วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] ALLEGIANT อัลลีเจนท์ ปฎิวัติสองโลก : มาถึงภาคที่สามจากจตุรภาคกันอีกหนึ่งซีรี่ส์



เดินทางมาถึงภาคที่ 3 ก่อนจะไปสู่ตอนจบในภาคที่ 4 จากหนังสือ 3 เล่ม

เมื่อพิจารณากันในกระบวนหนังแนว YA (YOUNG ADULT) โลกอนาคตดิสโทเปียแล้ว ดูเหมือนว่าความอะไรซักอย่างของซีรี่ส์ DIVERGENT จะมาถึงจุดที่มันดูเป็นอะไรที่ครึ่งๆระหว่าง THE HUNGER GAME กับ MAZE RUNNER ไปซะงั้น จะด้วยทั้งเรื่อง ทั้งพลอต ทั้งสถานการณ์ ทั้งคาแรคเตอร์ ฯลฯ อะไรต่ออะไรก็ตาม ทั้งที่ความจริงซีรี่ส์นี้ก็มีจุดเด่นเป็นของตัวเองที่ก็แตกต่างจากเรื่องของสองซีรี่ส์ที่ว่าพอสมควร และก็เป็นส่วนที่ทำให้หนังยังดูสนุกอยู่สำหรับผม ให้ได้ติดตามกันต่อไป ไม่ใช่จะตามดูมันไปอย่างนั้นเพราะน้อง เชลีน วูดลีย์ อย่างเดียว

สิ่งที่ผมคิดว่าซีรี่ส์นี้เอามาถ่ายทอดแล้วทำให้มันดูมีอะไรน่าติดตามดีเป็นเรื่องของ STEREOTYPE ซึ่งทำให้หนังแตกต่างไปจากบรรยากาศของ THE HUNGER GAME ที่ดูจะเน้นเรื่องของการปกครองและชนชั้น ว่าไปเรื่อง STEREOTYPE ก็เพิ่งพูดถึงเรื่องนี้ไปใน ZOOTOPIA แหละนะ

ขณะที่ใน ZOOTOPIA เลือกจะมองเรื่องนี้จากมุมนึง ซึ่งดูจะเป็นการตั้งคำถามกับการเหมารวมและความไม่ค่อยจะเท่าเทียมหรือการปิดกั้นโอกาส ซีรี่ส์ DIVERGENT เลือกมองการแบ่ง STEREOTYPE ในเรื่องของ อรรถประโยชน์ ประมาณว่าใครถนัดอะไรก็ไปทำสิ่งที่ตัวเองถนัดจะดีกว่าไปทำอะไรที่ตัวไม่ถนัดหรือไม่สามารถจะดีกว่าไหม?  เอาให้มันสุดไปเลย นั่นซิ แล้วมันดีกว่าไหม? อันนี้ตอบไม่ได้ เพราะจริงๆคิดว่าในนิยายหรือหนังก็เลือกทำมันออกมาในมุมมองที่เน้นการปลุกพลังให้ฮึกเหิม และติดจะบันเทิงมากกว่า คือคิดว่านิยายและหนังมันก็ไม่ได้พยายามจะตอบแบบจริงจังขนาดนั้น (แต่อันนี้ คือ ยังไม่เคยอ่านนิยายเลย แต่คิดเอาว่าเรื่องหลักๆคงไม่หนีกันเท่าไหร่) แต่ถ้าลองมองเรื่องพวกนี้ในเรื่องของ ประโยชน์ แล้วละก็ เราก็พบว่ามันก็ทำให้การมองเรื่องแบบนี้ซับซ้อนไปกว่าเดิมพอสมควรอย่างที่ก็น่าสนใจดีเหมือนกัน

แต่จริงๆนี่เป็นประเด็นที่ทำให้ดูหนังชุด DIVERGENT ได้สนุกดีนับตั้งแต่ภาคแรก แม้ว่าโอเคจะรู้สึกว่ามันถูกบอกเล่าออกมาแบบตัดรายละเอียดทิ้งไปให้เหลือแต่เรื่องหรือนิยามที่ดูง่ายๆไม่ซับซ้อน ซึ่งความจริงก็เหมือนใน ZOOTOPIA แหละ ที่มันถูกทอนหลายๆอย่างแล้วไปทำให้เข้าใจง่ายขึ้นและสนุกกับเรื่องราวได้มากขึ้นแทน ก็อาจจะมีเสียงบ่นครหาอยู่บ้างว่าใน DIVERGENT การเล่าของมันก็ไม่ได้สนุกหรือเป๊ะหรือกระชากใจนัก ติดจะสูตรๆแบนๆซะมากกว่า คือ เทียบกับหนังที่หลายๆคนอาจรู้สึกว่ามันคล้ายกันมากอย่าง HUNGER GAME (หรือจะเน้นประเด็นให้คม(ชัด)ไปเลย ล้อมด้วยตัวละครมีเสน่ห์สุดๆ ก็อาจไม่ได้ขนาด ZOOTOPIA) ก็ต้องยอมรับว่าในส่วนนี้ DIVERGENT สู้ไม่ได้จริงๆ ในเรื่องการเล่า วางสถานการณ์ สร้างตัวละครยิบย่อย ดีไซน์ ฯลฯ เพื่อดึงดูดใจและสายตา การบีบเค้นอารมณ์และวางเรื่องราวขัดแย้ง รวมถึงการมีความโดดเด่นที่น่าจดจำเป็นของตัวเองนั้น HUNGER GAME ทำได้ดีกว่าจริง ยิ่งรวมกับพลังการแสดงที่เสริมส่งด้วยเรื่องพวกนี้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งรวมไปถึงส่วนของ 'เกม' ด้วย  ทำให้ HUNGER GAME มีสวนกระทบอารมณ์ผู้ชมได้จังๆกว่า  ง่ายๆว่าถ้าต้องเทียบกับ HUNGER GAME นั้นจะว่าศาสตร์ภาพยนตร์ของเรื่อง(ชุด)นั้น 'เป๊ะ' กว่าก็ว่าได้

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์, อนิเม] ZOOTOPIA นครสัตว์มหาสนุก : ขรับ! ก็สนุกจริงๆ


คิดว่าจริงๆ ก็คงมีหลายคนได้รับรู้ความสนุกดีงามของอนิเมชั่นจากดิสนี่ย์เรื่องนี้กันไปหมดแล้ว หลายคนก็คิดว่ามันต้องดีงามแหงๆตั้งแต่เห็นตัวอย่างหนังลากยาว ที่พักหลังดิสนี่ย์ดูจะใช้บ่อย แต่ก็คงต้องมั่นใจว่ามีของจริง ไม่งั้นก็ต้องมั่นใจว่ามัดใจคนดูได้จริง ถึงปล่อยออกมา ทำให้เจ้าสล๊อทโด่งดังไปถึงไหนตั้งแต่ก่อนหนังเข้าฉายซะอีก

แต่...ถ้ามันมีแค่นั้นก็คงแย่นะ

แต่...ก็นั่นแหละครับไม่ต้องห่วงไปเพราะก็บอกไปในสร้อยแล้วว่า มันสนุกจริงครับ

จริงๆแล้วหลังจากอดีตจ้าวอนิเมชั่นอย่างดิสนี่ย์จะดูอาการไม่ค่อยดี โดยเฉพาะช่วงของการเปลี่ยนผ่านไปสู่การที่อนิเมชั่น 3 มิติ ได้รับความนิยมมากขึ้นแทนอนิเมชั่น 2 มิติในยุคก่อนหน้าที่ดิสนี่ย์ครองตลาดโดยแทบไม่มีใครแข่งได้ แม้อนิเมชั่นจาก PIXAR จะไปได้ดี (ว่าไปก็นี่แหละเป็นเหตุให้ใครต่อใครเห็นศักยภาพของอนิเมชั่น 3 มิติ) แต่ดิสนี่ย์เองก็ยังปรับโน่นนี่ไม่ค่อยได้ เหมือนยังหารูปแบบ สูตร สไตล์ ของอนิเมชั่น 3 มิติ ที่จะมาท้าแข่งกับค่ายอื่นๆอย่าง DREAMWORKS, BLUE SKY หรือกระทั่ง PIXAR เองไม่ค่อยได้

แต่จู่ๆได้แล้วก็ได้เลยนะครับ อนิเมชั่นจากดิสนี่ย์ที่ปล่อยออกมาหลังๆจากดิสนี่ย์จึงประสบความสำเร็จทั้งกล่องและเงินติดๆกันแบบไม่ค่อยพลาดเลย (กระทั่ง PIXAR ยังคงต้องหนาวๆมั่งแหละ เจอ FROZEN เข้าไปงี้) และกระทั่ง ZOOTOPIA ก็ยังไม่พลาด

ทีแรกอุตส่าห์จะพยายามตั้งสร้อยประมาณว่า ชัยชนะของกระต่าย กระต่ายกับจิ้งจอก กระต่ายโน่นนี่ ฯลฯ แต่ขี้เกียจนึกแล้ว เอาสร้อยง่ายๆแบบนั้นแหละ ZOOTOPIA เริ่มเรื่องด้วยเรื่องของกระต่ายตัวหนึ่งครับ ซึ่งเล่าไปพร้อมๆกับความเป็นมาเป็นไปของบรรดาสรรพสัตว์จนมาเป็นตอนนี้และมี ZOOTOPIA อย่างที่เห็น พร้อมกับความฝันของเจ้ากระต่าย ใน เมืองใหญ่... ก่อนจะต้องมาข้องแวะกับพ่อจิ้งจอกจอมยียวน

เรื่องลองไปดูในโรงให้ได้สนุกกันเองดีกว่าครับ เล่ามากไปก็ไม่สนุก แถมเสน่ห์ของหนังที่ต้องชมก็คือตัวละครเหล่าสรรพสัตว์ที่สวยงาม มีชีวิตชีวา ทั้งหลายนี่แหละ

[ภาพยนตร์] HAIL, CAESAR! กองถ่ายป่วน ฮากวนยกกอง : โว้ยย, จงศรัทธา!


เอ็ดดี้ แมนนิกซ์ เป็นอาชีพและคนสำคัญแห่งกองถ่าย เจ้าของค่าย เจ้าของตังค์ ดารา และสำคัญสำหรับอีกหลายๆๆคน แห่งวงการหนังในยุคทองของฮอลลีวู้ด เขามีอาชีพเป็นนักแก้ปัญหา กองถ่ายฝนตก ปิดกล้องไม่ได้ จัดฉากคบหาดารา ผู้กำกับอยากด่าเจ้าของตังค์ เจ้าของตังค์อยากให้ดาราคนนี้ไปแสดงในหนังเรื่องโน้น ฯลฯ ที่ว่ามายังแค่ปัญหาประจำวัน ปัญหาบ้าบอพันแปดประการยังคงรอเขาอยู่...

ปัจจุบันพี่น้องโคเอน (โจล โคเอน และ อีธาน โคลเอน) ถือเป็นผู้กำกับคนสำคัญคนหนึ่งของฮอลลีวู้ด มีทั้งหนังได้กล่องมากมาย และหนังช่วงหลังๆหลายเรื่องก็ได้ตังค์ด้วย เช่น NO COUNTRY FOR OLD MEN (หนังได้ออสการ์ด้วย) หรือ TRUE GRIT แต่กว่าจะมีถึงจุดนี้พี่น้องโคเอนก็คงผ่านอะไรมาเยอะ แม้จะแจ้งเกิดได้ตั้งแต่หนังอินดี้หาตังค์มาทำกันเองอย่าง BLOOD SIMPLE หนังอาชญากรรมทุนน้อยแต่สุดเข้มข้น (เป็นต้นแบบของหนังจีนขึงขังบ้าฮามืดๆของ ผู้กำกับ จางอี้โหมว อย่าง A WOMAN, A GUN AND A NOODLE SHOP ด้วย)  แต่การจะผ่านอะไรๆมาจนถึงทุกวันนี้ โดยยังรักษา ความเป็นตัวตนของผู้กำกับ ชื่อเสียง สถานะไว้ในโลกแห่งฮอลลีวู้ดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

หนังของพี่น้องโคเอนมักจะมีอารมณ์ขันผสมอยู่ แบบมืดๆ แม้หนังในช่วงหลังจะมีท่าทีเข้มๆเป็นหลัก แต่ทุกเรื่องก็มีส่วนผสมของอารมณ์ขันแบบมืดๆผสมอยู่ในปริมาณมากน้อยต่างกันไป (ซึ่งผมก็ชอบหมดเลยซะด้วย ตั้งแต่ NO COUNTRY FOR OLD MEN, BURN AFTER READING, A SERIOUS MAN, TRUE GRIT,  INSIDE LLEWYN DAVIS มากน้อยต่างกันไป) บางครั้งพี่น้องโคเอนก็จะทำหนังที่ดูจะเอาอารมณ์ขันนำหน้า(แต่ก็แบบมืดๆ)ออกมาบ้าง และ HAIL, CAESAR! ก็น่าจะจัดอยู่ในตระกูลนี้

HAIL, CAESAR! เป็นหนังที่ว่าไปแล้วก็ทำให้นึกไปถึงหนังบางเรื่องของผู้กำกับ วูดี้ อัลเลน อีกหนึ่งผู้รอดชีวิตในฮอลลีวู้ดมาถึงปัจจุบันโดยยังทำหนังออกมาสม่ำเสมอและรักษาตัวตนไว้อย่างเหนียวแน่น (ทำหนังถี่กว่าพี่น้องโคเอนซะอีกเพราะทำทุกปี แทบไม่เคยขาด) คือ นี่เป็นหนังที่ถ้ามีข้อมูล(หรือความรู้)เกี่ยวกับเรื่องราวของหนังซักหน่อยจะดูสนุกกว่าไม่มี

เพราะมันเป็นเรื่องราวหลังกองในวงการภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ในยุคทอง (ราวๆยุค 1950s) เรียกว่าแทบจะล้วนๆ เพราะงั้นคนที่พอจะอินเรื่องในวงการ อินหนังเก่า อินเรื่องฮอลลีวู้ดเก่าๆ น่าจะดูสนุกกว่าคนที่ไม่อินหรือไม่รู้เลย (พอดีผมก็เป็นพวกครึ่งๆกลางๆ)

หากดูในโปสเตอร์จะเห็นว่า คนที่ปรากฎหน้าตามากที่สุด ซึ่งปกติจะเดาก่อนว่าเป็นพระเอก คือ จอร์จ คลูนี่ย์ เจ้าของบท แบรด วิทล๊อค ดาราเจ้าบทบาทฟันงาม ที่มีรูปหน้าปรากฎบนโปสเตอร์ถึง 1 หน้าครึ่ง (ถ้าด้านล่างที่ถูกแบกหน้าตะแคง(นับเป็นครึ่งหน้า)อยู่ดูออกว่าเป็นหน้าแก) แต่ จอช โบรลิน เจ้าของบท เอ็ดดี้ แมนนิกซ์ มีรูปอยู่กลาง สรุป ใครเป็นพระเอกกันแน่? ไม่รู้เหมือนกัน... แต่เรื่องเปิดด้วย เอ็ดดี้ แมนนิกซ์  ในห้องสารภาพบาป ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

รีเมคเกม SHOOTING คลาสสิค SALAMANDER ที่ถูกยกเลิกไป หลุดไฟล์มาให้เล่นกัน - แด่ชาวแอนดรอยด์

SALAMANDER เป็นเกม SHOOTING มีชื่อเกมหนึ่งของ KONAMI ที่แม้จะไม่ได้มีภาคต่อมากมายอย่าง GRADIUS (หรือ NEMESIS) แต่ก็จัดเป็นเกมที่หลายๆคนในยุค FAMICOM จดจำได้เป็นอย่างดี



ระบบบางส่วนคล้ายคลึงกับ GRADIUS มากโดยเฉพาะระบบอัพเกรดอาวุธ แต่เอกลักษณ์ที่โดดเด่นก็คือ การมีฉากทั้ง เกมยิงแนวนอน และแนวตั้งให้สลับกันเล่น แถมยังเล่นพร้อมกัน 2 คนได้ เพิ่มความสนุกสนานทั้งแย่งฉกชิงและเมตตาแบ่งปัน POWER-UP หรือไอเทมต่างๆได้เป็นอย่างดี

ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้มีโครงการรีเมก SALAMANDER มาเป็นเกมให้ได้เล่นกันผ่านแอพบน ANDROID แต่จู่ๆโครงการก็ถูกยกเลิกไป...

ก่อนที่จะมีตัวเกมหลุดมาในเนต  ให้แฟนๆได้รำลึกความหลังกันหน้าตาเฉย!


ต้นข่าวจาก twitter บอกว่าในโอกาสเกือบๆครบรอบ 30 ปีของเกมนี้ KONAMI เคยวางแผนจะฉลองกันซักเล็กน้อยด้วยเวอชั่น HD REMAKE ของ SALAMANDER บนสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์พกพา อัพเกรดกราฟฟิก และวางแผนไว้ว่าจะใช้ระบบ free-to-play ด้วย แต่ทำไปทำมาตัวเกมก็ถูกยกเลิก... ทั้งๆที่เกมก็พัฒนามาใกล้จะเสร็จอยู่แล้ว...

[ภาพยนตร์] OFFICE พนักงาน ดี เดือด : เรื่องสยอง คนออฟฟิศ


นานมากแล้วที่ไม่ได้ดูหนังเกาหลีในโรงหนัง

สิ่งที่จำได้เกี่ยวกับหนังเกาหลีก็คือมีช่วงหนึ่งที่หนังเกาหลี มีกระแสในบ้านเรามาก ตั้งแต่เริ่มๆกระแสน้อยๆอย่าง SHIRI ไปถึงอภิมหาหนังเลิฟคอมเมดี้แห่งยุคอย่าง MY SASSY GIRL ไปถึงหนังรักเจือความเศร้าอย่าง CHRISTMAS IN AUGUST เป็นต้น (ทำไมมีแต่ชื่อหนังนานมากแล้วทั้งนั้นเลย... ก็บอกแล้วว่าไม่ค่อยได้ดูจริงๆ)

ซึ่งสิ่งหนึ่งที่รู้สึกก็คือหนังเกาหลีในช่วงนั้นมีรสชาติบางอย่างที่แปลกๆออกไปจากหนังฮอลลีวู้ดหรือหนังไทย (จะรวมหนังญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ด้วยก็ได้) คือ แม้เป็นหนังแนวเดียวกัน แต่รสชาติบางอย่างที่แปลกไปก็เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นในหนังเกาหลีประการหนึ่ง จะเป็นแบบที่ยังอาจไม่รู้สึกถึงความต่างชัดนักอย่าง SHIRI ก็ยังมีรสชาติเฉพาะตัวบางอย่างให้รู้สึก

ความจริงหนังเกาหลีก็มีค่อนข้างหลากหลายแนว และแนวหนึ่งที่รู้สึกว่าหนังเกาหลีเอาความต่างบางอย่างมาเติมรสชาติใหม่ๆให้รสชาติเดิมๆของหนังแนวนี้ ก็คือแนว เขย่าขวัญ แม้จะไม่ได้ถึงกับฉีกกฎเกณฑ์ แต่มันมีจังหวะเฉพาะตัวบางอย่างที่รู้สึกว่าทำได้แปลกต่างออกไปและทำได้ดีไปถึงดีมาก ซึ่งก็สัมผัสได้จากหนังหลากหลาย ทั้งหนังแนวหนังผีอย่าง A TALE OF TWO SISTERS (ตู้ซ่อนผี) หนังมาเฟียสุดมืดอย่าง OLD BOY หรือหนังสัตว์ประหลาดอย่าง THE HOST ก็ตาม

หลังๆแม้กระแสหนังเกาหลีดูจะเบาบางลงไป และผมเองก็ห่างหายการดูหนังเกาหลีไปนาน แม้ช่วงนั้นจะได้ยังคงได้ยินกิตติศัพท์หนังเกาหลีหลายเรื่องในแนวๆนี้ แต่ก็ไม่ได้หามาดูเสียที ความจริงเร็วๆนี้ก็ได้ดูหนังเกาหลีแนวทำนองนี้อีก ซึ่งก็ยังทำให้ทึ่งกับหนังเกาหลีอีก ร่ำๆจะไปความหาหนังได้ได้ยินกิตติศัพท์ช่วงที่ไม่ได้ดูมาดูซะให้หมด แต่ก็...ยังไม่ได้ทำเช่นนั้น และในระหว่างนั้น หนังเรื่อง OFFICE ก็โผล่มาเข้าโรง

นอกจากธีมเขย่าขวัญ (ซึ่งก็พอจับได้จากโปสเตอร์)  มันยังนำเสนอเรื่องราวของมนุษย์ออฟฟิศซึ่งเป็นชีวิตของคนจำนวนมากที่เดินสวนกันไปมาในมหานคร เป็นความสนใจที่ทำให้อยากไปดูหนังเรื่องนี้

และเมื่อได้ไปดูมาแล้ว หนังเกาหลีเรื่องนี้ก็ยังตอกย้ำว่าหนังเขย่าขวัญเกาหลีนั้นมีรสชาติเฉพาะตัวบางอย่างที่ทำให้ทึ่ง และเป็นอีกเรื่องที่ไม่ทำให้ผิดหวัง

 หนังเล่าเรื่องราวของพนักงานออฟฟิศในแผนกหนึ่ง ซึ่งมีตัวละครสำคัญประกอบด้วย ผู้จัดการแผนก พนักงานอาวุโสแก่ประสบการณ์จำนวนหนึ่ง และพนักงานใหม่ฝึกหัด และหัวหน้าแผนกอีกที รวมไปถึงตำรวจสืบสวนทีมหนึ่งที่ต้องเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องราวในออฟฟิศนี้ หลังเปิดเรื่องด้วยบรรยากาศทึบทึม และหลังจากช่วงเริ่มต้นหนังก็เล่าเรื่องต่อไป เผยเรื่องราวบางอย่างในความทึบทึมนั้น และนำพาเรื่องราวของชีวิตในออฟฟิศเหล่านี้ไปสู่ความมืดมนและน่าหวาดกลัวยิ่งขึ้น...

ความจริงแล้วถ้าพิจารณาจากภาพรวมทั่วๆไปในแง่เขย่าขวัญ หนังเรื่อง OFFICE อาจไม่ได้มีเรื่องราวถึงขั้นแหวกแตกต่างออกไปมากนักจากเรื่องราวโศกนาฏกรรมเขย่าขวัญที่เราเคยผ่านตา แต่หนังก็เริ่มเรื่องเพื่อจะดึงเราเข้าสู่เรื่องราวของหนังได้อย่างน่าติดตาม พร้อมไปกับการสืบสาวเรื่องราวของทีมสืบสวน หลังจากคนในแผนกก่อเรื่องร้ายเอาไว้และไม่มีใครทราบว่าเขาอาจจะหนีไปที่ไหน ทีมสืบสวนก็พบจากกล้องว่า เขากลับมาที่ออฟฟิศ... แต่...ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน...

ถึงตรงนี้แล้วใครสนใจก็ไปตีตั๋วดูได้เลย จะได้ไม่รู้อะไรมาก เพราะความเอนเตอร์เทนของหนังประเภทนี้ส่วนหนึ่งก็คือการติดตามเรื่องไปโดยไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปนี่แหละ

วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] JOY เธอสู้เพื่อฝัน : เธอผู้ไม่ยอมแพ้


JOY เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีชื่อตามชื่อเรื่องนะครับ จอย เป็นชื่อของเธอ และเธอก็ถือเป็นทั้งนักประดิษฐ์และนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในอเมริกา แต่ก่อนหน้าที่เธอจะอยู่ในจุดที่ประสบความสำเร็จนั้น ชีวิตของเธอก็ผ่านอะไรมามากมาย และหลายเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอผ่านมันมาได้อย่างไร? หรือเธอต้องรักษาภาพที่เธอเห็นเอาไว้ให้มั่น ยึดความหมายในคำตามชื่อของเธอเอาไว้ และผ่านมันไปให้ได้

เป็นครั้งที่สามแล้วที่ผู้กำกับ เอวิด โอ รัสเซล ร่วมงานกับ เจนนิเฟอร์ ลอเรนซ์ แต่ดูเหมือนเป็นครั้งแรกที่หนังของเขาจะมีตัวละครเอกเป็นผู้หญิง เป็นครั้งแรกที่เขาเล่าเรื่องที่ผู้หญิงเป็นจุดศูนย์กลาง และอย่างน้อยที่สุดการเลือกร่วมงานกับ เจนนิเฟอร์ ลอเรนซ์ นางเอกคนเก่งของเขาอีกครั้งก็ดูเหมือนจะเป็นคำตอบที่ถูกมากกว่าไม่ถูก และเรื่องราวของ JOY ก็น่าสนใจอยู่ในแง่ที่ปกติเรามักจะได้เห็นเรื่องราวของคนสำคัญที่คิดสิ่งประดิษฐ์ไฮเทค(โนโลยี)พลิกโลก แต่ในเรื่องนี้เราจะได้ติดตามชีวิตของเด็กสาวช่าวฝัน ช่างสังเกต ช่างคิดประดิษฐ์ประดอย ที่เอาไอเดียของเธอมาทำให้กลายเป็นเครื่องใช้ที่เป็นประโยชน์สำหรับการทำงานในบ้านกันบ้าง สิ่งที่เป็นประโยชน์ขนาดอิมแพ็คท์ไม่จำเป็นต้องอลังการหรือมีเทคโนโลยีซับซ้อนเสมอไปนะครับ

ชีวิตของจอยไม่ได้สวยงาม แม้เธอจะดูมีครอบครัวที่มีความสุข มีประกายของความเป็นนักประดิษฐ์ช่างคิดมาตั้งแต่เด็กๆ ก็ไม่ได้แปลว่าความสวยงามนั้นจะคงอยู่ตลอดไป เมื่อรู้ตัวอีกที เธอเป็นคุณแม่ลูกหนึ่ง หย่ากับสามีแต่เขายังอยู่ในบ้าน มีแม่ที่ผิดหวังซึ่งหย่ากับพ่อและติดละครน้ำเน่า และพ่อซึ่งหย่ากับแม่และจากบ้านไปก็เกิดเลิกกับคู่รักใหม่ย้อนกลับมาขออาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิม แถมมีพี่สาวคนละแม่ที่ไม่กินเส้นกันอีก (อย่าถือว่าผมสปอยล์เลย ทั้งหมดนี้ดูได้จากตัวอย่างหนัง) ชีวิตช่างบัดซบอะไรเช่นนี้...

ในสภาพเช่นนั้น สิ่งที่ยังเหลืออยู้่ในตัวจอยอย่างไม่น่าเชื่อก็คือความเชื่อมั่นในความคิดและไอเดียของเธอ เมื่อต้องเป็นแม่และแม่บ้านเธอพบปัญหาที่เกิดกับเครื่องไม้เครื่องมือของเธอ และจากสิ่งที่เห็นได้ในอเมริกา เธอมั่นใจความคิดของเธอจะกลายเป็นสินค้า ที่ทุกบ้านต้องการ และเธอรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่าสิทธิบัตร

ปัญหาคือ ดูเหมือนไม่มีใครเชื่อและมั่นใจในตัวเธอเลย... แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ มีเพียงสามีที่แม้จะหย่า แต่ก็ยังเวียนวนอยู่ในชีวิต กับเพื่อนรักแต่สมัยเด็กคนหนึ่ง เท่านั้นที่ยังเห็นความพยายามของเธอ และพยายามยื่นมือเข้ามาช่วย จะด้วยความเห็นใจ หรือความผูกพันก็แล้วแต่ และเธอยังมีคุณย่าให้กำลังใจ แม้คุณย่าจะรู้สึกว่าแกมีเรี่ยวแรงน้อยลงไป แกก็ยังจับตาดูเด็กตัวน้อยของแกเสมอ

แม้เธอจะแก้ปัญหาได้อย่างหนึ่ง ก็ดูเหมือนมีปัญหาหนึ่งเข้ามาทับถม ให้ดูเหมือนว่าความพยายามสุดท้ายจะอัปปาง แม้จะทำสินค้าออกมาได้ ก็เหมือนจะมีสิทธิบัตรจากคนอื่นอยู่ก่อนแล้ว แม้จะมีผู้ผลิตชิ้นส่วนให้แต่ก็ดูเหมือนบริษัทจะโกงเธอ แม้จะผ่านเรื่องต่างๆมาได้ แต่เธอก็ไม่มีที่ที่ยอมรับสินค้าของเธอไปขาย แม้เมื่อหาที่ที่สนใจสินค้าของเธอได้แล้ว ผลลัพธ์ยอดขายก็เลวร้ายอย่างยิ่ง...

แต่เธอก็เชื่อมั่น... ว่าเธอรู้จักสินค้าของตัวเองดี สุดท้าย...เธอก็ได้รับผลตอบแทนจากความเชื่อมั่นของเธอ

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] BAKUMAN วัยซนคนการ์ตูน : ทางฝัน บนจอใหญ่ ของคู่หูการ์ตูน


การตัดสินใจถ่อไปดู BAKUMAN นั้นเป็นความรู้สึกแบบก่ำกึ่ง ทีแรกผมสนใจเพราะคิดว่าแคสติ้งบท ทาคากิ อากิโตะ นั้นดูจะใช่ดี และท่าทางก็ดูโอเค (มาชิโระดูผ่านๆก็โอเค เพราะดูมาผ่านๆจึงรู้สึกมาได้แค่นี้) แถมมีทีท่าจะเข้าฉายโรงในบ้านเราเร็วๆนี้ ทำไปทำมาก็ดูเหมือนจะเลื่อน เลื่อนก็โอเค จะได้ข้ามไปไม่ต้องดู (ตกลงอยากหรือไม่อยากดูกันแน่เนี่ย?) แต่จู่ๆหนังก็เวียนมาเข้าโปรแกรมฉายอีก ก็เลยกลับมาลองคิดอีกที (แบบไม่ตั้งใจนัก) ว่าจะไปดูดีหรือเปล่า?...

การตัดสินใจอ่านมังงะ BAKUMAN ของผมก็ดันไม่ง่ายเท่าไหร่ ค่าที่แม้จะสนุกสนานกับ การ์ตูนของ อ.ทาเคชิ โอบาตะ ที่แกเป็นคนถ่ายทอดลายเส้นจากเรื่องที่มี อ.ท่านอื่นแต่งให้ อย่าง ฮิคารุ เซี่ยนโกะ ที่สนุกได้ทั้งที่อ่านไปแล้วก็ไม่ได้ทำให้เล่นโกะเป็นมากขึ้นรึคิดว่ารู้จักการเล่นโกะดีขึ้นมาก (ต้องหัดเล่นซิจ๊ะ ไม่งั้นมันจะเป็นเรอะ แค่มโนเอาได้ไม่ใช่ทำได้ทุกคนนะเฟ้ย) แม้จะได้รู้เรื่องราวในวงการโกะมากขึ้น (จากที่ไม่รู้เลย) แถมสนุกไปจนจบ จนมา DEATH NOTE ที่ทีแรกก็คิดว่าจะอ่านไม่อ่านดี เพราะแม้จะรู้สึกว่าลายเส้น อ.โอบาตะ สวยและมีรายละเอียดดี ก็ไม่ได้ว่าจะชอบลายเส้นแกเข้าเส้นอะไรแบบนั้น แต่จริงๆดูจากชื่อเรื่องเราก็ควรจะอ่าน (?) และลงท้ายก็พบว่ามันก็สนุกดีอีก พออีกเรื่องจบไปสมใจ มีเรื่องใหม่มาอีก อ่านชื่ออังกฤษไม่รู้เลยว่าเกี่ยวกับอะไร แต่ชื่อไทยบอก วัยซนคนการ์ตูน


ตอนนั้นไม่รู้ทำไมรู้สึกประมาณว่าเรื่องนี้ต้องดราม่าแน่นอน เกินแบบที่เรารับได้แน่นอน (ตีหน้าปกไปก่อนซื้อ) แต่เกี่ยวกับวงการการ์ตูนมังงะเลยนะเฮ้ย ประมาณเข้าวงการตามความฝันสมัยเรียนอะไรงี้ แต่นั่นแหละ คิดว่าดราม่าแน่นอน แถมตอนนั้นไม่รู้เกิดอะไรขึ้นมาอีก รู้สึกว่าไม่อยากตามเรื่องใหม่ๆหัวใหม่ๆแล้วเอาดื้อๆ จะเพราะบางเรื่องที่ตาม (เช่น เจ้าหนูแว่น นักล่านักล่า โจรสลัดหมวกฟาง ก้าวนั้น บลาบลาบลา) ไม่จบกันซักที หรือไม่ออกมานานแล้วก็ยังไม่จบซะที หรืออะไรก็ไม่รู้ (ตกลงที่ตามนี่อยากอ่านรึไม่อยากอ่าน?...) สรุปว่าก็ไม่ซื้อปล่อยออกไปสามสี่เล่มก็ยังไม่ซื้อ แล้วรู้สึกไปอ่านบล๊อกนึงมาพูดถึงการ์ตูนเรื่องนี้ว่า แสดงให้เห็นชีวิตนักเขียนการ์ตูนได้ดี ประมาณนี้ ซึ่งบล๊อกนั้นก็เป็นบล๊อกนักเขียนการ์ตูนไทยคนหนึ่งด้วย (เลือนลางเลยไม่แน่ใจว่าใช่ไหม? บล๊อกใคร? กันแน่ ไว้ค่อยค้นทีหลัง) ก็เลย...กลับไปซื้อ (เล่นตัวจังนะเอ็ง...)

แต่ อ่านเล่มแรกปรากฏว่า...ผมไม่ชอบเลยแฮะ ก็เลยคิดว่า เออ เรื่องนี้คงไม่ตรงทางเราจริงๆ เห็นคนที่ชอบก็เยอะ แต่ โอเค ลองอ่านอีกซักเล่มนึงก็แล้วกัน สรุป...เออ ก็สนุกดี ทำไปทำมา อ่าว จบแล้วเหรอ (ตอนซื้อเล่มสุดท้ายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเล่มจบจนอ่านไปท้ายๆเล่ม)

เพราะงั้นก็เลยมีความผูกพันกับตัวละครและเรื่องราวในเวอชั่นมังงะพอควร และเพราะงั้น พอเห็นหน้านางเอกเป็น โคมัตสี นานะ ประกอบกับ (เผอิญไป)เห็นเรื่องนี้มีบทบาทนิดหน่อยในเวทีรางวัลญี่ปุ่น พอเห็นจู่ๆกลับมาเข้าไทยอีกแล้ว ก็เลย อ่ะดูก็ดู (เหตุผลอะไรของเอ็ง...)

ทีนี้ถามว่า BAKUMAN นี่ดราม่าไหม? ดราม่าครับ เป็นส่วนที่ทีแรกไม่ชอบด้วย แต่รายละเอียดอื่นๆโดยเฉพาะเรื่องของคนชอบการ์ตูน คนเขียนการ์ตูน วงการการ์ตููน ชีวิตนักเขียนผู้ช่วยคนอ่านระบบและไอเดียอื่นๆในวงการมังงะนี่ ชอบ และบางเรื่องบางประเด็นก็ถึงขั้นชอบมากด้วย แถมตอนหลังๆไอดราม่าๆอะไรนี่ พออ่านไปจนผูกพันกับตัวละครแล้วตอนหลังก็ลืมๆไปแล้ว บางตอนก็อินไปกับเขาด้วย เรื่องราวชีวิตตัวละครในเรื่องด้วยหน้าตาเฉย (แม้ว่าบางตอนจะยังคงหงุดหงิดบ้างก็ตาม) ใจคนมันเปลี่ยนง่ายเพียงนี้...

พอเป็นหนัง ทีแรกก็สงสัยว่านี่คือตอนเดียวเรื่องเดียวครั้งเดียวจบเลยใช่ไหม? เพราะไม่เห็นมีห้อยท้ายอะไร (พอดีว่าปีก่อนหนังจากมังงะก็เข้าหลายเรื่องแถมมากันแบบแพ็คคู่แบ่ง PART หลายเรื่อง) เพราะก็รู้สึกว่า มังงะก็หลายเล่มนะ จะเล่าจบเหรอ?

[ภาพยนตร์] DEADPOOL เดดพูล : โคตรเกรียน มหาบรรลัย (แถม : ถึงสี่กายสิทธิ์ผู้น่าฉงฉาน...)


ซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์มาเวลจากค่ายที่ไม่ใช่มาเวล ที่เพี้ยน เฮี้ยน เกรียน และอาจจะบ้าบอที่สุดในบรรดาซูเปอร์ฮีโร่ (อย่างน้อยก็ในตอนนี้) แตกต่างอย่างบ้าเกรียน ถ้าคุณเอียนหนังซูเปอร์ฮีโร่สุภาพโลกสวยแถมไม่รวยอารมณ์คลั่งขัน โปรดเรียกชื่อของเขา เขามีชื่อว่า เดดพูล 7.8 คะแนน   

ว่าแต่...คุณต้องมีคุณสมบัติอะไร จึงจะถือว่าเป็นซูเปอร์ฮีโร่? คุณต้องเก่งกล้าสามารถขนาดไหน? ต้องมีพลังเหนือมนุษย์ไหม? ต้องช่วยคนเดือดร้อนรึเปล่า? ต้องช่วยกี่คน? หรือต้องมีวายร้ายให้ต่อกรด้วย? แล้วมันต้องร้ายขนาดไหน? คุณต้องเป็นมิตรกับซูเปอร์ฮีโร่คนอื่นๆหรือเปล่า? เป็นมิตรแค่ไหน? วายร้ายที่คุณเล่นงานคุณจะเล่นงานมันได้ขนาดไหน? ถ้าเล่นมันหนักไปคุณจะหลุดจากการเป็นซูเปอร์ฮีโร่ไหม? คุณต้องอาบน้ำแปรงฟันทุกวันรึเปล่า? รึทิ้งขยะไม่ลงถังได้ไหม? คุณจะระบายอารมณ์กับคนอื่นได้ไหม? จะระบายกับใคร? กับคนอ่านได้รึเปล่า? กับคนดูได้รึเปล่า? กับคนเขียนรึสตูดิโอได้รึเปล่า? (อ่าว ไม่ใช่ต้องไประบายกับจิตแพทย์ อ.บ.ต. หน่วยงานร้องทุกข์ รึรัฐมนตรี อะไรอย่างนี้หรอกเหรอ? - เอาไว้ไปรอดู CAPTAIN AMERICA : CIVIL WAR ละกันนะครับ ว่าจะรู้ไหมว่าซูเปอร์ฮีโร่ต้องระบายกับใคร) รึที่คุณต้องทำก็แค่คุณต้องมีหนังสือการ์ตูนคอมมิคเป็นของตัวเองที่มีคุณเป็นพระเอกให้ได้?? หือ???

ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน... ก็ไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่นี่หว่า...

อ่าว แต่เอ็งก็ดูเรื่องของซูเปอร์ฮีโร่มาเยอะแล้วนะ ไม่รู้กะเค้าบ้างเรอะ?!

ความจริงหลังตั้งแต่เทคโนโลยีถึงระดับเราก็ได้ดูหนังซูเปอร์ฮีโร่มาก็ไม่ใช่จะน้อย และยิ่งถึงยุคเทคโนโลยีให้ เราก็ยิ่งได้ตะบี้ตะบันดูหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่แต่ก่อนนานๆอาจจะโผล่ทีมาเป็นมีกันให้ดูทุกปี (ไม่มีแทบ) แถมดูกันปีละก็หลายเรื่องด้วย และหลังหนังซูเปอร์ฮีโร่กลายมาเป็นความบันเทิงกระแสหลักจนแทบจะจัดประเภทแยกให้ไปได้แล้วสบายๆ แทนที่จะมีแค่หนังแอ็คชั่น ดราม่า ไซไฟ ตลก ฯลฯ ซึ่งจริงๆหลายคนก็คงจัดให้ไปแล้วแหละ 

แม้ว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่หลายๆเรื่องจะให้บรรยากาศความรู้สึกซ้ำๆกันอยู่ก็มาก แถมแนวทางอะไรที่ดูจะประสบความสำเร็จก็ดูเหมือนจะถูกใช้ซ้ำเพื่อดึงความสนใจจากคนจ่ายสตางค์ค่าตั๋วกันต่อไป (บางคนก็ไม่ แต่โหลดบิทเอา...) เช่น เดี๋ยวนี้หนังซูเปอร์ฮีโร่ดูจะพ่วงอารมณ์ขันมาในปริมาณนึง พระเอกก็ต้องมีความเพี้ยนเกรียนและความขำในตัวประกอบบ้าง (เช่น สตาร์ลอร์ด ใน GUARDIANS OF THE GALAXY) ใช่จะตั้งท่าหล่อเท่กันอย่างเดียวแล้วแฟนๆจะชอบ ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะหลังๆมานี้นี่หนังซูเปอร์ฮีโร่ขึ้นจอที่ประสบความสำเร็จไปถึงสำเร็จมากๆส่วนใหญ่เป็นหนังจากค่ายมาเวล หนังที่ออกมาจึงมีรูปรอยคล้ายกันอยู่มาก 

แม้ว่าจะมีซูเปอร์ฮีโร่แหวกแนวแหกรูปแบบแบบว่ามองมุมอื่นๆของฮีโร่ปรากฏตัวออกมาบ้าง (ซึ่งหลายเรื่องก็ออกมาดีด้วย) ส่วนใหญ่ก็ใช่จะประสบความสำเร็จเปรี้ยงปร้างอะไรนัก อย่างเช่น WATCHMEN หรือ KICK-ASS ไอที่แหกคอกและประสบความสำเร็จระดับบิ๊กเบิ้มจนทำให้หลายคนหันมามองหนังซูเปอร์ฮีโร่สายซีเรียส(และกะจะสร้างออกมา)บ้างก็เห็นจะมีแต่มนุษย์ค้างคาวในมือของผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน เท่านั้นกระมัง? (แต่เราไม่ชอบ MAN OF STEEL เท่าไหร่นะ ที่บอกได้ว่าชอบเต็มปากในหนังเรื่องนั้นก็เห็นจะมีแต่ เอมี่ อดัมส์ ในบท โลอิส เลน แหละมัง) แต่บางเรื่องแม้จะสูตรหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จมากมาย (อ่าว) 
แต่ว่าไปจะซีเรียสจะสูตรอะไรก็ไม่เป็นไร ให้มันถูกใจหรือสนุกบันเทิงสมใจอะไรก็ว่าไปในระดับที่น่าพอใจก็พอแล้ว แล้วเดดพูลนี่มีดีอะไร?

เดดพูลนี่มีดี(หรือไม่ดีก็ไม่รู้?)ตั้งแต่ที่ผมก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่แล้วว่าอย่างเดดพูลนี่เรียกว่าซูเปอร์ฮีโร่ได้หรือเปล่า? แต่เราก็พอรู้ว่าหมอนี่มาไม่เหมือนคนอื่นๆแน่ก็ตั้งแต่เปิดเรื่องแล้ว เปิดตัวมาไม่รู้เหมือนกันว่าเท่หรือไม่เท่ แต่เราคิดว่ามันมีกลิ่นบ้าๆบอๆมาตั้งแต่ตรงนี้ได้แล้ว