆครั้งก็เป็นเพื่อนให้มนุษย์ในยามเหงา (อันนี้ยังไม่ได้พูดถึงปศุสัตว์ - ซึ่งในหนังก็มีพาดพิงไว้อยู่บ้าง แต่เหมือนพูดผ่านๆแค่เป็นการเสริมอารมณ์ในเรื่องมากกว่า) บ้างเอาไว้ใช้งานด้วย บ้างเอาไว้แสดงสถานะด้วย บ้างเอาไว้อื่นๆ และการตัดสินใจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงก็เป็นของผู้เลี้ยง โดยต้องยอมรับและพิจารณาการแบกภาระต่างๆไว้ อย่างอาหาร การดูแลของเสีย การรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วย การดูแลการสืบพันธุ์ ฯลฯ ระหว่างทางก็คงมีคนที่ปล่อยทิ้งสัตว์เหล่านี้ไป บ้างอาจจะหนีไป ซึ่งหนีไปแล้วมันก็คงไม่ได้หนีเข้าป่า แต่ออกจากที่อาศัยของเราไปอยู่อาศัยตามเมืองนี่เอง ซึ่งก็จะมีเรื่องของการขยายพันธุ์ และเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บตามมา และมันก็มีโอกาสที่จะกลายไปเป็นปัญหาในเมืองมนุษย์ได้จริงๆ (รวมถึงเป็นปัญหาหลายอย่างกับตัวสัตว์เองในการอาศัยในเมืองด้วย เช่น ถูกรถชน) สัตว์เหล่านี้จึงไม่ใช่สัตว์ป่าอยู่แล้ว แต่เป็นสัตว์เมืองซึ่งเติบโตขยายพันธุ์โดยเริ่มมาจากการเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ เราจะทำอย่างไรกับสัตว์เหล่านี้? ไม่น่าจะมีคำตอบง่ายๆนัก เราจะยอมให้สัตว์เมืองเหล่านี้เพิ่มจำนวนขึ้นไหม? จะยอมให้สัตว์เหล่านี้ขยายพันธุ์ไหม? (มันเป็นหนึ่งในธรรมชาติของมันไหม?)
เราจะจับมันไปไว้ในสถานที่ไหน? จะควบคุมจำนวนอย่างไร? คำถามเหล่านี้ยังมีสำหรับผู้ที่เลี้ยงด้วยเช่นกัน เช่น คนเลี้ยงมีขอบเขตความรับผิดชอบของตนต่อสัตว์เลี้ยงถึงระดับไหน? ในเรื่องใดบ้าง?

เรื่องน่าทึ่งก็คือโปรเจ็คท์นี้เริ่มมาจากความตั้งใจส่วนหนึ่งของผู้กำกับ Kornél Mundruczó (ไม่แน่ใจเรื่องการอ่าน ได้แต่ก๊อปมาวาง) ที่มีต่อการควบคุมสุนัขซึ่งมีข่าวว่ากำลังมีการร่างออกมาจริงๆในเวลานั้น และผู้กำกับก็ยืนยันว่าจะใช้สุนัขพันทางไม่มีเจ้าของเป็นจำนวนกว่าสองร้อยตัวนี่แหละในการถ่ายทำ ซึ่งมีจุดประสงค์หนึ่งเพื่อหาเจ้าของที่สนใจจะรับเลี้ยงสุนัขเหล่านี้ด้วย 


บรรดาสุนัขในเรื่องนี้ยังได้รับโอกาสที่ดีที่ได้มาอยู่ในโปรเจ็คท์ที่ประจุไปด้วยความทะเยอทะยานเช่นนี้ บรรดาสุนัขไร้เจ้าของจึงได้มาปรากฏตัวในหนังในซีนสำคัญหนึ่งของหนัง และดีไปกว่านั้นที่สุนัขเหล่านั้นก็ได้รับโอกาสที่มีเจ้าของใหม่ยินดีรับมันไปเลี้ยงกันหมด ถือเป็นกุศโลบายที่ยิ่งใหญ่ของหนังเรื่องนี้(และตัวผู้กำกับ) แม้จะไม่ได้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นธรรมชาตินัก แต่ด้วยความขึงขังจริงจังของมัน และการเอาเท่าที่มีในมือมาเล่าได้ดี แต่ทะเยอทะยานด้วยสุนัขนักแสดงจำนวนมาก พร้อมตัวนำที่โดดเด่น (แม้การแสดงให้เห็นถึงความดุร้ายในหลายฉากจะไม่ได้เต็มหน่วยนัก เพราะจริงๆสุนัขพวกนี้ก็น่าจะเชื่องกันพอควร แต่ก็ชดเชยด้วยการตัดต่อและมุมกล้อง แต่หลายฉากนั้นถือว่าเยี่ยมทีเดียว) ทั้งฝ่ายสุนัขอย่างฮาเก้น และฝ่ายมนุษย์อย่างลีลี่ ก็ช่วยสร้างเสน่ห์ให้กับเรื่องราวที่เห็นใน WHITE GOD ได้ดี WHITE GOD จึงถือว่าเป็นหนังที่เล่าด้วยจุดประสงค์เฉพาะ ที่มีบรรยากาศและเสน่ห์เฉพาะตัวประมาณหนึ่ง  

แม้ว่าโซเชี่ยลเน็ตเวิคส์ในปัจจุบันจะทำให้เกิดสัตว์เลี้ยงเซเลบมามากมาย แต่ก็ยังมีสัตว์เมืองอีกหลายตัวที่อาศัยอยู่ในระหว่างหมู่มนุษย์ (เรายังไม่พูดถึงว่าบรรดาสุนัขที่ถูกรับไปเลี้ยงจากการถ่ายทำหนังเหล่านี้จะมีตัวไหนที่จะถูกปล่อยทิ้งเป็นสุนัขไร้เจ้าของอีกหรือไม่?) และการตอบคำถามที่มีกับภาระรับผิดชอบหรือชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์เลี้ยงเหล่านี้หลายประเด็นยิบย่อยอาจไม่ใช่เรื่องที่มีความถูก-ผิดชัดเจน หรือตอบได้ง่ายดายนัก

และแม้หนังเรื่องนี้จะไม่ได้มีคำตอบไปให้ถึงเรื่องราวใหญ่โตเช่นนั้น ซึ่งมันก็ไม่ต้องทำก็ได้ แค่ไม่ตอบอะไรง่ายๆให้มันเกินไปก็น่าจะถือว่าโอเคแล้ว และแม้ไม่คิดว่ามันต้องตอบอะไร แต่ก็โอเคกับฉากจบของหนังเรื่องนี้นะครับ
8.1 คะแนน

ทำไปทำมาก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่แล้วว่า เมืองที่อาศัยนี่ แม้ไม่นับว่าจะดีกับสุนัขหรือสัตว์อื่นมากมายอะไร แต่จริงๆ เมืองมันกดดันให้คนเราที่สร้างและต่อเติมมันขึ้นมาเพื่ออยู่ ดิ้นรนหาทางออกไม่ได้มากกว่าเดิมเหมือนกันหรือเปล่า? ที่เหลือ มันก็ส่งผลกระทบกันต่อๆไปเป็นลูกโซ่ล่ะนะ...


** เขียนเก็บไว้เสี้ยวนึงตั้งแต่หนังยังฉายในโรงอยู่ ตอนนี้อยากดูก็ต้องรอ DVD ล่ะนะ...
อ่าน เจอทีหลังว่ามีคนบอกว่าพลอตทำให้นึกถึงหนังเรื่อง THE PACK ด้วย เคยเห็นโปสเตอร์ผ่านๆสวยดี หนังค่อนข้างเก่า และไม่เคยดู จึงพูดถึงได้แค่นี้ครับ ได้ข่าวว่ากำลังจะมี REMAKE ด้วยนะ



นึกถึง

จริงๆก็อย่างที่บอกว่าตอนดูนึกถึงอะไรต่ออะไรเยอะแยะไปหมดตามย่อหน้าแรก แต่คงไม่ถึงกับต้องแนะนำให้ไปดูทั้งหมดที่ว่ามาเพราะบางอย่างมันแค่เสี้ยวเดียวจริงๆ ใครจะหามาดูมาอ่านสนุกๆก็ได้ แต่บางเรื่องอาจจะงงซะก็ได้ว่านั่นนึกไปถึงเพราะอะไรเรอะ?! - - เพราะฉะนั้นก็พูดถึงแค่บางอย่างก็น่าจะพอ


ความจริงหนังเกี่ยวกับสุนัขนั้นน่าจะมีให้ชมกันพอสมควร ทั้งในแนวออกน่ารักสดใส เขย่าขวัญ หรือแอ็คชั่น เรื่องหนึ่งที่ดู WHITE GOD แล้วน่าจะนำมาพูดถึงกันซักนิด ก็คือ AMORES PERROS ของผู้กำกับรางวัลออสการ์ อเลฮานโดร กอนซาเลส อินนาริตู ซึ่งปีนี้ก็ยังมีลุ้นกะเขาอีก และในปีที่ออกฉาย AMORES PERROS ก็ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมด้วย ซึ่งน่าจะใกล้เคียงกับสิ่งที่ถูกแสดงออกมาใน WHITE GOD ประมาณหนึ่งด้วย หนังค่อนข้างรุนแรง และเป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับทั้งสัตว์และมนุษย์





อีกอันเมื่อพูดถึงสุนัขในฐานะที่เป็นสัตว์ที่สนิทชิดใกล้กับมนุษย์พอสมควร นึกถึงนิยายญี่ปุ่นที่ BLISS เคยแปลมาในชื่อเรื่องว่า เขี้ยว ครับ โดย โนะนามิ อาสะ









และยังไงพอดูเรื่องนี้แล้วดันนึกไปถึง ไอ้เขี้ยวเงิน อยู่ดี ก็นึกอยากดูอนิเมไอ้เขี้ยวเงินซะอย่างนั้น แต่แทนที่จะไปสู้กับหมียักษ์หลังแดง ที่เหล่าสุนัขใน WHITE GOD ต้องต่อกรด้วยนั่นก็คือ...









พลอตของหนังทำให้นึกไปถึงเกมอย่าง WONDER DOG บน SEGA CD หน่อยๆ ซึ่ง...ไม่เคยเล่นหรอก แค่เคยเห็นผ่านๆตามา แถมอารมณ์ก็ดูจะต่างกับหนังมาก อย่าไปคิดว่ามันจะเกี่ยวกันเลย   (แล้วจะเอามาบอกทำไม๊ ???!!!)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น