วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] CAPTAIN AMERICA - CIVIL WAR กัปตันอเมริกา - ศึกฮีโร่ระห่ำโลก : ยกพวกฟัด บาดหมางเหล่าฮีโร่



ก็ต้องยอมรับว่าพี่น้องรุสโซ่นั้นสามารถนำพาเอารสชาติของความเข้มข้นขึงขังเข้ามาใส่ให้กัปตันอเมริกาได้จริงๆ ซึ่งทำให้ภาคก่อนของกัปตันอเมริกาอย่าง WINTER SOLDIER นั้นมีรสชาติเฉพาะตัวแตกต่างไปจากหนังมาเวลอื่นๆได้น่าสนใจดีเหมือนกัน ขนาดที่ว่าผมอาจไม่ได้เคลิ้มไปกับเนื้อเรื่องทั้งหมด อารมณ์เข้มข้นแบบมีส่วนผสมของการเมือง(ในหนัง-ที่ก็ไม่ได้เคลิ้มไปทั้งหมด) ก็ยังทำให้รู้สึกสนุกไปกับหนังมีทั้งความเอนเตอร์เทนและกดดันได้อย่างสนุก และทำไปทำมาก็ถือว่าดันลุคอเมริกาให้ขึ้นมามีบทบาทสูงขึ้นเพื่อมาเคียงบ่ากับไอรอนแมนได้อย่างน่าสนใจ

ก็ไม่รู้ว่ามาเวลวางแผนไว้เสียดิบดีขนาดนี้ตั้งแต่แรกหรือเปล่า? แต่เอาเป็นว่ายังไงวางแผนไว้ดีแค่ไหน คนทำทำออกมาไม่เวิร์คมันก็หมดท่าได้เหมือนกัน เพราะงั้นจากผลลัพธ์ที่ออกมาสองพี่น้อง โจ แอนด์ แอนโทนี่ รุสโซ่ ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ใช่สำหรับจักรวาลมาเวลเลยทีเดียว

 ก่อนหน้านั้นคนหนึ่งที่ต้องซูฮกในจักรวาลภาพยนตร์มาเวลไว้ ณ ที่นี้ด้วยก็คือ จอส วีดอน ผู้ถูกเลือกให้มากำกับหนังยำรวมมิตรซูเปอร์ฮีโร่เรื่องแรกในอ้อมกอดมาเวล (คือเราข้าม X-MEN ของ FOX ในมือ ไบรอัน ซิงเกอร์ ไปก่อนนะครับ) อย่าง THE AVENGERS ได้ชนิดที่ไม่ยอมให้ใครน้อยหน้าใครได้อย่างสนุกสนานเอนเตอร์เทนเป็นที่ยิ่ง (แถมยังดันโลกิให้ทำไปทำมาจะได้รับความนิยมล้ำหน้า THOR ไปซะอีกมัง? อุ๊บส์! ทั้งๆที่ก็เป็นตัวร้ายสุดจะน่าเตะในเรื่องแท้ๆ - และมาเวลก็ดูจะนำจุดนี้ไปใช้ประโยชน์ต่อได้เป็นอย่างดี THOR : DARK WORLD จึงยังดูสนุกดีนะผมว่า) แม้ว่า ALTRON จะแผ่วไปบ้าง แต่ผมก็ยังคิดว่าเฮีย จอส แกยังกำกับแบ่งบทบาทให้แต่ละตัวละครนำได้ดีอยู่นะครับ อาจจะไปด้อยตรงตังค์ไม่พอบิ๊วด์อัลตรอนให้มันไปไกลกว่านั้นซักหน่อยรึเปล่าก็ไม่รุ?

ตัดกลับมาที่พี่น้องรุสโซ่ที่ครั้งก่อนจริงๆก็ฝากฝีไม้ลายมือไว้ในการเอาตัวละครมาร่วมจอกันก็ใช่น้อยใน WINTER SOLDIER ไปแล้ว พอมาถึง CIVIL WAR ที่เป็นมินิ AVENGERS ดีๆนี่เองล่ะ? (เอาจริงๆ...นับไปนับมาซูเปอร์ฮีโร่ในเรื่องจะเยอะกว่า AVENGERS ซะอีกละมัง...) พี่น้องคู่นี้จะเอาอยู่หรือไม่?!


จริงๆผลลัพธ์ว่าจะอยู่ไม่อยู่หลายคนก็คงได้พิสูจน์ด้วยตาตัวเองในโรงภาพยนตร์ใกล้บ้านท่านบ้างไกลบ้านท่านบ้างไปนานแล้วนะครับ... ซึ่งผมเองก็เหมือนกันแหละ เพราะดูมานานแล้วก็ไม่ได้เขียนซักที (อีกแล้ว...) ซึ่งสำหรับเราเองก็ถือว่า เอาอยู่! แหละนะ

เพราะงั้นก็ไม่พูดเยอะละกัน

ในช่วงแรกๆที่ปูเนื้อเรื่อง CIVIL WAR เลือกหยิบประเด็นที่ดูจะเข้มข้นและส่งผลกระทบในวงกว้างต่อซูเปอร์ฮีโร่มาเล่า (อย่างที่พูดถึงไปแล้วในตอนพล่ามถึง BvS) ในช่วงนี้เรื่องดูจะอยู่ในโทนที่ค่อนข้างเคร่งขรึมและเคร่งเครียด จริงๆคิดว่าส่วนนี้ปูเรื่องได้ดี การเล่าอยู่ในโทนกดดันได้ดี จนดูไปจุดหนึ่งเราก็รู้สึกขึ้นมานิดหน่อยว่าหรือนี่จะเป็นหนังที่ใช้โทนต่างไปจากหนังมาเวล (โดยเฉพาะในช่วงหลังๆ) ที่เน้นความกดดันมากกว่าอารมณ์ขัน แม้จะมีไอรอนแมน และโทนี่ สตาร์ค ก็ตาม แต่ยังไงก็ตามการเล่าเรื่องในส่วนนี้ถือว่าคุมโทนและสร้างความเข้มข้นให้กับเรื่องที่นำไปสู่การเห็นต่างของซูเปอร์ฮีโร่ได้ดี จนเราก็กลับไปนึกถึงโทนของ WINTER SOLDIER พยายามๆนึกๆดูว่ามันก็มีอารมณ์โทนนี้เหมือนกัน

ต่อมาเมื่อเริ่มมีซีนที่ผสมอารมณ์ขันเข้ามา ทีแรกเราก็ดันกลายเป็น(แว่บ)ไม่แน่(ใน)ใจแทนว่าพอสลับโหมดมาขำๆกันแบบนี้แล้ว พี่น้องรุสโซ่จะเอาอยู่เหมือนช่วงที่โทนเข้มข้นจริงจังก่อนหน้านี้ไหม?! หรือมันจะหลุดดทนไปไหม

แต่ด้วยคาแรคเตอร์ที่สร้างมาแข็งแรงใช่ย่อย กลายเป็นว่าอารมณ์ขันก็เป็นไปตามบุลลิกคาแรคเตอร์ของตัวละครใช้ได้เลย อารมณ์ขันที่ใส่เข้ามาในช่วงต่อมาจึงไปกันกับเรื่องได้ดี แม้ว่าโทนส่วนนี้อาจไม่เห็นชัดตำตาเท่าหนังมาเวลหลายๆเรื่องก็ตาม ก็ถือว่าพี่น้องรุสโซ่เล่นกับส่วนอารมณ์ขันได้ดีทีเดียว

กลายเป็นว่าเมื่อมีการเล่าเรื่องส่วนของคาแรกเตอร์อื่นๆเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ ทั้งตัวละครใหม่ตัวละครเก่า ไปถึงจุดหนึ่งเราก็พบว่าเราคงต้องนับถือการโยงใยเรื่องราวและตัวละครของมาเวลอีกครั้งว่าไม่พลาด และพี่น้องรุสโซ่ก็โชว์ฝีมือให้เห็นว่าแม้จะต้องเล่าเรื่องราวของหลากหลายคาแรคเตอร์ขนานกันไปนั้น เขาก็ยังเอาอยู่แถมยังรักษาโทนเข้มข้นจริงจังไปกับอารมณ์ขันที่โปรยมาเป็นระยะๆได้ดีเหลือเชื่อ ขณะที่ก็ยังรักษาน้ำหนักของคาแรคเตอร์นำอย่างกัปตันอเมริกา รวมถึงตัวละครสำคัญอย่างไอรอนแมน หรือแบล็ควิโดว์ไว้ได้ และเรื่องราวก็ยังเดินหน้าขับเคลื่อนเชื่อมโยงคาแรคเตอร์ทั้งหมดและวางปมไปสู่เรื่องราวต่อไปได้อย่างดี

อีกอย่างที่ต้องนับถือเลยนอกจากเรื่องของการแบ่งบทบาทให้แต่ละตัวละครแล้ว คือฉากแอ็คชั่นในภาคนี้ที่ชอบมากๆ คิดว่าฉากแอ็คชั่นออกแบบมาดีมาก โชว์ความสามารถของแต่ละซูเปอร์ฮีโร่ได้ดี ทุกซีนของทุกๆตัวละครให้การต่อสู้ที่ดูทั้งมีลูกเล่นและสมจริงแม้จะเป็นฉากเล็กๆน้อยๆก็ตาม ดูสนุก ยิ่งในตอนหลังที่ซูเปอร์ฮีโร่ยกทีมตะลุมบอนกัน แม้จะมีเวลาไม่มากในการโชว์แอ็คชั่น (แต่จริงๆตามเวลาก็คงมากแล้วแหละ แต่มันหลายตัวไง) แต่ก็ยังสามารถนำจุดเด่นของแต่ละตัวละครมาเล่าได้ชัดเจน เห็นภาพ แถมยังร้อยเรียงได้สนุกและต่อเนื่อง มาเวลยังเล่นใหญ่ในส่วนนี้โดยการเปิดตัวคาแรคเตอร์เป็นชุด รวมถึงไปพูดคุยทำข้อตกลงนำสมบัติสุดล้ำค่าอย่างสไปเดอร์แมนมาร่วมจักรวาล (พร้อมประกาศรีบู๊ทใหม่...อีกแหล่ว... อย่าเพิ่งไปเบื่อครับ มองป้าเมย์ไว้ครับ - แม้จะเห็นใจ แอนดรูย์ กาฟิลล์ และคิดถึงเอ็มม่า สโตนก็ตาม T T) จริงๆแล้วพอดูจนจบในส่วนนี้แม้จะดูเป็นส่วนที่เล่นใหญ่และมีฉากแอ็คชั่นซับซ้อนที่สุดในหนัง(เพราะมัน 'เยอะ') ซึ่งก็ยังรู้สึกว่ามันสนุกมาก แต่มันก็เป็นส่วนที่ดูหลุดโทนที่สุด (แถมยังติดจะมีลูกมั่วนิดๆตุงนังหน่อยๆ)ในหนังด้วยถ้าจะว่าไป ยังไงก็ตามอย่างที่บอกว่ามันก็ยังตามคาแรคเตอร์ของแต่ละตัวละครอยู่ จึงยังไม่รู้สึกว่ามันถึงกับหลุด แถมเราก็ดันชอบฟีลแบบนี้หน่อยๆ แบบเซอไพรส์เอาแต่ใจนิดๆมั่วๆโอเว่อหน่อยๆ เพราะงั้นแม้จะนุงนังไปบ้างเราก็ให้อภัยแถมตรงนี้ก็ยังคิดว่าฉากแอ็คชั่นทำได้ดีอย่างที่บอก ถ้านับกันที่ดูเอาหนุก ตรงนี้ถือว่าผ่านเลย โอเค แม้ว่าถ้าคิดจริงจังที่หลัง มันอาจจะให้ภาพซูเปอร์ฮีโร่ในทีมแบบอารมณ์ผิดใจแล้วแอบขัดขากันเวลามันเดินผ่านกันมากกว่าจะซัดกันเอาตายจริงๆอย่างที่คิดเอาเองทีแรก ซึ่ง...อารมณ์ในเรื่องตอนนี้แบบเฉลี่ยๆมันก็เป็นงั้นนี่หว่า? (คือคนที่มาลงสนามก็มาด้วยอารมณ์แตกต่างกันอยู่ประมาณหนึ่ง)

ยังไงซะ เมื่อเนื้อเรื่องดำเนินเข้าสู่ช่วงต่อไป มันก็กลายเป็นว่าฉากตีกันเอาสนุกกันเมื่อกี้เป็นการตีกันเอาสนุกไปจริงๆ เพราะเรื่องจะดำเนินเข้าสู่อารมณ์เคร่งเครียดขึ้น และเจอกับความกดดันมากขึ้น ซึ่งนำพาตัวละครเข้าสู่ความเจ็บปวดจริงๆ... ถือเป็นบทสรุปที่นำไปสู่อีกมหาสงครามในจักรวาลมาเวล INFINITE WAR ได้อย่างเข้มข้น

เพราะงั้นไม่ผิดหวังครับ แม้โทนของหนังรวมๆเมื่อดูจบอาจแปลกๆซักนิด แต่โทนเข้มข้นในตอนเริ่มเรื่อง และโดยเฉพาะตอนท้ายนั้นทำให้มันรักษาน้ำหนักของเรื่องและประเด็นที่ต้องการบอกเล่าไว้ได้ดี ตรงนี้ถือว่าเป็นโทนที่พี่น้องรุสโซ่ทำได้ดี และมีอะไรนิดๆให้รู้สึกหย่อนๆนิดหน่อยเท่านั้น

ถ้าต้องเทียบกับ BvS คิดว่าการร้อยเรียงเรื่องราวใน CIVIL WAR ทำได้ดีกว่า มีที่มีที่ไประโยงระยางแต่ละเรื่องแต่ละประเด็นยิบย่อยแต่ละคาแรคเตอร์เป็นอย่างดี (ก็ BvS เอาเวลาไปสโลว์ซะเยอะ เลยไม่ค่อยมีเวลาเล่า...) แม้ BvS จะเอาโทนขรึมนำและรักษาโทนได้ดีไม่เลว แต่ใน CIVIL WAR ก็ถือว่าส่วนที่เป็นโทนเข้มข้นจริงจังนั้นทำได้ดีมากเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงจบ แต่ก็แปลกที่แม้ CIVIL WAR จะร้อยเรียงเรื่องราวยุ่บยับได้ดีกว่าน่าสนุกน่าติดตาม แต่พอดูไปจนจบกลับรู้สึกว่าประเด็นที่เริ่มไว้แต่แรกอย่าง สถานะของซูเปอร์ฮีโร่ ดูมันจะเจือจางลงไปเหมือนกันเมื่อมาถึงตอนจบแม้จะร้อยเรียงมาได้ดีแล้วก็ตาม อาจจะเพราะแม้จะร้อยเรียงได้ดี แต่มันก็มีเรื่องราวและประเด็นที่จะเล่าของแต่ละส่วนของแต่ละคาแรคเตอร์มากด้วย พลังของเรื่องราวในส่วนนี้จึงถูกลดทอนลงไป แต่ถ้าไม่ถือว่ามันเป็นคอร์ของเรื่องเสียทีเดียวก็ถือว่าทุกอย่างขมวดจบได้ดีอยู่ดี (แต่มันก็จะดูหลุดธีมนิดๆ แถมอย่างที่บอกฉากตะลุมบอนอารมณ์อาจจะดูหลุดสุดมันเลยดูไม่ค่อยพ้องกับชื่อไปนิดๆด้วย) อย่างไรก็ดี ประเด็นเรื่องของซูเปอร์ฮีโร่นั้นถ้ารวมกับประเด็นคล้ายๆกันใน BvS แล้วก็อาจรู้สึกว่ามันจับประเด็นได้ดูจะมั่นกว่า ซึ่งก็อาจเพราะใน BvS มันดูจะเป็นเรื่องระหว่างคน(ซูเปอร์ฮีโร่)2คนซึ่งมำให้มันคุมทิศทางไปจนจบได้ดีกว่า (แล้วพลอตส่วนของวันเดอร์วูเมนก็เลยดูเป็นส่วนเกินอย่างที่ว่า - แต่ก็ตัดไม่ได้นะ) แต่ขณะเดียวกันใน CIVIL WAR ด้วยสถานะของทีม AVENGERS มันจึงดูเกี่ยวข้องกับประเด็นระดับชาติ หรือข้อตกลงระหว่างชาติ หรือในเรื่องของ 'อำนาจทำลายล้าง' (ไม่ว่าจะมีจุดประสงค์เพื่อปกป้องหรือป้องกันหรือไม่ก็ตาม) ที่มีผู้ครอบครองอยู่ (ในที่นี่ก็มองทีม AVENGERS เหมือนหน่วยงานหรือองค์กรหนึ่งที่ถืออำนาจนี้ไว้) ว่ามันควรถูกควบคุมในระดับไหน? จากมุมมองของใคร? ซึ่งถึงจุดนี้จะมองพ้นไปจากเรื่องของซูเปอร์ฮีโร่ไปเป็น 'อำนาจทำลายล้าง' ที่ประเทศหรือองค์กรใดถืออยู่ก็ได้เหมือนกัน

ซึ่งในที่นี้เมื่อซูเปอร์ฮีโร่เป็นทั้งตัวตนและอำนาจนั้นในตัวเอง (ที่หมายถึงว่าถ้าโดนโจมตีตัวเองก็เจ็บเองด้วย) มุมมองที่แตกเป็นสองจึงมาจากระดับหัวๆของทีม AVENGERS ในขณะที่ โทนี่ สตาร์ค อาจพบความสะเทือนใจและความอ่อนไหวในฐานะนักประดิษฐ์ นักธุรกิจที่ต้องเผชิญกับการต่อรองเปลี่ยนแปลงและติดต่อกับหน่วยงานรัฐ นักเคยค้าอาวุธ หรือตัวแบบอะไรบางอย่าง ซึ่งมีบางอย่างใกล้เคียงกับคนของประชาชนอยู่ด้วย มุมมองของเขาก็ออกมาแบบหนึ่ง ส่วนกัปตันฯ ที่ดูจะมีลักษณะผูกติดกับอุดมการณ์มากกว่า ในเวลานี้แม้ไม่ใช่อุดมการณ์ของกองทัพ เขาก็ยังมีอุดมการณ์ของตัวเองที่ต้องยึดถือ มุมมองจึงออกมาอีกแบบนึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกี่ยวกับเรื่องราวของความสัมพันธ์กับเพื่อนเก่า ประเด็นเหล่านี้ถูกเขียนให้มีความเชื่อมโยงกันอย่างดี แต่เมื่อมีเรื่องราวมากมายที่ต้องผูกโยงและเล่าออกมาโดยเฉพาะเป็นเรื่องของปัจเจก ประเด็นเหล่านี้จึงต้องถูกแบ่งความสำคัญไปจนเจือจางลงอยู่เหมือนกัน และในทางหนึ่งก็ยากเหมือนกันที่จะบอกว่าแต่ละฝ่ายทุกๆฝ่ายในเรื่องนี้มีฝ่ายถูกหรือผิดอย่างชัดเจน? จึงนับว่าหนังผูกโยงเรื่อง(ที่ดูทางหนึ่งก็นุงนังเอาการ)ได้ดีในระดับที่น่าพอใจ   

ในส่วนของวายร้าย เมื่อเลือกแบบนี้ก็อดที่จะนึกไปถึงวายร้ายอย่าง เล็กซ์ ลูเธอร์ ไม่ได้ (แต่เราจะไม่เทียบกับโจ๊กเกอร์เลย ยกเขาไว้ละกัน เอาว่าไว้ไปดูใน SUICIDE SQUAD ก่อนละกัน) ด้วยความที่เราไม่ชอบความเป็น เล็กซ์ ลูเธอร์ ใน BvS เพราะมันดูง้องแง้งไปหน่อย (แต่เราไม่มีปัญหากับการแสดงของ เจสซี่ ไอเซนเบิร์ก เท่าไหร่นะ) ตัวละครใน CIVIL WAR จึงดูหนักแน่นกว่า (และเราก็ไม่ค่อยมีปัญหากับแผนการของเขานัก แม้จะมีข้อสงสัยบ้างบางจุด แต่เราไม่ถึงกับรู้สึกว่าเป็นช่องโหว่ที่เป็นไปไม่ได้) ก็ถือว่า CIVIL WAR สร้างแบ็คกราวด์ให้ตัวละครนี้ได้ดี (ไม่งั้นก็อย่างที่ว่า ปล่อยแบ็คกราวด์มันไปแล้วโชว์ความเหนือแบบโจ๊กเกอร์ให้ได้ไปเลย) อันนี้เราโอเค แถมวายร้ายลักษณะนี้เรารู้สึกว่ามันน่าสนใจกว่าวายร้ายในหลายๆฟอร์มน่าสนใจกว่าวายร้ายหลายๆตัวในจักรวาลมาเวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากแอ็คชั่นในช่วงจบถือว่าน่าสะเทือน และแม้ BLACK PANTHER อาจจะดูไม่หวือหวาเท่าหลายๆตัวละครมาเวล แต่การเปิดตัวในที่นี่ กับทั้งฉากแอ็คชั่นและเส้นเรื่องของเขาก็ถือว่ามีน้ำหนักในเรื่องราว

แต่จุดที่อาจเป็นจุดอ่อนอีกจุดที่รู้สึกคือ แม้มันจะร้อยเรียงเรื่องราวได้ดีมากเมื่อคิดว่ามีเรื่องราวและคาแรคเตอร์ขนาดนี้ และสำหรับผมที่ดูหนังมาเวลมาก่อนนี้หมด (น่าจะหมดแหละนะ) แม้ไม่ได้แม่นไรมากก็ยังพอจำที่มาที่ไปแบ็คกราวด์ตัวละครหรืออารมณ์ของตัวละครแต่ละตัวได้ ก็รู้สึกว่ามันเล่าต่อได้ดีและสนุกมากๆ แบบที่เป็นภาคต่อกลายๆจาก AGE OF ALTRON น่ะแหละ แบบที่มันก็พยายามเล่าให้คนที่ดูครั้งแรกก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องได้ แต่ยังไงซะคนที่ดูหรือรู้ความเป็นมาเป็นไปของหนังในจักรวาลมาเวลมาก่อนหน้า เทียบกับที่ไม่ค่อยรู้ไม่ค่อยได้ดู คิดว่าก็น่าจะให้ความสนุกต่างกันเหมือนกัน ยิ่งมีประเด็นเยอะขนาดนี้ คือคนที่เชื่อมเข้ากับคาแรคเตอร์ได้เลยกับคนที่ต้องดูไปก่อนถึงพอจับได้น่าจะสนุกไม่เท่ากันจริงๆ

แต่ยังไงซะ CIVIL WAR สำหรับผมก็ยังถือว่าสนุกมาก แถมเล่าเรื่องหลากหลายตัวละครยุ่บยับได้ชนิดที่ว่าจะมาบอกว่าใส่ตัวละครเยอะๆแล้วมันจะไม่ดีมันจะเละ(แบบมนุษย์พ่นใยภาคหลังสุดของทั้งสองยุคก่อนหน้าเป็นต้น)แบ่งน้ำหนักตัวละครไม่ลงตัวง่ายๆนั้นไม่ได้ง่ายๆซะแล้ว นอกจาก AVENGERS แล้วก็มี CIVIL WAR นี่แหละที่จะยิ้มแสยะเข้าให้ (แต่เพื่อให้ยุติธรรมหนังที่ต้องรับมือกับวายร้ายเด่นๆหลายตัวแล้วเวิร์คก็ออกจะหายากอยู่นะ?) อารมณ์เข้มข้นสร้างโทนแตกต่างจากหนังอื่นๆในจักรวาลมาเวลได้ดี และยังสร้างความสะเทือนใจในหลายซีนสำคัญของหนังอย่างได้ผล เหตุผลการกระทำของแต่ละตัวละครมีที่มาที่ไปร้อยเรียงเรื่องราวได้สนุก ฉากแอ็คชั่นออกแบบได้ยอด แม้จะมีเรื่องราวและตัวละครเยอะ แต่มันก็ยังให้ความรู้สึกว่าเป็นหนังกัปตันอเมริกาอยู่ด้วย ซูฮกแผนมาเวลมากที่คิดและทำได้ขนาดนี้ และพี่น้องรุสโซ่นายแน่มาก แม้จะมีอะไรตกหล่นไปบ้าง(ย้อนไปอ่านด้านบนเอา) แต่ที่ จอส วีดอน แห่ง AVENGERS ส่งไม้ต่อให้นายนั้น เราก็พอจะเข้าใจเขานะ นายทำดีอ่ะ นุงนังไปบ้าง แต่จบดี แถมในฐานะหนังบันเทิงถือว่าเอนเตอร์เทนมั่ก เอาไป 8.5 คะแนน  





ไหนว่าพูดไม่เยอะฟระ...


*เขียนค้างไว้นานจนลืมแล้ว เพิ่งนึกได้...



นึกถึง
เห็นซูเปอร์ฮีโร่แพ็คโหลมาตีกันนุงนังขนาดนี้แล้ว เอาจริงๆนี่ก็ยังนับว่ายังห่างไกลถ้าเราย้อนกลับไปดูต้นฉบับคอมมิค CIVIL WAR ที่(ก็ยังไม่เคยอ่านเอง แต่รู้มาว่า)มีตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ของมาเวลมาปะทะกันระดับเรือนร้อย

ซึ่งเป็นไปไม่น่าจะได้ในโลกแห่ง(การต้องสร้างภาพยนตร์ใน)ความเป็นจริง เพราะ...แค่ค่าตัวดาราก็คงชิหายแหล่ว... (เอ๊ะ! รึเอาคอมพิวเตอร์สร้างหมดจะถูกกว่าฟระ!?)



ปีนี้ก็อย่าเพิ่งคิดว่าหลังจาก พี่ผ้าคลุมฟัดค้างคาว (ดีซี) เกรียนบรรลัยใส่ชุดแดง (มาเวล) และ ฮีโร่ยกพวกฟัด เรื่องนี้ (มาเวล) แถมด้วย วนครบรอบทีมพลังเอ็กซ์ (มาเวล) อีกทั้ง รวมทีม(อีกแล้ว)วายร้ายปะทะโจ๊กเกอร์ (ดีซี - นี่ก็หยวนๆเป็นฮีโร่ล่ะนะ) แล้ว เขาจะปล่อยเรานอนสบายๆรอหนังฮีโร่อีกทีปีต่อไปเลย เพราะปลายปีก็จะยังมีซูเปอร์ฮีโร่ยี่ห้อมาเวล ที่คอนเซ็ฟท์ก็ดูประหลาดแปลกเพื่อนใช่ย่อย (ลองไปหาตัวอย่างหนังดูกันเอง) แถมมีดาราสายหนังรางวัลอย่าง เบเนดิก คัมเบอร์แบช กะ ทิลด้า สวินตัน (ไม่บอกว่าแปลกละกันเพราะหลังๆดาราสายรางวัลก็มาเล่นหนังซูเปอร์ฮีโร่กันเยอะอยู่ - แต่ก็นะ) แถมด้วย ราเชล แม็คอดัมส์(เฮ!) อีกต่างหาก



จริงๆกะจะแปะค่าตัวของเฮียสตาร์คกับพ่อคัปตันไว้ให้ดูเพื่อบิ๊ลด์เรื่องไม่มีทางได้ทำหนังแพ็คร้อยฮีโร่แหงๆ (ข้ามค่ายกันคนละ 4-5 คน ยังพอมีหวังมากกว่า) (แถมบิ๊ลด์เรื่องความไม่เท่ากันระหว่างหัวหน้าทีมด้วย หุหุ) แต่เด๋วมาแปะเพิ่มทีหลังละกันครับ






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น