วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ไฟนอลลี่ แอนด์ดิออสการ์ 2016 โกส์ทู...

ยินดีกับทีม SPOTLIGHT ที่คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปได้

ยินดีกับเฮีย ลีโอนาโด ดิคาปริโอ แม้เราจะพยายามแล้วพยายามเล่าก็ยังเก็บออสการ์ในเกมให้แกไม่ได้ก็ตาม (เราขอโต๊ด)
แต่ท้ายที่สุดแกก็คว้าตุ๊กตาทองไปได้ด้วยมือแกเอง เราไม่มีอะไรให้ติ

ยินดีกับ INSIDE OUT แม้จะแอบแบ่งใจให้ ANOMALISA นิดนึงก็ตาม
(และอยากดู SHAUN THE SHEEP ทั้งยังไม่ได้ดู BOY AND THE WORLD, MARNIEฯ ทำได้ดีแล้ว)

เสียดาย THE MARTIAN ไม่มีบทบาทเท่าไหร่ แต่ก็ยังชอบซีเรียสบันเทิงเรื่องนี้และยังนับถือการกำกับของลุง ริดลี่ย์ สกอต มาก แม้อาจไม่ใช่แนวการกำกับที่ดึงดูดใจสายรางวัลชัดนักเทียบกับคนอื่นๆ แต่อย่างน้อยก็เซอไพรส์ผมได้ พี่ แมท เดมอน ผมว่าคุณก็เล่นดีนะ แต่สายที่คุณหลุดเข้ามามันกระดูกมาก แต่ผมโอเคกับการแสดงของคุณครับ สู้ๆ

ยังคงประทับใจ เอดดี เรดเมย์น - อลีเซีย วิกันเดอร์ (ยินดีด้วยกับออสการ์สมทบหญิงนะครับ!) , เคท แบลนเชท - รูนีย์ มาร่า , ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ - เคท วินสเลท และก็ยังดีใจที่ ราเชล แม็คอดัมส์ ได้เข้าชิงนะครับ

มาร์ค ไรแลนซ์ นอนมาในสาขาสมทบชายยอดเยี่ยม ผมไม่มีอะไรให้บ่น (อยากดู CREED แฮะ คงไม่ฉายโรงแล้ว แต่...ก่อนนั้นต้องไปไล่ดู ROCKY มาก่อน...)

รางวัลบทภาพยนตร์ทั้งดั้งเดิมและดัดแปลงผมโอเค

เสียใจแม้ถือหาง MAD MAX และก็คิดว่าโอกาสได้รางวัลน่าจะเต็มที่ 50:50 แต่อย่างน้อยผู้กำกับน่าจะให้เฮีย จอร์จ มิลเลอร์ เขาไปนะ! ไหนๆปีที่แล้วเฮียก็ได้ไปแล้ว ทั้งที่คิดว่าแบ่งให้ BOYHOOD บ้างเซ่! ธ่อฟ้อย! (นี่เริ่มพาลปะเนี่ย...) คิดว่าให้รางวัลเทคนิคภาพเสียงตัดต่อโปรดักชั่นคอสตูมกิน(เกือบ)เรียบแล้วมันแทนกันได้เรอะเฮ้ย?! อันนี้เราเสียจัย!

อย่างไรก็ดี คอสตูมแอบแบ่งใจให้ CAROL... แม้จะพลาดรางวัล

แม้ไม่ได้ดูเรื่องอื่นที่ชิงสาขาเดียวกันเลย แต่ SON OF SAUL ได้รางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมก็ไม่มีอะไรให้เคลือบแคลงว่าไม่เหมาะ เพิ่งเข้าโรงฉายในบ้านเรา ยังฉายอยู่หลายที่ ไปพิสูจน์กันได้

ยินดีกับ AMY สำหรับรางวัลภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม และรู้ไหมว่าก่อนงานประกาศรางวัล สารคดีที่เข้าชิง 3 ใน 5 เรื่อง คือ AMY, CARTEL LAND, LOOK OF SILENCE มีโอกาสมาฉายโรงให้ผู้ชมได้ยลในบ้านเรากันไปแล้ว! (แม้จะหาดูได้ง่ายแค่ในเมืองกรุง) ผ่านการจัดจำหน่ายของ DOCUMENTARY CLUB

นำหญิงยอดเยี่ยม บรี ลาร์สัน คว้าไป ยินดีกับโอกาสของเธอในการถ่ายทอดการแสดงผ่านหนังเรื่อง ROOM

และยินดีด้วยที่ เจ้าหนู จาคอบ เทรมเบลย์ ไม่ได้ชิงออสการ์ (?)

แต่...

ภาพจาก facebook ของ Sense on Films

เจ้าหนู จาคอบ เทรมเบลย์ ยังไม่สนออสการ์ก็ได้มั้ง! ได้ภาพคู่กับเรย์คนจ๋วยแล้วนิ! ฮึ่ม!

ฮ่ะ อะไรนะ? มหากาพย์สงครามดาวภาคล่าไม่ได้รางวัลอะไรเลย? เออ น่ะ เขาไม่ต้องสนก็ได้มั้ง เป็นเรื่องแรกในประวัติศาสตร์อเมริกันประเทศแล้วหนิที่ได้รายได้ในนิวาสสถานไปเกิน 900 ล้านดอลลาร์ 900 ล้านเลยนะเฮ้ย! ชนะเผ่านาวีอีก!? THE REVENENT ที่ได้ออสการ์นำชาย ผู้กำกับ กะถ่ายภาพ ที่ได้ตังค์เยอะๆในบรรดาผู้เข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมยังได้แค่เกิน 170 ล้านไปหน่อยๆเองนะ เออ แต่ถ้าแบบนั้น THE MARTIAN ก็ได้ไปไม่น้อยที่เกือบ 230 ล้านแฮะ แม้จะห่างจาก 900 ล้านอยู่โขก็เถอะนะ...


ก่อนจะจบ อนึ่ง ภาพยนตร์อย่าง BROOKLYN คงไม่ได้มาลงโรงฉายในบ้านเราแล้ว... แต่ปลายเดือนมีนาเห็น TRUMBO มีจ่อคิวเข้าฉายอยู่ และบางเรื่องอย่าง 45 YEARS ก็ยังพอมีรอบฉายอยู่ครับ อย่างน้อยก็เห็นที่ HOUSE RAMA RCA


ดังนั้นจึงขอ(ตัด)จบการรายงาน ออสการ์ 2016 หน้าชั้น ไว้แต่เพียงเท่านี้... สวัสดีครับ.


*ดูรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลและผู้คว้าชัยทั้งหมดในออสการ์ 2016 แบบมีภาพประกอบ จากเวบมะเขือเน่าได้ ที่นี่ ฮะ

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[เกม] มาช่วยลีโอฯชิงออสการ์กันเต๊อะ ขนาด Bing ยังลุ้นลีโอ! (+หน้าคุณเหมือนดาราออสการ์คนใด?)

จริงๆเขาเล่นกันไปถึงไหนต่อไหนจนเลิกเล่นไปเตรียมลุ้นกันแทนแล้วนะครับ แต่ก็เขียนๆดองๆจนเพลาอันสมควร เลยป่านนี้กว่าจะเขียนถึง...

เกมนั้นเป็นเกมแฟลชเล่นบนเว็บบราวเซอร์ เล่นกันฟรีๆ เอาเป็นว่าสำหรับคนที่ยังไม่ได้เล่นหรือยังไม่ได้ลอง ก็ไปเล่นกันก่อนได้ ดูซิว่าคุณจะคว้าออสการ์มาให้พี่ลีโอได้หรือไม่ !!!!!!??????

เพราะไม่งั้นประเดี๋ยวเขาจะแจกจริงกันแล้วนะ... หมดลุ้นกันพอดี...

เอาเป็นว่าลองกดไปเล่นกันเลยได้ที่ redcarpetrampage.com (ชิงบัลลังค์พรมแดง - แปลซะหนังจีน) ครับ
(มีแอพแอนดรอยด์ให้โหลดด้วยนะเออ ลองเข้าไปดูที่หน้าโหลดได้ แต่ไม่ได้ลอง)





คนทำเกมนี่ก็คันมือเอาการ เราจะได้เล่นเป็นพี่ลีโอน่ะแหละ (ก็แหง) ในชุดสูท เตรียมขึ้นเวทีเต็มที่ และที่ต้องทำก็ไม่มีอะไร คือวิ่งหน้าตั้งอย่างเดียว พร้อมกับกระโดดหลบอะไรที่กีดๆขวางๆเป็นระยะๆที่ขวางกั้นตัวพี่ลีโอฯกับออสการ์เอาไว้ อย่าง เช่น นักข่าว หรือ เลดี้กาก้า(?! - อย่างงไปครับ เธอเข้าชิงเพลงประกอบนะ - แล้วยังไง๊?!) หรือ อื่นๆ.... (บอกหมดเด๋วไม่หนุก) ระหว่างนั้นก็เก็บรางวัลรายทางอื่นๆ ซีซ่าร์ ลูกโลกทองคำ ฯลฯ ไปเรื่อยๆ โดยการบังคับก็ใช้แค่ 3 ปุ่มบนคีบอร์ดเท่านั้น สองปุ่มกดสลับสำหรับวิ่งหน้าตั้ง อีกปุ่มไว้กระโดด แค่นั้น ง่าย ได้ใจความ!

[ภาพยนตร์] THE REVENANT ต้องรอด : ชีวิตที่ได้มา


THE REVENANT เป็นหนังสุดทะเยอทะยานอีกเรื่องของผู้กำกับ อเลจานโดร กอนซาเลส อินนาริตู หลังจากฝากความทะเยอทะยานไว้ในหนังออสการ์ปีที่แล้วอย่าง BIRDMAN ขณะที่เรื่องนั้นถ่ายทำให้ดูเหมือนลองเทคขนาดยาว และเล่าเรื่องต่อเนื่องไปเรื่อยๆ THE REVENANT เป็นความพยายามในการถ่ายทำโดยใช้แสงธรรมชาติ ซึ่งแม้งบจะบานปลายไปมากด้วยความยากในการถ่ายทำเช่นนี้ แต่ดูเหมือนผลตอบรับด้ายรายได้และบทบาทในเวทีล่ารางวัลดูเหมือนจะคุ่มค่า (และทำให้ค่ายหนังลดอาการอกสั่นขวัญหายไปได้)

เรื่องราวเล่าในช่วงที่อเมริกายังมีดินแดนหลายส่วนเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนและยังมีการส่งกองทหารไปเพื่อเอาทรัพยากรจากในเขตป่าที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ต้องเผชิญหน้ากับอินเดียนแดง ซึ่งก็มีการแตกแยกและแบ่งเขตปกครองเป็นหลายเผ่า ตัวเอกมีลูกกับสาวชาวอินเดียนแดงคนหนึ่ง และร่วมขบวนในการหาของป่าครั้งนี้ด้วย ด้วยความสามารถในการเดินป่าและความชำนาญพื้นที่จึงได้รับการคาดหมายให้เป็นผู้นำทางเพื่อนำเอากองหนีเอาชีวิตรอดออกจากป่าให้ได้หลังจากเจอการโจมตีจากอินเดียนแดงกลุ่มหนึ่ง การแย่งชิงเหล่านี้เป็นไปทั้งการแย่งชิงทรัพยากร ผลประโยชน์ และการแย่งชิงสิ่งสูงค่าทางจิตใจ ซึ่งต้องต่อกรระหว่างมนุษย์ด้วยกันทั้งต่างความคิด หรืออาจต่างเผ่าพันธุ์ ทั้งต้องต่อกรกับธรรมชาติอันโหดร้าย อะไรที่จะเป็นสิ่งผลักดันให้เอาชีวิตรอดไปจากสิ่งเหล่านี้... แม้เมื่อรอดชีวิตจากเหตุการณ์ขับคันมาได้ สิ่งที่ผลักดันให้เราหอบสังขารดั้นด้นต่อไปนั้นคืออะไร? หรือเพื่ออะไร? หรือมันเป็นไปเพื่อชำระล้างจิตใจ? หรือชำระล้างเอาความคับข้องใจออกไป? แม้จะต้องล้างด้วยเลือดก็ตาม...

[ภาพยนตร์] CAROL รักเธอสุดหัวใจ : ในห้วงรัก...


CAROL เป็นเรื่องราวของหญิงในสังคมชั้นสูง ซึ่งแต่งงานกับสามีแล้วและมีลูกสาวหนึ่งคน ชีวิตของเธอดูจะสุขสบายและไม่เดือดร้อนอะไร แต่ในที่สุดขณะนี้เธอก็กำลังจะหย่ากับสามี ในระหว่างใกล้เทศกาลคริสตมาส เธอแวะไปหาซื้อของเล่นให้ลูกสาวของเธอที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง พนักงานสาวคนหนึ่งเป็นคนมาต้อนรับ และสุดท้ายลงเอยเป็นผู้เลือกของขวัญให้เธอ นี่เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวของเธอสองคน...

ความพิเศษของ CAROL อาจไม่ได้อยู่ที่ความเป็นหนังซึ่งเล่าเรื่องราวของหญิงสองคนซึ่งรักกัน แน่นอนว่าเรื่องราวของมันเป็นแบบนั้น ซึ่งในตอนนี้หนังที่เล่าเรื่องราวเหล่านี้ก็มีมากขึ้น แต่ความพิเศษของหนังน่าจะอยู่ที่ท่าทีในการถ่ายทอดของมัน สิ่งถ่ายทอดออกมาได้อย่างสวยงามและละมุนละไม

ในบทบาทเจ้าของชื่อเรื่อง เคท แบลนเชต ถ่ายทอดบทบาทออกมาได้อย่างสง่าและสุขุม แม้ว่าบุคลิกของแครอลในเรื่องนี้อาจทำให้นึกไปถึงการแสดงในหนังเรื่องอื่นๆของ เคท ซึ่งเธอก็สามารถถ่ายทอดออกมาได้ดี แต่ในที่นี้รายละเอียดเล็กๆน้อยๆและอากัปกริยาที่เธอบรรจงแสดงออกมาทำให้ แครอล มีความเป็นตัวของตัวเอง และโดยเฉพาะเมื่ออยู่ในฉากเดียวกันกับ เธเรส ที่แสดงโดย รูนี่ย์ มาร่า ความบอบบาง เยาว์วัย และเข้มแข็ง รับส่งความรู้สึกและการค่อยพัฒนาการทำความรู้จัก และค่อยๆแทรกซึมเข้าไปอยู่ในใจของอีกฝ่ายได้มากขึ้นๆทีละน้อย

JOJO ภาค 4 เป็นอนิเม!

JOJO ภาค 4  DIAMOND IS UNBREAKABLE จะถูกสร้างเป็นอนิเมสำหรับฉายทางทีวีเป็นครั้งแรก!

ภาพจาก http://www.gconhub.com/


ก็มีความตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะจริงๆในบรรดา JOJO ทุกภาค เราชอบภาค 4 ที่สุด (ปัจจุบัน มังงะโจโจภาคล่า คือ JOJOLION เป็นภาคที่ 8 (นับ STEEL BALL RUN ด้วย))

จริงๆก็อาจน่าสงสัยกันอยู่บ้างว่ามันไปกันไกลแล้ว ทำไมเพิ่งจะมาสร้างอนิเมล่ะเนี่ย?

อันนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะไม่ได้ตามเรื่องราวอะไร

ความจริง JOJO ก็เคยถูกสร้างเป็นอนิเมมาแล้ว แถมนานแล้วด้วย ตอนนั้นน่าจะทำเป็น OVA ละมัง? ซึ่งในตอนโน้นก็เลือกมังงะภาคที่น่าจะดังที่สุดในตอนนั้น (ถึงตอนนี้ก็น่าจะยังใช่? - และเป็นจุดเริ่มต้นความดังของ JOJO ด้วย) คือภาค 3 ภาคที่ดำเนินเรื่องราวในอียิปต์ (ชื่อภาค STARDUST CRUSADERS) มาสร้าง

แถมหลังๆ ภาคแรกๆก็ถูกสร้างเป็นอนิเมมาด้วย แต่ถ้าจำไม่ผิด ยังไงๆมันก็จะมาสุดอยู่แค่ภาค 3 ไม่ค่อยได้ไปไกลกว่านั้น แต่ก็ไม่แน่ใจว่าทำไมหยุดอยู่แค่นั้น ผลตอบรับไม่ค่อยโอ รึอนิเมเตอร์ขี้เกียจวาด รึไม่มีทุนพอดี รึขอลิขสิทธิ์ไม่ได้ รึอื่นๆ?

แต่ทำไปทำมา ต่อมาอีกนาน อ.ฮิโรฮิโกะ อารากิ แกก็ยังปั่นมังงะไปเรื่อย จบภาคนี้ก็ขึ้นภาคโน้น จู่ๆเขาก็ดำริจะสร้าง JOJO เป็นอนิเมอีกทีฉายทางทีวีอีกซักที และการที่ JOJO ภาค 4 ถูกประกาศสร้าง ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะภาค 3 (และภาคก่อนๆ) ที่เพิ่งฉายไปประสบความสำเร็จในระดับโอเคก็เป็นได้ (นี่ก็ไม่ได้ตาม)

ภาค 3 ที่ทำให้โจโจดังขึ้นมาระเบิดเถิดเทิง (คิดว่างั้นนะ) ก็เพราะเอกลักษณ์ที่ทำให้ตัวมังงะเองมีท่าทีแตกต่างออกมาจากการ์ตูนบู๊พันธุ์กล้ามทั่วๆไป (อย่างเช่น ฤิทธิ์หมัดดาวเหนือ - แต่อันนั้นก็คงไม่ถือว่าทั่วไปนัก เพราะจัดเป็นตำนานมังงะเรื่องหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดถูกอ้างอิงว่าเป็นการ์ตูนความนิยมถล่มทลายในมังงะ BAKUMAN ด้วย) ก็คือสิ่งที่ชื่อว่า สแตนด์ ลักษณะคล้ายๆเทพพิทักษ์ หรือคล้ายๆวิญญาณเข้าทรงแบบใน ราชันย์แห่งภูต อะไรแบบนั้น (แต่ JOJO มาก่อนนะ) ซึ่งทำให้ท่าทีของการ์ตูนแตกต่างจากบู๊แบบหมัดชนหมัดกล้ามชนกล้ามหรือวิชายุทธ์อะไรทั่วๆไปกันไปอย่างมีรสชาติเฉพาะตัวทีเดียว นอกจากนั้นทั้งลายเส้นและการออกแบบก็พัฒนาขึ้นมาก (แม้ว่าหลายคนจะไม่ชอบลายเส้น JOJO เลยก็ตาม) มีรูปลักษณ์และความเฉพาะตัวชัดเจนขึ้นอีกมาก ทั้งคาแรกเตอร์เครื่องแต่งกายเครื่องประดับ และสแตนด์ หลายอันจี๊ดมากๆ (รวมไปถึง ท่ายืนเอียงเอวเคล็ดอันสุดแสนจะเป็นเอกลักษณ์ และถูกนำไปล้อบ่อยๆ) และส่งผลไปถึงการดำเนินเรื่องได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจทีเดียว แถมในช่วงแรกๆที่แม้จะมีสแตนด์ปรากฏในเรื่องแล้ว แต่มันก็ยังเป็นไปในลักษณะบู๊กันตรงๆใช้ความสามารถในการบู๊ความเร็วความแรงความอึดอะไรแบบนี้ หลังๆนอกจากรูปลักษณ์สแตนด์จะหลากหลายขึ้น การบู๊กันก็เปลี่ยนแปลงไปในแบบที่มีการใช้ลูกเล่นกลยุทธ์เล่ห์กลและใช้สมองกันมากขึ้น (อารมณ์ประมาณเวลาชิกามารุบู๊ในนารูโตะ แต่มังงะ JOJO ออกมาก่อนนานแล้วน่ะนะ) เมื่อรวมกับรูปลักษณ์สแตนด์ที่ยิ่งพิสดารขึ้นในช่วงท้ายไปอีก เนื้อเรื่องช่วงนั้นก็ยิ่งไต่กราฟความมันส์หนักขึ้นไปเรื่อยๆ และแม้จะเป็นภาคแรกที่มีสแตนด์ปรากฏตัว ก็ต้องให้เครดิต ฮิโรฮิโกะ อารากิ ที่ช่างสร้างสรรค์ได้เหลือใจ สแตนด์ตัวแรกๆอาจมีอะไรจี๊ดๆชัดเจนที่รูปลักษณ์มากกว่าอย่างอื่น แต่หลังๆนี่สแตนด์ที่ดูพิสดารแบบคิดได้ยังไงก็มีหลากหลาย เช่น (ถ้าถือว่าสปอยล์ก็อ่านข้ามไปเลย) สแตนด์ที่เป็นหนังสือการ์ตูน หรือสแตนด์ที่ปรากฏตัวในกระจก ฯลฯ โอ๊ย โดยในภาคนี้ ชื่อสแตนด์จะอิงมาจากไพ่ยิปซี (ไพ่ทาโร่) ทั้งหมด คือช่วงนั้นนี่เหมือนยิ่งเขียนยิ่งพีค ไปจนฉากสู้ตอนจบที่น่าจะมันส์สะใจจนไม่น่าจะมีภาคไหนเทียบได้จนทุกวันนี้ (แม้จะมีภาคอื่นที่สนุกมากก็เถอะนะ)

[ภาพยนตร์] ROOM ขังใจไม่ยอมไกลกัน : กายในห้อง ใจในห้อง


ROOM เป็นเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ในห้องพร้อมกับลูกของเธอ เธอเล่น ทำอาหาร สอน หยอกล้อ เลี้ยงดู อาบน้ำ ฉลองวันเกิด ฯลฯ ให้ลูกในห้องห้องหนึ่ง ทำไมเธอจึงอยู่ในห้องห้องนี้? เลี้ยงดูลูกในห้องห้องนี้? แต่วันหนึ่งเธอก็ต้องการที่จะออกไปจากห้อง เธอได้บอกเรื่องนี้กับลูกของเธอ...

ROOM ไม่ได้สร้างจากเรื่องจริง แต่สร้างจากนิยายชื่อเดียวกัน กระนั้นก็ตามแรงบันดาลใจอ้อมๆของนิยายก็มาจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง แต่เรื่องจริงที่เกิดขึ้นนั้นดูจะรุนแรงกว่าเรื่องที่เห็นในหนัง

ในหนังเรื่องนี้ไม่ได้พยายามเผยความรุนแรงด้านภาพให้ออกมาพบกับผู้ชม เราจึงค่อยๆรับรู้เรื่องราวของแม่ลูกคู่นี้ผ่านเรื่องราวแวดล้อมและคำจากปากที่ค่อยๆเผยออกมา สิ่งที่ดูเหมือนหนังต้องการจะสำรวจจึงเป็นเรื่องของตัวละครและความสัมพันธ์ของตัวละครกับอะไรรายรอบตัวมากกว่า

สิ่งที่ทำให้เธอสิ้นอิสรภาพก็เป็นสิ่งเดียวกับที่หยิบยื่นปัจจัยประทังชีวิตให้เธอ และลูกก็เป็นปัจจัยหนึ่งหรืออาจกระทั่งเกือบจะเป็นปัจจัยเดียวที่เป็นทั้งสิ่งที่ประคบประคองและให้ความหวังเธอในแต่ละวันที่ต้องอยู่ในห้อง

ในขณะที่เธอเคยอยู่ข้างนอกห้องและรู้จักโลกนอกห้อง ลูกของเธอไม่รู้จัก ลูกของเธอรู้จักเพียงแต่ห้องๆนี้ มันเป็นโลกทั้งใบของเขา

และในวันหนึ่งเธอก็เห็นความจำเป็น เห็นโอกาส ที่จะออกจากห้อง เธอต้องการความช่วยเหลือของลูก ลูกไม่แน่ใจไม่เข้าใจว่าทำไมต้องออกจากห้อง ความรู้สึกนั้นน่าหวาดหวั่น นั่นเป็นความรู้สึกของลูก แต่เธอรู้ว่านี่เป็นเวลาที่ต้องออกจากห้อง และต้องออกไปให้ได้ และเธอต้องการให้ลูกเข้าใจว่ามีโลกข้างนอกโลกที่เธอเคยบอกว่าไม่มี เธอต้องการให้ลูกช่วย มันเป็นการเสี่ยงชีวิตของทั้งเธอและลูก

[ภาพยนตร์] THE DANISH GIRL เดอะ เดนนิช เกิร์ล : ใครกันที่ฉันรัก?...


THE DANISH GIRL เล่าเรื่องของคู่สามี-ภรรยาศิลปินชาวเดนมาร์ก ไอดาร์-เกอร์ดา เวเกเนอร์ สามีเป็นจิตรกรภาพทิวทัศน์ผู้มีชื่อเสียง ขณะที่ภรรยาเป็นจิตรกรภาพ PORTRAIT ที่ยังพยายามหาพื้นที่และตัวตนในโลกของวงการศิลปะ ทั้งคู่ดูเป็นคู่สามีภรรยาที่มีความสุขดี ในขณะที่ฝ่ายชายออกจะไม่ชอบออกงานสังคมหรือพบปะผู้คนนัก แม้จะด้วยบทบาทศิลปินก็ตาม ภรรยาดูจะช่างพูดช่างคุยและกระฉับกระเฉงกว่า จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเพื่อนหญิงที่สนิทสนมกับครอบครัวไม่มาตามนัดในการมาเป็นแบบวาดภาพ ภรรยาจึงอ้อนวอนขอร้องสามีให้มาเป็นแบบแทน ขอร้องให้เขาสวมถุงน่องรองเท้าของผู้หญิง และชุดผ้าอาภรณ์ที่แบบเคยใส่มาทาบทับตัวไว้ เพื่อนหญิงที่ตามมาเห็นจึงตั้งชื่อให้เธอผู้มาเป็นแบบแทนว่าลีลี่ ตั้งแต่วันนั้น ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นกับไอนาร์ผู้เป็นสามี และมันก็ส่งผลมาถึงเกอร์ดาผู้เป็นภรรยาด้วย อย่างที่เรียกว่าชีวิตของทั้งสองจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป...

ภาพยนตร์เป็นการกำกับของ ทอม ฮูเปอร์ ผู้มีผลงานคว้าออสการ์อย่าง THE KING'S SPEECH รวมไปถึงหนังเพลงอย่าง Les Misérables

นอกจากเนื้อเรื่องที่หนักหน่วง สิ่งที่โดดเด่นในหนังคือการแสดงของสองดารานำ เอดดี เรดเมย์น และ อลีเซีย วิกันเดอร์ การแสดงของ เอ็ดดี้ เรดแมร์ ที่เพิ่งคว้าออสการ์นำชายไปในปีที่แล้วจากบท สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง ใน THEORY OF EVERYTHING เป็นอีกครั้งที่เขาต้องเปลี่ยนตัวเองไปเป็นการแสดงที่ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายและการแสดงออก จากบทบาทของ สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง ที่ความเจ็บป่วยทำให้มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวและการพูด มาเป็นบทบาทของ ไอนาร์ และ ลีลี่
เอดดี เรดเมย์น ยังคงให้การแสดงในรายละเอียดต่างๆได้อย่างน่าทึ่ง ในบทบาทของจิตรกรไอนาร์ที่แม้จะเป็นศิลปินผู้มีชื่อเสียงแต่ก็ดูไม่ได้มีความสุขความอยากในการออกงานสังคมนักแต่ยังดูมีความสุขเมื่ออยู่กับภรรยา แม้จะดูเหมือนมีความเคลือบแคลงใจอะไรบางอย่างอยู่เสมอ จนกระทั่งเข้าสู่บทบาทของลีลี่ที่ค่อยๆมีการเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยจนกลายไปเป็นลีลี่อย่างเต็มตัว ทั้งความรวดร้าวในตอนที่รู้ว่าตัวเองค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป ทั้งความมั่นใจที่จะยืนยันว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการคืออะไร ความขวยอาย ความปรารถนา ทั้งท่าทางการแสดงออกที่เปลี่ยนไป

อีกหนึ่งคือการแสดงจาก อลีเซีย วิกันเดอร์ ในบทภรรยา ที่ดูจะมีความมั่นอกมั่นใจและความกระฉับกระเฉงกว่าทั้งเมื่ออยู่กับคนรอบข้าง หรือสามี ทั้งยังมีความทะเยอทะยานในฐานะศิลปิน จนเมื่อถึงจุดหนึ่งเมื่อความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ความปวดร้าว ไม่เข้าใจ ไม่ยอมแพ้ ที่เธอแสดงออกปะปนกันไปในช่วงเวลาเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ทำให้คนดูอย่างเราระลึกได้ว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงกับเฉพาะกับ ไอนาร์-ลีลี่ อย่างเดียว แต่เกิดขึ้นกับเธอด้วย และกลับกันในขณะที่ ไอนาร์-ลีลี่ ดูจะเข้าใจและมั่นอกมั่นใจกับการที่รู้ว่าตัวเองนั้นจะเป็นอะไรหรือเป็นใคร กลับเป็นเธอที่ในขณะที่มีชื่อเสียงจากภาพ PORTRAIT ของลีลี่ เธอกลับไม่มั่นใจไม่อาจเข้าใจและรวดร้าวกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องของเธอพอๆกับที่เป็นเรื่องของ ไอนาร์-ลีลี่ อย่างที่แสดงให้เห็นในโปสเตอร์ เรื่องของผู้หญิงสองคน ความรัก-และความรวดร้าวของทั้งสองคน

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] SPOTLIGHT คนข่าวคลั่ง : หน้าที่ จรรยาบรรณ ความคาดหวัง


SPOTLIGHT เป็นหนังข่าวสืบสวนซึ่งสร้างจากเรื่องจริงที่มีเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับประเด็นที่อ่อนไหวและค่อนข้างหนักหน่วง ซึ่งก็เรียกความสนใจของคนที่ต้องการรู้เรื่องราวเบื้องหลังการทำข่าวสืบสวนนี้ มีการนำเสนอที่สุขุม หนังรวบรวมนักแสดงฝีมือดีเอาไว้หลายท่านซึ่งทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี มีรายละเอียดบางอย่างที่น่าสนใจเหลือทิ้งไว้ให้

จากเปลือกนอก SPOTLIGHT เป็นหนังที่ไม่ได้มีโครงสร้างพิสดารหรือน่าตื่นเต้น เรื่องราวในหนังถูกเล่าออกมาตรงๆ ไม่ได้พยายามใช้ลูกเล่นอะไรบิดให้มันดูพิเศษหรือผิดธรรมดา การที่ SPOTLIGHT ดึงความสนใจเกี่ยวกับสิ่งที่นำเสนอได้ตั้งแต่แรก ก็เป็นสิ่งเดียวกับที่ทีมข่าวในเรื่องถูกดึงความสนใจไปหา

ทำไม บาทหลวงซึ่งมีข่าวเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ถึงแค่หายไปเฉยๆจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง โดยไม่ได้มีการฟ้องร้องคดีหรือการลงโทษใหญ่โตอะไรให้เห็นหรือรู้สึกเลย?

และในอีกเมืองหนึ่งบาทหลวงผู้นั้นก็ยังคงเป็นบาทหลวง หรือบาทหลวงผู้นี้สำนึกเสียใจในความผิดอย่างที่สุดแล้ว กลับใจ และพร้อมที่จะทำหน้าที่บาทหลวงต่อไปแล้ว?

SPOTLIGHT แม้จะดูเหมือนมีน้ำหนักของการสืบสวน หรือการทำข่าวสืบสวน แต่จริงๆหนังไม่ได้เน้นไปที่ความพลิกผันของการสืบสวน เรื่องราวที่ทีม SPOTLIGHT ของหนังสือพิมพ์ BOSTON GLOBE เข้าไปเกี่ยวข้องนั้นเริ่มจากเรื่องราวดูฉาวโฉ่ที่ดูเหมือนถูกปิดเงียบ เรื่องที่น่าตระหนกจริงๆเบื้องหลังหัวข้อข่าวที่ค่อยๆถูกกระเทาะ คือ เหตุผลของการที่เรื่องเหมือนเงียบหายไปเฉยๆ โดยไม่ได้มีผลลัพธ์ที่ทำให้รู้สึกว่ามีเรื่องไม่เหมาะสมเกิดขึ้น และภายใต้หน้าฉากเบื้องต้นที่ถูกขุดค้นลึกลงไป มีความลับซึ่งใหญ่โตขนาดไหนซ่อนอยู่?

ความลับที่เหมือนมีเพียงผืนผ้าบางๆปกคลุมอยู่ แต่เหมือนไม่มีมือข้างในเคยเอื้อมไปเลิกผืนผ้านี้ออกให้เห็นถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างใต้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?...

SPOTLIGHT เป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยรายละเอียด แต่มันก็ไม่ได้ถูกนำเสนอออกมาให้เข้าใจได้ยาก มันนำเสนอตัวเองอย่างสุขุม ทั้งการถ่ายทอดเรื่องราวและการแสดง กระนั้นนักแสดงทุกคนในบทสำคัญก็มีช่วงเวลาสำคัญของตัวเอง ในเวลาส่วนใหญ่หนังไม่ได้พยายามแสดงออกมาอย่างเกรี้ยวกราดหรือฟูมฟาย ซึ่งอาจเป็นการดีก็ได้ เพราะเมื่อมันเผยเรื่องราวในหลายช่วงที่ปิดซ่อนอยู่ สารที่ส่งออกมาโดยไม่ต้องอาศัยความกราดเกรี้ยวหรือฟูมฟายมาเสี่ยงแบ่งความสนใจไปก็สามารถส่งความรู้สึกช๊อคมาให้เราได้ตรงๆ และนั่นอาจเพียงพอแล้ว

[ภาพยนตร์] BRIDGE OF SPIES บริดจ์ ออฟ สปายส์ จารชนเจรจาทมิฬ : ทนายและสายลับบนสะพาน


ในขณะที่ไม่ค่อยจะคิดว่าเป็นแฟนผู้กำกับคนไหน เช่น เป็นแฟนตัวประหลาดในหนังของ ผู้กำกับ กิลเลอโม่ เดลโตโร่ แต่ยังไม่ปวารณาตัวเป็นแฟนหนังแกซะทีเดียว ก็พอจะบอกได้เต็มปากว่าเป็นแฟนหนังผู้กำกับ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ซึ่งจะว่าไปทีแรกก็ตามๆเขาไปที่ว่าแกเป็นพ่อมดฮอลลีวู้ด ถล่มบอกซ์ออฟฟิศ อะไรต่ออะไร (แต่ดูตัวเลขหนังถล่มบอกซ์ฯเดี๋ยวนี้ซิ...) แต่ตอนได้ดูหนังอย่าง JURASSIC PARK นี่คือรู้สึกว่ามันใช่จริงๆ คือมันบันเทิง มันมีไดโนเสาร์ มันมีความสนุก น่ากลัว ตื่นเต้น มีคาแรคเตอร์ที่เราพร้อมจะติดตาม พร้อมจะรัก (ก็บิวด์แล้วผมหลง ว่างั้น) นอกนั้นหนังอื่นๆของแกก็ชอบ เรื่องแรกๆอย่าง SUGARLAND EXPRESS ก็ชอบ หรือ 1941 ที่ดูจะคว่ำก็ยังชอบ เรื่องหลังๆอย่าง CATCH ME IF YOU CAN รึ MINORITY REPORT ก็ชอบ แต่ก็ไม่ได้ตะบี้ตะบันชอบนะ ที่ไม่ค่อยชอบก็มี เช่น HOOK นี่ออกจะเฉยๆ พอดูได้เพลินๆมากกว่า รึอย่าง THE LOST WORLD นี่ก็ดูไม่หนุกเท่าไหร่ (คิดว่าภาค 3 สนุกกว่าซะอีก) แต่ก็ติดตามดูหนังแกมาตลอด

สำหรับตัวเอง มีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าหนังของลุงสปีลเบิร์กมี 2 ภาค คือภาคก่อนได้ออสการ์ กับภาคหลังได้ออสการ์ จริงๆพอย้อนๆไปดูข้อมูลอะไรต่ออะไร ก็ไม่ปฏิเสธว่าหนังหลายๆเรื่องมีดีกรีพอจะได้ออสการ์มาประดับทั้งยุคก่อนได้ออสการ์ และหลังได้ออสการ์ แต่ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่รู้สึกแฝงมาตลอดหลังจากแกได้ออสการ์ก็คือว่า หนังยุคก่อนออสการ์หลายเรื่องนั้นมัน สนุกมว๊าก แต่หลังจากได้ออสการ์ รู้สึกว่าหนังแกจะลดดีกรีความสนุกตื่นเต้นลง (แม้จะยังบิ๊วด์อยู่ แต่ก็ไปบิ๊วด์ด้านอื่นๆแทน) เหมือนมันมีความเกร็งอะไรบางอย่าง หรือมีขอบเขตอะไรบางอย่าง ที่ทำให้มันไม่ได้สนุกสุดขอบเหมือนหนังหลายเรื่องของแกยุคก่อนได้ออสการ์ (อย่าง THE LOST WORLD นี่ก็ยุคหลังออสการ์นี่หว่า) โดยเฉพาะหนังที่เกี่ยวกับเรื่องจริงหรือประวัติศาสตร์จะมีความรู้สึกว่ามันติดจะโอลด์แฟชั่นซักหน่อย ซึ่งอาจไม่เกียวกับได้รึไม่ได้ออสการ์ก็ได้ แกอาจจะมีมุมมองความคิดบางอย่างเปลี่ยนไปก็ได้ เลยทำให้บรรยากาศในหนังมันเปลี่ยนไป ซึ่งจะว่าไปเรื่องของมุมมองบางอย่างในการทำหนัง แกก็เคยพูดในตอนที่พูดถึงตอนที่ตัดสินใจทำ SCHINDLER'S LIST ซึ่งเป็นหนังที่ทำให้แกได้ออสการ์ผู้กำกับตัวแรก (รวมไปถึงออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย - ในอีกด้านหนึง สตีเว่น สปีลเบิร์ก มีเชื้อสายยิว เลยมีความรู้สึกร่วมบางอย่างกับเรื่องราวนี้เป็นพิเศษ และในช่วงนั้นหนังเรื่องนี้ก็ถูกพูดถึงในแง่ว่าเป็นหนังที่มีความเป็น 'ผู้ใหญ่' มากที่สุดของสปีลเบิร์ก) ด้วย แต่ยังไงก็ตามก็ยังติดตามดูหนังแกมาเรื่อยๆจนปัจจุบัน และก็ยังคงมีหนังที่ชอบ เราจึงยังขอเป็นแฟนแกต่อไปก่อน จะฮิตไม่ฮิตก็ขอตีตั๋วไปดูในโรงไว้ก่อน ชอบมากชอบน้อยไว้ว่ากันอีกที

และ BRIDGE OF SPIES ก็เป็นเรื่องล่าสุดของแกที่ก็ยังตีตั๋วไปดูในโรง มันเป็นหนังที่ประณีต พิถีพิถัน มีโปรดักชั่นที่ดี มีทีมงานดี มีนักแสดงที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี มาพร้อมกับเรื่องราวที่มีแง่มุมกินใจ และมาพร้อมเนื้อเรื่องที่ถือว่าเป็นเรื่องที่ชี้ชวนให้ตั้งคำถามบางอย่างได้อยู่เหมือนกัน

หนังเล่าเรื่องราวในช่วงเวลาของสงครามเย็น หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่แต่ละฝ่ายในสองมหาอำนาจในเวลานั้นอย่างสหภาพโซเวียต (ปัจจุบันแตกออกเป็นรัสเซีย และประเทศอื่นๆ) และสหรัฐอเมริกา มีการกดดันกันด้วยการสร้างอำนาจทางทหารและเทคโนโลยี สร้างข่าว ซึ่งทำให้สถานภาพของสองฝั่งฟากแม้ไม่มีการสงครามรุนแรงออกมา แต่ก็เต็มไปด้วยความหวาดระแวง การสร้างสถานการณ์ การสร้างและคาดเดาความลับของอีกฝ่าย ทำให้การรุกรานเปลี่ยนจากการส่งกำลังทหารหรือยุทโธปกรณ์เข้าคุกคามโดยตรง มาเป็นการส่งสายลับเข้าไปแอบแฝงเพื่อสืบทราบความลับของอีกฝ่าย จึงมีทั้งสายลับและหน่วยล่าสายลับจำนวนมากในแต่ละประเทศ สายลับบางคนไม่เคยถูกจับได้ว่าเป็นสายลับ บ้างถูกเข้าใจผิด และสายลับที่ถูกจับได้ก็มีมาก ในช่วงเวลาแห่งความคุกรุ่นและหวาดระแวง แต่ละประเทศแต่ละกรณีมีการจัดการกับสายลับแต่ละกรณีต่างกันไป เรื่องราวนี้เกี่ยวกับส่วนหนึ่งในนั้น... หนึ่งคนเป็นสายลับ อีกหนึ่งเป็นทนาย ที่อำนาจส่วนหนึ่งในการชี้เป็นชี้ตายชะตาชีวิตของอีกคนหนึ่งตกอยู่กับเขา และอาจไม่ใช่ชะตาชีวิตของคนๆเดียว...

[ภาพยนตร์] THE BIG SHORT เกมฉวยโอกาสรวย : เงินตรา คุณ(มูล)ค่า ขื่นขำ ลึกลับ ขวัญสยอง


THE BIG SHORT เป็นหนังตลก

อย่างน้อยในสายตาของผู้จัดการประกวดรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 73 ล่ะนะครับ (ซึ่ง THE MARTIAN ก็ตลกพอที่จะมาชิงในประเภทหนัง เพลง/ตลก ยอดเยี่ยม ในสายตาของผู้จัดด้วย และได้คว้ารางวัลนี้ไป ซึ่งจะว่าดีก็ดี แต่มันก็... เอ๊ะ รึ THE MARTIAN เข้าชิงเพราะเป็นหนังเพลงฟร่ะ?! ไม่ใช่หรอกมัง แม้ว่าเพลงจะมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้โขอยู่ (กับทั้งการที่ทำให้มันตลก และเป็นเสมือนปัจจัยในการเอาชีวิตรอด (ซึ่งอาจไม่ตลกขนาดนั้น)) ก็อย่าไปอะไรมากครับ ติดตามกันหนุกๆพอตื่นเต้นๆ)

จริงๆจะว่าไป มันก็ตลก แม้จะเป็นตลกแบบออกจะเสียดสี จิกกัด และไฮเปอร์ๆ ทั้งผู้กำกับ อดัม แม็คเคย์ ก็เป็นผู้กำกับสายหนังตลกอย่าง ANCHORMAN มาก่อน ซึ่งทีแรกหลายคนพอรู้ว่าแกจะมากำกับหนังที่ดูไม่น่าจะตลกแต่น่าจะซีเรียสมากกว่า อย่างเรื่องในแวดวงการเงินตลาดหุ้น ก็อาจจะมีคำถามว่าแกจะทำมันออกมาอีท่าไหน จะรอดไหม แต่เอาเข้าจริงผลที่ออกมาเราก็พบว่าแกก็ยังตลกได้ ทั้งๆที่มันออกจะซีเรียส(ด้วย) และหนังก็ออกมาเข้าท่า ดี เจ๋ง คูล ในแบบของมันทีเดียว

แต่มันก็ไม่ได้เป็นแค่หนังตลก

THE BIG SHORT เป็นหนังที่ควรเตรียมตัวก่อนไปดูกันอยู่ซักหน่อย ซึ่งอาจจะต้องเตรียมตัวไปมากกว่าหนังอย่าง STEVE JOBS ซะอีก เนื่องจากมันเกี่ยวกับเรื่องของ ตลาดเงิน ตลาดการลงทุน ตลาดหุ้น อะไรเทือกนั้น แม้ว่าในหนังจะเต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย การยิงรัวๆๆๆ และบทสนทนาไฟแล่บ (และตัวละครไฮเปอร์) เหมือนกัน แต่ในขณะที่เราอาจไม่รู้จัก STEVE JOBS มากนัก ถ้าฟังหรือตามหนังทัน เราก็ยังได้รู้อะไรๆหลายๆเรื่องที่หนังบอกมาและเข้าใจหรือติดตามหนังไปได้พอสมควร แต่กับ THE BIG SHORT เราไม่ต้องรู้จักตัวละครสำคัญซักคนในหนังไปก่อนเลยก็ได้ แต่เราควรจะรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับศัพท์ตลาดการลงทุน (แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องหรือข้องแวะกับเหล่านั้นนักก็ตาม) อย่างเช่น พันธบัตร อนุพันธ์ การซื้อขายล่วงหน้า การชอร์ต (แต่อันนี้จริงๆหนังก็อธิบายให้ ซึ่งก็โอเค - ถ้าตามและฟังทัน คือพอถึงตรงนี้แล้วไม่มึนกับเรื่องอื่นๆอยู่จนกรูไม่ไหวแล้ว ก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก) ฯลฯ อะไรทำนองนี้ คือรู้นิดๆหน่อยๆก็จะพอไหวแล้ว ที่เหลือรู้มั่งไม่รู้มั่งก็ช่างมัน (ผมเองก็จัดอยู่ในประเภทนี้) เพราะหนังก็ไม่ได้จะมาทำท่าเป็นหนังตำราตลาดทุนอย่างเดียว มีเรื่องราวอื่นให้ติดตาม แต่ถ้าไม่รู้เลย... (คาดว่าน่าจะ) ตรายแน่...

เงิน น่าจะถือเป็นนวัตกรรมและสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งที่มนุษย์เคยสร้าง(หรืออุปโลกน์?)ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน มันทำให้เกิดความสะดวกและความเป็นไปได้อีกมากมายในอะไรๆหลายอย่างที่ใช้ขับเคลื่อนโลกนี้มาตลอด ขณะเดียวกันเมื่อมันเพิ่มความซับซ้อนรายรอบเข้ามาเรื่อยๆ มันก็กลายเป็นสิ่งที่เรารู้จักกันดีแต่ก็เหมือนไม่รู้จัก เหมือนจะเข้าใจแต่ก็เหมือนไม่เข้าใจ (แต่มีในมือก็ดี เวร) ในทางหนึ่ง มันก็เลยเป็นสิ่งลึกลับ ชนิดที่ไปดูสารคดี MONEY & LIFE มา ก็ไม่เห็นจะเข้าใจมันมากขึ้น (เท่าที่อยากจะเข้าใจ) เท่าไหร่ และเมื่อเวลาผันผ่านวิวัฒนาการ(ที่ไม่แน่ว่านำไปสู่(สิ่งพิกลพิการ?)อะไร) อันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของมูลค่า หรือเงิน ภายใต้ทุนนิยม เสรีนิยม หรืออะไรก็ดี ในขณะที่ด้านหนึ่งมัน(เหมือน)พร้อมจะทำให้การหาทุนเป็นไปได้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ เทคโนโลยี งาน หรืออื่นๆๆๆ โดยมีช่องทางมากขึ้น ขณะเดียวกันมันก็ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนสับสนงุนงงลึกลับที่เกี่ยวเนื่องกับมันซ้อนทับขึ้นไปเรื่อยๆได้ด้วย

มาถึงตรงนี้แล้วก็ยังไม่เห็นจะเกี่ยวกับเรื่องหนัง THE BIG SHORT มากเท่าไหร่ เพราะงั้นเรื่องเงิน(และการพล่ามบร้าอะไรของมัน)เราจะเอาไว้แค่นี้ก่อน ต่อไปเราไปเข้าเรื่องแตะๆเรื่องของหนังบ้างดีกว่า

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] GOOSEBUMPS คืนอัศจรรย์ขนหัวลุก : (แม้)ขนหัว(ไม่ค่อย)ลุก (แต่)หนุกหนานดี


หนุ่มขี้เหงา กับสาวข้างบ้าน และป๋าแว่นลึกลับ กับเพื่อนไฮเปอร์ ผจญเหล่าภูตผีสัตว์ประหลาด ดูตัวอย่างหนังแล้วชอบก็ไปดูได้ ชอบ แจ็ค แบล็ค ก็ไปดูได้ เคยอ่าน GOOSEBUMPS ก็น่าจะไปดูได้ (พอดีว่าไม่เคยอ่าน) ชอบหนุ่มขี้เหงา ชอบสาวข้างบ้าน ชอบเพื่อนไฮเปอร์ ก็ไปดูได้ ดูตัวอย่างหนังแล้วนึกถึงหนังดังบางเรื่องสมัยก่อนก็ไปดูได้ หนังไม่ได้ตั้งใจน่ากลัวมีหยอดไว้เป็นพักๆ เน้นเพี้ยนนิดๆ ฮาๆ สนุกสนานมากกว่า หนุกกำลังดี 7.4 คะแนน

แม้จะมีที่มาจากวรรณกรรมสำหรับเด็กชุด GOOSEBUMPS แต่ในหนังดูเหมือนจะไม่ได้เอาเนื้อเรื่องจากตอนไหนมาสร้างเป็นพิเศษ แต่ไหนๆออกมาก็หลายตอนหลายเล่มเอามันมายำกันเสียเลย เราเลยได้เห็น แจ็ค แบล็ค พ่อหนุ่มฮาไฮเปอร์ขมองอิ่มของเราแสดงเป็น อาร์.แอล.สไตน์ คนเขียน (ที่หน้าไม่เห็นจะเหมือนตัวจริงเลยแฮะ - ลองไปค้นดูกันเองนะ) ที่ให้บังเอิญว่ามามีนิวาสสถานอยู่ข้างพ่อหนุ่มย้ายจากเมืองมาเพราะมารดาจะมารับตำแหน่งที่เมืองนี้ ระหว่างปรับตัวและหาเพื่อนใหม่ และเจอเพื่อนเพี้ยนๆไฮเปอร์ๆเข้า(แค่)หนึ่งคน พ่อหนุ่มก็ได้เจอะกับสาว(แหงล่ะว่าต้องน่ารัก)ข้างบ้านเข้า ชีวิตช่างดูสวยหวานซะแล้วซิ แต่! ช้าก่อน ทำไมคุณป๋าของเธอจึงดูกีดกันและเกลียดชังเขานัก ไม่อยากให้เห็นกระทั่งหน้าต่างบ้าน ทำไมแกหวงลูกสาวขนาดนี้?! มีอะไรที่เขาไม่รู้ไหมเนี่ย?! (ไม่รู้ก็ไปดูตัวอย่างหนังเอา ไม่อยากรู้แต่อยากดูก็ดูไปเลย)

แน่นอนล่ะครับว่ามันก็ถึงตาเพื่อนพ้องหาเรื่องเข้าซักอย่่าง และภูตผีปีศาจสัตว์ประหลาดจะได้เฮโลกันออกมาอาละวาด (คงไม่ถือว่าสปอยล์นะ ตัวอย่างหนังรึจะโปสเตอร์ก็สปอยล์ไปหมดแล้ว...) อย่างที่เรารอคอย (อ่าว เหรอ!) จริงๆแม้ว่าเนื้อเรื่องแบบนี้อาจไม่ถือว่าพิสดารอะไรนัก (โดยเฉพาะกับเดี๋ยวนี้) แต่ว่านักแสดงทั้งหมดก็ถือว่าเลือกมากะเอาใจกลุ่มเป้าหมาย ดูซื่อๆนิดๆบ๊องๆกล้าๆหน่อยๆ มีเสน่ห์ของแต่ละคนพอตัวเลย และเล่าเรื่องให้เราค่อยๆติดตามดูเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นได้น่าสนใจดี กับการหยอดโน่นหยอดนี่ไว้เป็นระยะๆ โดยอาจมีดราม่าเคลือบเป็นฉากหลังไว้บางๆ อย่างเรื่องราวของการเติบโตการปรับตัวกับสถานที่ระหว่างแม่กับลูกกับเพื่อนใหม่กับความคิดของตัวเองไป วัยรุ่นซะจริงๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ถ่ายทอดออกมาแบบสดใสซะมาก (แต่ว่าก็แอบมีดราม่าในการเข้าสังคมไว้หน่อยๆล่ะนะ)

ในที่นี้ แจ็ค แบล็ค จึงดูเหมือนตัวละครแปลกปลอมที่ลึกลับไฮเปอร์ไม่น่าไว้ใจที่มาขัดบรรยากาศสดใสไม่ให้มันรื่นเริงแฮปปี้เกินไป (เหรอ?) ซึ่งแม้แกจะไม่ได้มาเล่นร้ายใหญ่โตอะไร ติดจะเพี้ยนๆซะมากกว่า แต่บทไฮเปอร์เพี้ยนๆแบบนี้ก็ดูเข้ากับพี่แกเป็นอย่างดียิ่ง

[ภาพยนตร์] THE DRESSMAKER แค้นลั่น ปังเวอร์ : ความลับในเมืองเล็กและการกลับมาของช่างเสื้อนางพญา สมราคาโดย เคต วินสเล็ต


หนังออสเตรเลียแปลกรสแปลกสไตล์ไปจากอารมณ์ทั่วไปของหนังฮอลลีวู้ด แม้ไม่ได้แปลกออกไปมาก แต่ก็รสชาติดี มีสไตล์ จะว่าได้ตามโปสเตอร์ก็ว่าได้ พร้อมด้วยการแสดงสมราคาจาก เคต วินสเล็ต ถ้าเป็นแฟนเคต ดูเคตคนเดียวก็ยังคุ้ม 8.0 คะแนน

หนังเล่าเรื่องของเมืองเล็กๆชายขอบแห่งหนึ่ง ซึ่งการกลับมาของผู้หญิงคนหนึ่งส่งผลสะเทือนอย่างเงียบๆ แต่แน่นอนกับทั้งคนเก่าคนแก่ หรือคนในรุ่นราวเดียวกับเธอ ในเมืองเล็กๆที่ทุกคนดูจะรู้จักกันหมด และรู้อะไรๆแต่ปกปิดไว้มากมาย เมืองที่ดูมีทั้งคนเพี้ยนๆและคนดีๆ แต่ทุกคนก็ดูเหมือนจะระวังระไวกับการคืนถิ่นของหญิงผู้นี้ หญิงช่างเสื้อที่ดูเหมือนทั้งเรื่องราวหนหลัง การกลับมา และฝีมือของเธอดูจะส่งผลสะเทือนกับชุมชนเล็กๆแห่งนี้ ไม่เว้นกระทั่งผู้ที่เธอเรียกว่าเป็นแม่ ที่ดูจะไม่ยินดีกับการกลับมาของเธอเลย อะไรกันที่เคยเกิดขึ้นในที่แห่งนี้?...

เมื่อดูไปแรกๆหนังเรื่องนี้นำเสนออกมาเหมือนมีความเซอร์เรียลพอสมควรจากจังหวะชีวิตแปลกๆ และจังหวะประหลาดๆหลายๆอย่างของผู้คนในเมืองนี้ (ที่บางทีก็น่ากลัว บางทีก็ตลก) ให้ความอึมครึมๆและเพี้ยนๆ แม้ว่าจะเริ่มด้วยจังหวะที่ดูเนิบช้าไปบ้าง แต่เมื่อเรื่องค่อยๆดำเนินไปพร้อมเผยให้เห็นความลับไปเรื่อยๆ ดูเหมือนหนังก็จะสามารถแสดงให้เห็นถึงสไตล์และจังหวะของตัวเองได้ประมาณหนึ่ง ซึ่งแม้อาจไม่จัดจ้านที่สุด แต่ก็มีรสชาติดีไม่เลว ทำให้คนที่คลิกแล้วน่าจะสามารถติดตามหนังได้อย่างเพลิดเพลินและอยากรู้ว่าตัวละครจะทำอะไร หรือเรื่องจะดำเนินต่อไปอย่างไร โดยที่ความเพี้ยนเหล่านั้นก็ไม่ได้ไปขัดกับจุดที่เคร่งเครียดของหนัง

ในด้านเนื้อเรื่อง ในขณะที่นำเสนอผู้คนในเมืองเล็กพร้อมไปกับนางเอกช่างเสื้อที่เข้ามาในเมืองและดูจะไม่เป็นที่ต้อนรับ ซึ่งต้องการกลับมาโดยมีจุดประสงค์บางอย่าง และต้องต่อสู้กับการไม่นำพาของคนอื่นๆในชุมชน และดูเหมือนกระทั่งแม่ของเธอด้วยทั้งใจ กาย และฝีมือของเธอ ระหว่างที่เราติดตามปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนโน้นคนนี้ในชุมชนไป มันก็ค่อยๆเผยบางอย่างเบื้องหลังเรื่องราวเหล่านี้ไปพร้อมกันด้วย ดูเหมือนในเมืองเล็กๆจะมีบรรยากาศคุกคามและกฎของมันที่แม้ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ทุกคนกับรับรู้ว่ามันมีอยู่ และบางคนก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แม้ว่าบางครั้งแต่ละคนอาจไม่ได้เห็นพ้องหรือเห็นด้วยกับคนอื่นไปซะหมด และในความที่เป็นเมืองเล็กที่ทุกคนเห็นหน้ากันความอึดอัดคับข้องบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นก็อาจต้องต่อกรกับการถูกกดไว้เงียบๆ และมันก็มีบางอย่างที่ดูเหมือนทุกคนจะมีพันธสัญญากันอย่างลับๆ

[ภาพยนตร์] WHITE GOD สี่ขา ล่าปิดเมือง : ในเมืองซึ่งข้าอาศัย


เป็นเรื่องที่ดูแล้วทำให้นึกถึงหลายอย่างมากครับ การ์ตูน ไอเขี้ยวเงิน, ต้องรอด, บากิ หนังอย่าง 28 DAYS LATER, AMORES PERROS, HALOWEEN ปน RE-ANIMATORS หน่อยๆ (ทำไมฟระ??!!!) ซึ่งมันไม่ใช่ว่าเหมือนหนังทั้งหมดนี้มาปนๆกันนะครับ แต่มีบางอย่างในบรรดาเหล่านี้ที่ดูหนังเรื่อง WHITE GOD ทำให้ดูแล้วนึกไปถึง ถ้าเอาเสี้ยวของอะไรที่ว่าๆมา(แค่เสี้ยวเองเรอะ? ครับแค่เสี้ยวๆครับ)ไปรวมกับตัวอย่างหนังแล้วทำท่าว่าน่าจะสนใจหนังฮังการีเรื่องนี้ ก็ลองไปหาดูกันได้ครับ คิดว่าไม่น่าจะผิดหวังกันนะ 8.1 คะแนน


สาวน้อยชื่อลีลี่ พร้อมสุนัขตัวโปรดฮาเก้น มีความจำเป็นให้ต้องไปพักอาศัยอยู่กับพ่อของเธอชั่วระยะหนึ่ง ในขณะที่ความสัมพันธ์กับลีลี่กับพ่อดูจะมีความขัดเคืองระหว่างกันอยู่ ลีลี่ก็ดูจะมีใจผูกพันกับสุนัขตัวเก่งของเธอมาก แต่ในขณะที่พ่อของเธอไม่ได้รักชอบมันเท่าเธอ และชีวิตก็ไม่ได้สุขสบาย ในฮังการีกลับมีการประกาศกฎในการควบคุมสุนัขให้สุนัข ให้มีการลงทะเบียน และมีภาระภาษีเพิ่ม ฮาเก้นถูกเอาไปปล่อย เป็นเหตุให้เกิดความขัดเคืองใจระหว่างลีลี่กับพ่อ ฮาเก้นต้องเผชิญกับอันตรายมากมายใน'เมือง' ขณะที่คลาดกับลีลี่ซึ่งออกตามหาเพื่อจะได้เจอกับฮาเก้น จนในท้ายที่สุดเมื่อต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่กักกัน มีเหตุให้สุนัขในสถานกักกันเรือนร้อยหลุดออกมาในเมือง จะเป็นอย่างไร? สุดท้ายลีลี่จะยังได้พบกับฮาเก้นหรือไม่?

ความจริงดูพลอตและบรรยากาศคร่าวๆแล้ว พลอตของ WHITE GOD ก็อาจไม่หนีพลอตของหนังเกรด B เท่าไหร่ (แม้ว่าเทียบแบบนี้จะดูไม่ยุติธรรมนัก เพราะหนังเกรด B ที่พูดกันบ่อยๆนี่ ยึดบรรทัดฐานของหนังในฮอลลีวู้ด (หรือก็คือ หนังจากอเมริกา) ซึ่งมีทุนน้อย และบางทีก็เน้นพลอตแปลกๆสุดๆอยู่พอประมาณ(ว่าไปหนังใหญ่ฮอลลีวู้ดหลายเรื่องก็เน้นพลอตสุดเหมือนกันไม่ใช่เรอะ?) และถ้าจะต้องเทียบกันแบบนี้ ทุนสร้างของ WHITE GOD ก็อาจไม่หนีหนังเกรด B ของฮอลลีวู้ดนักก็ได้ ซึ่ง ประเทศที่ลงทุนในหนังหนึ่งเรื่องได้มหาศาลขนาดนั้นเพราะมีตลาดใหญ่มากและขายได้ในตลาดโลกด้วยมันมีอยู่ไม่กี่ประเทศหรอก) เพียงแต่ว่า WHITE GOD นั้นชัดเจนในประเด็นของตัวเองมาก และสิ่งที่ทำให้ WHITE GOD หลุดจากภาพลักษณ์ของหนังเกรด B มาได้เป็นช่วงตัวอยู่ก็เพราะการที่ WHITE GOD รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้แค่ไหน แน่นอนว่านี่ไม่ใช่หนังไดโนเสาร์คืนชีพที่ตั้งคำถามกับความทะเยอทะยานของมนุษย์ทุนหนาหนัก มันจึงคงไม่มีฉากไดโนเสาร์แหกกรงมาแยกเขี้ยวคำรามกลางสายฝนคอดคูลให้เราเห็น สิ่งที่เราเห็นก็เป็นเพียง สุนัข คลั่ง แต่ด้วยความที่รู้ว่าตัวเองมีอะไรแค่ไหน อะไรที่ทำท่าว่าจะยากเยอะ ใหญ่ เกินไป ก็ไม่ต้องไปทำแล้วเอากับแค่ที่มีอยู่ให้ได้ ให้ดี จะด้วยทั้งมุมกล้อง การตัดต่อ การแสดง มันจึงไม่มีฉากไหนใน WHITE GOD ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเอ็งไปไกลละ แต่เอ็งไกลไม่พอทุนไม่ถึงจึงกลายเป็นฉากกิ๊กๆก๊อกๆให้ได้รู้สึก (แน่นอนว่าเราไม่นับหนังที่กลายเป็นคัลท์เพราะตั้งใจมากๆแม้จะรู้ว่าตัวเองกิ๊กก๊อก หรือตั้งใจกิ๊กก๊อกให้มันสุดๆไปเลย จนกลายเป็นจุดเด่นขึ้นมา แบบนี้เป็นต้น) WHITE GOD จึงจับอารมณ์ขึงขังจริงจังของเรื่องราวที่มันต้องการบอกเล่าได้พอตัวเลยทีเดียว อย่างที่ว่าบรรยากาศบางช่วงก็ทำได้ดี นึกไปถึงอะไรนิดๆหน่อยๆจากย่อหน้าแรกที่ว่ามาเลย

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] TANGERINE แทนเจอรีน : มหากาพย์ตามล่าล้างบางอีนางบิชทั่วหล้าตามล่าความฝันสุดพรรณาของสองนางแห่งแอลเอ


แซ่บสุดหล้า บร้าสลัด ประดุจพายุพัด สาดกันไฟแล่บ เรื่องชิหายวายป่วง ควงแขนผจญ เผชิญโลกอกตรม นางขอสู้ต๊าย!!!! เนื่องในโอกาสที่ CTW ได้ขยายรอบเพิ่มให้ได้ชมกันต่ออีกในช่วงตรุษจีนพอดี (แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับตรุษจีนเลยนะ) ก็ลองไปดูไปชมกันเถิด 8.8 คะแนน  (เฉพาะความมันส์แซ่บบร้าอาจจะทะลุเพดาน)


ทีแรกพอรู้ชื่อหนัง กับตอนดูไปหน่อยๆกะจะสร้อยว่า คุณชอบส้มหวาน หรือส้มเปรี้ยว อะไรแบบนี้ แต่พอดูหนังจบ ก็เปลี่ยนดีกว่า เพราะสร้อยแบบนั้นมันนิ่งไปไม่เข้ากับอารมณ์หนังเลย เอาจริงๆหนังเรื่องนี้ก็มีชื่อเสียงประการหนึ่งแล้วกับการที่มันถ่ายทำด้วย iPhone 5s ทั้งเรื่อง แต่ต่อให้ไม่ต้องไปสนคุณสมบัติที่ว่านั้น นี่ก็เป็นหนังที่ชิหายได้ใจ (ไม่แพ้ MAD MAX ?!!!! หรือในบางแง่อาจจะวายป่วงมากกว่า...) และแซ่บเหลือหลายอยู่ดี แม้จะ แรงส์(สลัด) แซ่บ เถื่อน คลั่ง บร้า ชิหาย วอดวาย เฮี้ยน ขนาดนี้ มันก็ยังบวกมิตรภาพ และความเศร้า และรวดร้าว เอาไว้เมื่อถึงเวลาของมัน...

และแม้มันจะประกอบด้วยเรื่องที่ดูเพี้ยนคลั่งและเลยเถิดมากมาย แต่ในบางแง่มันก็ประกอบด้วยเรื่องจริง และความรู้สึกจริงๆอย่างน่าประหลาด

จริงๆไม่ต้องดูตัวอย่างหนัง หรือไม่ต้องรู้เรื่องอะไรในหนังเลยก็ได้ ผู้สนใจควรไปลองชมซักที

ก็อยากพูดยาวกว่านี้ แต่กลัวว่าบรรยายอะไรไปก็จะไม่สาสม เอาแค่นี้พอ 

(ก่อน)

ส่วนที่บรรยายประโยคเดียวจบเลยได้ไหม?... ก็ยังทำไม่ได้...ช่างมัน...

คำเตือน : ผู้ระคายหูคำผรุสวาท และกิจกรรมอันเกี่ยวเนื่องกับคำผรุสวาท หรือไม่แน่ใจว่าจะชอบอะไรที่เลยเถิดไปจากชีวิตประจำวันสงบสุขและสุภาพได้มากนักควรพิจารณาให้ดีก่อนเข้าชม แต่ถ้าเข้าไปชมแล้ว ก็ชมให้จบเถอะ

ความจริงใครชอบหนังสไตล์ทารันติโน่ก็ถือว่าลองไปชมได้นะ แม้มันจะไม่ได้ดูทารันติโน่ก็ตาม



นึกถึง

ดูจบปั๊บอยากกินโดนัทซะงั้น เลยลงมาซื้อโดนัทถือติดมือไปกินก่อนกลับ ที่ MISTER DONUT ชั้น 6 CTW เสียเลย... อืม...










ส่วนอะไรที่ 'แซ่บ' พอกับหนังเรื่องนี้ เอาจริงๆคือนึกไม่ออกเท่าไหร่ (คือ ที่ไม่อ่าน ไม่ดู ไม่รู้อะไรเลย (นอกจากโปสเตอร์ และว่าหนังถ่ายด้วย iPhone 5s ทั้งเรื่อง และติดลิสต์หนังเยี่ยมของหลายลิสต์) แล้วไปเจอเอาเองบนจอนี่ก็ถือว่าเซอไพรส์มากแล้ว) แต่ถ้าจะต้องนึกไปถึงหนังให้ได้ซักเรื่องดูบ้างจริงๆ อืม นึกเร็วๆ เอาเป็น SPRING BREAKERS ละกัน แม้ว่าความจริงหนังเรื่องนี้ก็จะแรงส์ และจัดจ้านเหมือนกัน แต่จริงๆก็รู้สึกว่าหลายอย่างก็ต่างกันอยู่ (ไม่นับเรื่องบิกินี่) แม้ SPRING BREAKERS โปสเตอร์จะดูสดใสกว่า (?) แต่คิดว่า SPRING BREAKERS ดูยากกว่า และยึดสไตล์บางอย่างเป็นแกนมากกว่า ขณะเดียวกันรู้สึกว่า TANGERINE บันเทิงกว่า (!? แต่จริง) อืม...แต่มันไม่ใช่ความบันเทิงอย่างการเห็นไดโนเสาร์อาละวาดรึรถเหาะข้ามตึกนะ มันเหมือนการเห็นความชิหายวายป่วงที่เราก็ไม่รู้จะขื่นจะขำหรือจะทำยังไงกับมันดี หลายครั้งเหมือนเอาเรื่องเวรกรรมที่เคยเกิดมาเล่ากันทีหลังแล้วเราก็รู้สึกว่ามันตลก ถ้าไม่ต้องกลับไปอยู่ตรงนั้นอีก และเรื่องของเราเองอาจไม่ใช่เรื่องบ้าชิหายอย่างใน TANGERINE เท่านั้นเอง เพราะงั้นจะตัดสินว่าเรื่องไหนเป็นยังไง อะไรจริงกว่า บ้ากว่า ชิหายกว่า เศร้ากว่า มันส์กว่า ก็ตอบไม่ได้ (และบางแง่ก็ไม่กล้าตอบ) เพราะไม่ได้เป็นเรื่องที่เรามีโอกาสสัมผัสประสบการณ์จริงๆหรือคิดว่าเข้าใจ(จริงๆ)ทั้งคู่

ไว้จะเขียนอะไรเพิ่มจะมาต่อท้ายไว้ละกัน ตอนนี้รีบเขียนรีบปล่อยไว้ รีบไปดูกันไปพลางๆก่อนนะ