วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] 10 CLOVERFIELD LANE : สัตว์ประหลาดอยู่ข้างบน หรือสัตว์ประหลาดอยู่ข้างล่าง? สัตว์ประหลาดอยู่ข้างนอก หรือสัตว์ประหลาดอยู่ข้างใน?


เมื่อหลายปีก่อน หนังชื่อ CLOVERFILED เคยจู่โจมคอหนังด้วยการพาสไตล์ของหนัง FOUND FOOTAGE (ประมาณไปค้นพบ กล้อง ฟิล์ม วิดีโอ ที่สูญหายหรือไม่รู้ที่มาได้) ที่เพิ่งเริ่มเฟื่องฟู(อีกรอบ?) (ด้วยสไตล์คล้ายๆความรู้สึกเหมือนดู MOCUMENTARY (สารคดีเทียม)ซึ่งเพิ่มความรู้สึกสมจริงให้หนังได้แบบแปลกๆ) ในตอนนั้นไปในอีกสเกลด้วยสไตล์ของตัวเอง และคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหนังอย่าง CLOVERFILED นั้นเกิดขึ้นได้จากจากการประสบความสำเร็จอย่างเกินคาดของหนังเล็กๆที่ชื่อ THE BLAIR WITCH PROJECT  จากสไตล์ที่เหมือนจะสร้างได้ด้วยงบถูกๆแต่ถ้าปังอาจประสบความสำเร็จเกินคาด กับเรื่องราวของการตามหาแม่มดแบลร์จากตำนานเรื่องเล่า แต่ด้วยการที่หนังอย่างตำนานแม่มดแบลร์นั้นประสบความสำเร็จได้ด้วยบรรยากาศหลอกหลอนในหนัง ประกอบกับบรรยากาศข่าวลือในยุคอินเทอร์เน็ตที่ทำให้ตำนานแม่มดนั้นถูกทำให้ไปอยู่ในขอบเขตที่น่าเคลือบแคลงว่า 'อาจจะเป็นเรื่องจริง' ก็เป็นได้ ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่สร้างความน่ากลัวให้กับตัวหนังมากกว่าสเปเชี่ยลเอฟเฟ๊คราคาแพงใดๆซะอีก แต่เมื่อหนังออกฉายก็คงมีหลายคนที่ได้รู้ความจริงของหนัง (แม้ว่ากระทั่งวันนี้ก็อาจมีบางคนยังคงเชื่อหรือไม่ก็ไม่แน่ใจว่าตำนานแม่มดแบลร์เป็นเรื่องจริง) ทำให้ความสำเร็จของ THE BLAIR WITCH PROJECT นั้นอาจไม่สามารถทำเลียนแบบได้โดยง่าย (แม้ว่าต่อมาจากนั้นอีกซักพักใหญ่เราจะยังคงได้เห็นความสำเร็จของหนังอย่าง  PARANORMAL ACTIVITY หรือ REC ก็ตาม) กระทั่งการพยายามสานต่อความสำเร็จของ THE BLAIR WITCH PROJECT ก็ยังไม่ได้ใช้สไตล์ FOUND FOOTAGE แต่เลี่ยงไปใช้หนังเล่าเรื่องเหมือนปกติแทน ก็อาจเป็นเพราะทางผู้สร้างรู้ตัวดีว่าไม่อาจเลียนแบบความสำเร็จของตัวเองได้ง่ายๆ ซึ่งอาจเป็นทางเลือกที่ถูกก็ได้? ยังไงก็ตามแม้ตัวหนังภาคต่อ BOOK OF SHADOWS จะไม่อาจเรียกได้ว่าล้มเหลวเต็มปากโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับทุนสร้าง แต่ความสำเร็จของหนัง(ทั้งรายได้และคำชื่นชม)ก็ไม่อาจเทียบกับภาคแรกได้เลยแม้แต่น้อย(โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุนสร้างภาคแรกยังน้อยกว่ามากๆๆ)

ทำให้แม้ THE BLAIR WITCH PROJECT จะเป็นหนังทุนน้อยแต่ประสบความสำเร็จใหญ่โตให้เห็นนั้น ก็ไม่มีใครจะทำหนังตามอย่างออกมากันได้ง่ายๆนัก

แต่ก็ในตอนนั้นอีกแหละ เจ. เจ. แอบรัมส์ ซึ่งสร้างชื่อมาจากทีวีซีรี่ส์อย่าง FELICITY และ LOST เป็นอาทิ และได้กำกับภาพยนตร์อย่าง MISSION IMPOSSIBLE III ที่สร้างบรรยากาศได้อย่างเข้มข้นจริงจัง ก็หันมา PRODUCE หนัง FOUND FOOTAGE เรื่องนึงที่มีชื่อว่า CLOVERFILED  

แทนที่จะติดกับการเป็นหนังงบน้อยๆเผื่อได้กำไรเยอะๆ หรือเล่นกับธีมแบบความลึกลับในป่าซึ่งไม่รู้ว่ามีอะไรสิงสถิตย์อยู่ CLOVERFILED กลับเล่นใหญ่กว่าไปซะเลยด้วยการเป็นเรื่องราวที่พบจากกล้องบันทึกในคณะที่เจอกับเหตุการณ์สัตว์ประหลาดต่างดาวบุกเมือง ซึ่งก็ไม่ได้ไปบุกกันเงียบๆ บุกเมืองกันใหญ่โตเอาการจริงๆ ซึ่งสไตล์ของ FOUND FOOTAGE กับการจำกัดให้ผู้ชมรับรู้แค่มุมมอง(กล้อง)ของคนที่เผชิญเหตุการณ์โดยไม่ตัดไปให้เห็นเหตุการณ์ในที่อื่นๆ ได้แต่มะงุมมะงาหราและอยู่กับความไม่รู้หรือไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นพร้อมๆไปกับตัวละครนั้นก็ยังคงทำงานอย่างได้ผล (เพราะงั้นเราจะไม่ได้เห็นสัตว์ประหลาดกันเท่าไหร่ - อ่าว - ก็เรื่องจริงใครมันจะไปบ้ายืนหันกล้องถ่าย เกิดรู้ว่ามันอยู่มุมตึกข้างหน้ามันก็ต้องหันหลังวิ่งหนีก่อนไหม?) ประกอบกับวิธีการประชาสัมพันธ์ถึงตัวหนังตั้งแต่ก่อนหนังเข้า ก็ทำให้ CLOVERFILED เป็นหนัง FOUND FOOTAGE ที่นำพาตัวเองไปอยู่ในอีกขั้นและขอบเขตหนึ่ง ซึ่งประสบความสำเร็จในด้านรายได้ด้วย แม้อาจจะน่าเหลือเชื่ออยู่บ้างว่า CLOVERFILED เองก็ยังทำรายได้น้อยกว่าต้นธารอย่าง THE BLAIR WITCH PROJECT (ที่ทุนสร้างน้อยกว่ากันเกินร้อยเท่า) แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น แม้ใช่ว่าไม่มีจุดอ่อนหรือข้อสงสัย แต่ CLOVERFILED เองก็จัดได้ว่าเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จและมีความโดดเด่นเป็นของตัวเองอย่างน่าสนใจอยู่ดี

ผ่านมานานเอาการ CLOVERFILED เองก็เหมือนจะมีภาคต่อ? ในแบบที่เห็นชื่อแล้วก็ไม่แน่ใจว่านี่มันภาคต่อหรือไม่ใช่ฟระ? นี่มาหลอกอะไรกันหรือเปล่า? หรือต่อให้ใช่หรือไม่ใช่ ชื่อหนังนี่มันคืออะไร๊? ก็อาจเป็นคำถามหรือความสงสัยให้กับหลายคน กับหนังที่มีชื่อว่า 10 CLOVERFIELD LANE

จริงๆการจะดูหนัง 10 CLOVERFIELD LANE นี่ไม่ควรรู้อะไรมาก เห็นนิดๆหน่อยๆแล้วสนใจก็ควรไปดูเลย สำหรับตัวเองถือว่าคุ้มค่าตั๋วครับ


อืม... เอาจริงๆ สำหรับคนที่ชอบ CLOVERFILED มากๆ หรือถือตัวว่าเป็นแฟน CLOVERFILED แบบเข้าเส้น ไม่รู้จะแนะนำยังไงถึงจะดี แต่เอาเป็นว่า...ก็เป็นคำแนะนำแบบข้างต้น คือ เห็นนิดๆหน่อยๆแล้วสนใจก็ควรไปดูเลย ใครสนใจไปดูเลยครับ ไม่ต้องอ่านรีวิว เพราะหนัง (คาดว่าเบื้องหลังส่วนหนึ่งโดยเฮีย เจ. เจ.ฯ) เขาออกแบบมาแบบนี้ คือไม่ค่อยอยากจะบอกอะไร ไม่ค่อยอยากให้รู้อะไร รู้นิดๆหน่อยๆพอให้น่าสนใจว่าน่าติดตามไปดูต่อในหนังพอแล้ว (และอาจน่าสงสัยอยู่บ้างว่าตกลงหนังเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับ CLOVERFILED กันแน่(วะ)?? แล้วถ้าเกี่ยวเกี่ยวยังไง???) ทำให้หนังยังคงเล่นกับ 'ความลึกลับ' และ 'ความไม่รู้ ไม่แน่ใจ' ได้ ทั้งที่หนังเองไม่ได้ใช้แนวทางของหนัง FOUND FOOTAGE แล้ว เปลี่ยนมาเป็นหนังแบบเล่าเรื่องปกติ(?) ซึ่งก็ทำให้นึกถึงแนวทางการสานต่อเรื่องของ THE BLAIR WITCH PROJECT อยู่หน่อยๆเหมือนกัน (จนตอนแรก(ทำเป็น)งงนิดๆว่า เฮ้ย เหรอ? ตอนนี้อ่ะนะ? - ตกลงเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับ CLOVERFILED?) แต่ดูเหมือนเรื่องนี้จะผ่านการบ่มเพาะมาพอสมควรกว่าจะตกลงใจได้ว่าหนังเรื่องนี้จะเป็น 'อะไร' กันแน่ ดังนั้นคนที่ตัดสินใจไปดูจึงน่าจะมีอะไรให้ดูกันแน่ ส่วนจะถูกใจหรือไม่แค่ไหนก็คงแล้วแต่แต่ละคน

แถมหลังจากนี้พอพาดพิงถึงเนื้อเรื่องอะไรไปนิดหน่อยยังไงก็ดูเหมือนมีโอกาสเป็นสปอยล์ได้ทั้งนั้น

คนที่ไปดูก็คงรู้แล้วว่าหนังเป็นยังไง ซึ่งความจริงแม้หนังจะ 'ปกปิด' หลายอย่างไว้ แต่ก็ไม่ได้ 'โกหก' อะไร เพราะบรรยากาศที่ได้ก็ไม่ต่างจากตัวอย่างหนังที่เราเห็น หญิงหนึ่ง ชายสอง อยู่รวมกันในบังเกอร์ใต้ดิน เล่นเกม กินอาหาร พูดคุย หัวเราะกัน แต่จู่ๆเราก็พบว่าผู้หญิงคนนี้พยายามจะหนีออกไปข้างนอก ทำไม? และดูเหมือนว่าจริงๆแล้วจะมีอะไรที่น่ากลัวกว่าอยู่ข้างนอกนั่น? มันมีจริงหรือเปล่า? บรรยากาศของเรื่องราวในส่วนนี้จึงเป็นเหมือนความกดดันที่ซุกซ่อนอยู่ระหว่างความจำเป็นที่คนสามคนต้องมาอยู่รวมกันในสถานที่อันจำกัดโดยที่ดูเหมือนจะมีคนที่รู้ว่าที่นี่ปลอดภัยกว่าข้างนอกขณะที่บางคนก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องนั้นเป็นจริงหรือไม่ ทีแรกในช่วงเริ่มต้นของหนังไประยะหนึ่ง พอเริ่มจับได้ว่าเรื่องเกี่ยวกับอะไรและมันเริ่มต้นขึ้นยังไง ผมเกิดความไม่แน่ใจอย่างหนึ่งขึ้นมาว่า ถ้าหนังเลือกแนวทางการเล่าแบบนี้แล้ว หนังอาจจะขาดความโดดเด่นแบบที่เคยมีใน CLOVERFILED ไปรึเปล่า? (ทั้งที่ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตกลงมันเกี่ยวกันรึเปล่า? ประมาณถ้าจะหลอกก็ยอมมาโดนหลอกก่อนล่ะวะ ก็จ่ายตังค์ซื้อตั๋วมานั่งหน้าสลอนอยู่นี่แล้วนี่) แล้วถ้าหนังเลือกแนวทางการเล่าเรื่องแบบนี้ มันจะโดดเด่นหรือทำได้ถึงพอจะไปต่อกรกับหนังเรื่องอื่นๆในบรรยากาศหรือเรื่องราวใกล้เคียงกันรึเปล่า? แต่สุดท้ายก็ยอมว่าหนังคิดมาดีในระดับหนึ่งแล้วจริงๆ ก่อนจะเลือกการเล่าเรื่องในแนวทางนี้อย่างมั่นใจ(?)

เรื่องเล่าของหนังจึงเกี่ยวกับข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ ความต้องการปัจจัยพื้นฐาน การปกป้องชีวิตตัวเอง การอยู่ร่วมกัน ความจำเป็นที่จะต้องอยู่ในสภาพนี้ การต่อรอง มันจึงทำให้เกิดลำดับขั้น หน้าที่ และอำนาจ ในขอบเขตอันจำกัดนี้ขึ้นมา แม้ว่าจริงๆแล้วความต้องการหรือเป้าประสงค์ของสมาชิกในพื้นที่นี้จะไม่เหมือนกันอาจโดยสิ้นเชิงเลยก็ตาม และแม้ตัวละครบางตัวรวมถึงผู้ชมอาจไม่รู้ว่ามีสัตว์ประหลาดอยู่ข้างนอกหรือไม่ ความเคลือบแคลงซึ่งไม่อาจหาความกระจ่างได้เมื่อรวมกับสภาพการอยู่ร่วมกันแบบที่เป็นอยู่แล้ว จึงกลายเป็นจุดขับเคลื่อนและพลิกผันของเรื่องได้ตลอดเวลา

แม้ว่าจริงๆในหนังอาจนำเสนอโดยให้ความรู้สึกว่ามีคนที่ตัวร้าย กับไม่ร้าย มีคนที่น่าเห็นใจ กับคนที่ไม่ค่อยจะน่าเห็นใจ แต่ถ้าลองเอาบทบาทกับลุคหรือคาแรคเตอร์ที่ถูกหนังกำหนดมาออกไป บางทีเราก็พบว่าการจะ 'จัดการ' หรือ 'ดีล' กับปัญหาต่างๆหรือความขัดแย้งบางอย่างนั้นไม่ง่ายเลย แม้ว่าจะมีคนที่เกี่ยวข้องอยู่แค่จำนวนน้อยเท่านี้ก็ตาม และไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะของตัวละครตัวไหนก็ตาม อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ก็อาจเลี่ยงไม่พ้นที่จะเกี่ยวข้องกับ 'ด้านมืด' ของมนุษย์ ที่เรามักรู้สึกว่า 'ซุกซ่อนอยู่' ภายในและ 'ไม่อาจแน่ใจ' ได้ชัดๆว่าการตัดสินใจทำการอย่างหนึ่งนั้นมีเหตุผลมาจากอะไรแน่? หรือมีกี่เหตุผลประกอบกัน? ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความเคลือบแคลงให้กับทั้งตัวละครและคนดูในเรื่อง และเป็นสิ่งที่หนังเอามาเล่นได้อย่างสนุก จนเรื่องราวภายในใจและการกระทำของมนุษย์กันเองซึ่งเราน่าจะคุ้นเคยว่าสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักที่ต้องมาเกี่ยวข้องกันในสถานการณ์ที่มีหลายอย่าง 'จำกัด' ก็สามารถสร้างความกดดันหรือน่ากลัวได้โดยยังไม่ต้องไปพูดถึงภัยอันตรายอย่างอื่นที่เรายังไม่แน่ใจนักว่าจะมีมาหรือไม่? หรือมาในรูปแบบไหน? เลยด้วยซ้ำ

และการเปลี่ยนมาเล่าเรื่องแบบที่อาจจะดูแคบและสเกลเล็กลง แต่ก็เลือกนักแสดงที่ดูจะมีชื่อมากขึ้นมารับบทนำสำคัญ นักแสดงของหนังยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีพอที่จะพาผู้ชมผ่านความเคลือบแคลง และดิ้นรนในสถานการณ์ต่างๆ ผ่านทั้งความกดดัน ไม่แน่ใจ น่าหวาดหวั่น  (รวมทั้งความขบขันและน่ารักในบางสถานการณ์ แล้วก็พลิกไป...อีกที...) เหล่านี้อย่างได้ผล แม้อาจไม่ใช่บทบาทที่จะส่งให้นักแสดงหลักๆทั้ง 3 คนเข้าชิงรางวัลสำคัญ แต่ทั้ง 3 คนทำหน้าที่ของตัวเองได้ในที่นี้ ทั้ง แมรี่ อลิซาเบธ วินสตีท ในบทบาทของผู้เคราะห์ร้ายและดูจะไม่รู้เหนือรู้ใต้ที่สุดในเรื่อง จอห์น กู๊ดแมน ในบทดังเจ้าบ้านในห้องปิดตาย ที่ดูเหมือนจะอยู่ในบทของผู้ควบคุม เจ้าของและผู้รับผิดชอบสูงสุด และ จอห์น กัลลาเกอร์ จูเนียร์ ในบทที่เหมือนจะต้องยอมตามและเป็นเบี้ยล่าง โดยมีทั้งความลึกลับ ความอ่อนแอ ความเข้มแข็ง ความน่าเห็นใจ หรือน่ารังเกียจ ฯลฯ และกลายเป็นตัวแปรในแต่ละสถานการณ์ได้เป็นอย่า่งดี ตรงนี้ถือว่าแคสมาดีและนักแสดงก็เล่นได้ดี

หนังเล่าเรื่องได้ดี แม้อาจจะมีคำถามสำหรับบางคนว่านี่เป็นการวางสถานการณ์ หรือโซลูชั่นที่สุดยอดที่สุด (สำหรับการดำเนินเรื่อง หรือการดึงความสนใจหรือเอนเตอร์เทนผู้ชมก็ตาม) หรือไม่ แต่เท่าที่หนังนำเสนอ คิดว่าหนังทำได้ดี ไปกระทั่งถึงตอนจบ และแสดงการดิ้นรนต่อสู้ที่เปลี่ยนเอาการทดท้อไปเป็นการพยายามต่อสู้ได้ไม่เลวทีเดียว ตรงนี้ถือว่าให้เครดิตนักแสดงไปด้วยครับ

แม้จะยังรู้สึกว่าหนังเป็นสายเอนเตอร์เทน แต่ก็เป็นหนังที่คิดมาดี ตั้งแต่ขั้นตอนการโปรโมต (จนมีคนติงเรื่องที่โปสเตอร์ที่ใช้ในบางประเทศดูจะไม่เข้าแก๊บกับการอุตส่าห์วางแผยโปรโมทอย่างดีเหล่านี้เอาเสียเลย) แถมการออกแบบอะไรต่ออะไรตั้งแต่การเล่าเรื่อง ไตเติ้ลกราฟฟิกชื่อเรื่อง การวางเรื่องราว ไตเติ้ล ดนตรีประกอบ ฯลฯ โน่นนี่ มาแบบพอดีๆ แม้จะดูนอกลู่ไปบ้างนิดๆหน่อยๆถ้าเทียบกับหนังเปล่าๆซักเรื่อง แต่ก็ถือว่าทำให้ทึ่งกับการวางคอนเซ็ฟท์หนังไว้แบบนี้ แล้วทำออกมาให้ได้ทีเดียว  และทั้งที่หนังไม่ได้ใช้แนวทาง FOUND FOOTAGE แบบที่ใช้โปรโมท CLOVERFIELD แต่การเปลี่ยนมาเล่าเรื่องในสถานที่จำกัด ก็กลายเป็นวิธีที่ยังสามารถเอาจุดเด่นของ FOUND FOOTAGE ที่จำกัดการรับรู้ และสร้างความน่าเคลือบแคลงไปในเวลาเดียวกันได้อย่างได้ผล ที่แม้อาจไม่ดูโฉบเฉี่ยวเท่า แต่หนังก็ยังวางเรื่องราวและเล่าเรื่องได้ดี จนเฉพาะตัวเรื่องก็เอาหนังอยู่ได้แล้ว (อันนี้คิดว่ามีอะไรสะดุดๆในเรื่องน้อยกว่า CLOVERFIELD ด้วยซ้ำ เนียนกว่าว่างั้น - ตกลงเกี่ยวหรือไม่เกี่ยว? - ว่าไปจะว่าไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยวนะ (?)) จนแม้จะยังรู้สึกว่าเป็นหนังสายเอนเตอร์เทน แต่มันก็ดีพอจะบอกว่าเป็นดราม่าดีๆที่มาพร้อมเรื่องราวแปลกๆพ่วงติดมาได้ทีเดียว

และส่วนตัวที่แม้จะชอบ CLOVERFIELD อยู่ แต่ก็ไม่ใช่ขั้นสุด และตอนที่มีข่าวหนังเรื่องนี้ก็ยังลังเลว่าจะดูดีไม่ดีหน่อยๆ (ตกลงเกี่ยวรึไม่เกี่ยวกับ CLOVERFIELD?) พอไปดูแล้วก็พึงพอใจครับ ได้มาทั้งความเอนเตอร์เทนพ่วงความทึ่ง ถือว่าคุ้มค่าตั๋วเดินสบายใจออกจากโรงภาพยนตร์อย่างยิ่ง แต่จะให้ตอบแทนแฟนเดนตาย CLOVERFIELD ก็คงตอบไม่ถูก ส่วนคนที่ไม่ใช่แฟนๆหรือไม่รู้จัก CLOVERFIELD  ก็น่าจะดูได้สนุกเหมือนกัน บางแง่อาจดีกว่าที่ไม่รู้จักบางแง่รู้จักอาจดีกว่าก็ได้ คำแนะนำก็มีอย่างที่บอกไว้แต่ต้น ไม่ต้องรู้อะไรมาก เห็นนิดๆหน่อยๆแล้วสนใจก็ควรไปหามาดู(หรือรอแผ่น)เลย (เพราะหนังลาโรงไปนานแหล่ว... จริงๆจะเขียนตั้งแต่เพิ่งไปดูตอนเพิ่งเข้า แต่ก็...) 8.2 คะแนนสวยๆฮะ 

โอเคครับ เจ. เจ.ฯ  10 CLOVERFIELD LANE โอเคมากๆครับ ผมยอมความโน่นนี่ของคุณ(อีกหน) แพ็คเกจนี้ถือว่าผ่าน (ผู้กำกับของหนัง คือ แดน เทรชเชนเบิร์ก (กรุณาเช็คชื่อภาษาอังกฤษเพื่อความถูกต้องในชีวิตด้วยนะครับ)) ชอบคอนเซ็ฟท์ด้วยครับ ยอม 



นึกถึง
ว่าไป ตอนดูตัวอย่าง 10 CLOVERFIELD LANE ก็ทำให้นึกถึงหนังเรื่องหนึ่งที่ฉายไปก่อนหน้า คือ Z FOR ZACHARIAH เรื่องของคนที่หลงเหลืออยู่หลังจากภัยร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับมนุษย์โลก (ซึ่งก็อาจทำให้นึกไปถึงพลอตของหนังแนวๆ I AM LEGEND ที่ วิล สมิธ แสดงนำ ซึ่งพัฒนาบทมาจากนิยายเหมือนกัน) ซึ่งเป็นหนังที่สร้างจากนิยาย แต่ฉบับหนังปรับให้แตกต่างไปจากนิยายด้วยการเพิ่มตัวละครจาก ชาย หญิง 2 คน เป็น หญิง 1 ชาย 2 ซึ่งก็เป็นส่วนนี้แหละที่ทำให้นึกถึงตอนเห็นตัวอย่างหนัง 10 CLOVERFIELD LANE ที่แม้จากตัวอย่างหนัง Z FOR ZACHARIAH อาจไม่ดูคิดเยอะซ่อนสไตล์เหมือน 10 CLOVERFIELD LANE แต่ก็น่าสนใจดี ตอนที่หนังเข้านั้นไม่ได้ดูเพราะอะไรซักสิ่งนี่แหละ ก็เสียดายเหมือนกัน แต่ก็ยังสนใจจะหามาดูอยู่


และแน่นอนว่าในเมื่อชื่อมันมีคำว่า CLOVERFIELD ในชื่อ 10 CLOVERFIELD LANE ก็น่าไปหา CLOVERFIELD มาดูซะหน่อยนะครับ (เหรอ?) จะดูอันนี้ก่อนไปหาดูอันโน้นหรือไปหาดูอันโน้นรอดูแผ่นอันนี้ออกก็ได้แหละ เห็นโปสเตอร์ไหม ไม่ได้ไปถ่ายกันในป่าที่ไหน เล่นมันกลางเมืองนิวยอร์คนี่แหละ (ผู้กำกับคือ แมต รีฟส์ ครับ)






และไม่ว่าจะยังไง สมมติใครเคยดู PARANORMAL ACTIVITY หรือ REC หรือหนัง FOUND FOOTAGE อื่นๆมาแล้ว เราก็ไม่อยากจะละเลยที่จะไปกล่าวถึง THE BLAIR WITCH PROJECT เพราะงั้นใครไม่เคยดูก็น่าลองไปหาหนังเรื่องนี้มาดูกันซักหนครับ สมัยนั้นชื่อไทยเรื่องนี้คือ สอดรู้ สอดเห็น สอดเป็น สอดตาย ครับ น่าดูป่ะล่า
(ส่วนตัวคิดว่ามันก็ยังน่าดูนะ แต่ถ้าดันไม่ชอบก็ปล่อยมันไปนะครับ)

จริงๆก็สนใจจะหาดู BOOK OF SHADOWS ด้วยซักที แต่ก็ยังไม่ได้ดูเลยเหมือนกัน

และสำหรับหนังที่น่าขนลุก ขอแนะนำ THE WITCH



ส่วนถ้าจะให้แนะนำหนัง FOUND FOOTAGE ไว้ซักเรื่อง ใหม่ๆหน่อย ก็ขอเอาเป็น THE VISIT ของผู้กำกับ เอ็ม. ไนท์. ชยามาลาน แห่ง THE SIXTH SENSE, THE UNBREAKABLE, SIGN, THE VILLAGE ละกันครับ แม้คุณอาจผิดหวังกับ AFTER EARTH หนัง วิล สมิธ ที่แป๊กๆมาก็ตาม แม้หนังจะไม่ได้เกี่ยวพันกับประเด็นที่ดูใหญ่โตลึกล้ำเท่าหนังช่วงสร้างชื่อ(หรือหลังจากนั้น)ของเขา คือ เช่น แม้เรื่องราวจะไม่ได้ดูเกี่ยวพันกับอะไรที่ล้ำลึกอย่าง THE LADY IN WATER (ซึ่งเราไม่อินเรื่องนี้เลย...) แต่เรื่องการเอนเตอร์เทนนี่ถือว่าได้เลย น่ากลัว สะพรึง เกรียน(บ้าง) แอนด์สนุก เป็นหนังปีที่แล้วเรื่องหนึ่งที่เราชอบมาก สนุกดีจนหยดสุดท้าย (เว่อจุง...)

โปสเตอร์อาจดูมุ้งมิ้งไปบ้าง แต่เชื่อเหอะว่าหนังสนุกออก โดยเฉพาะใครอารมณ์แบบ ปิดเทอมวันหยุดต้องไปอยู่บ้านต่างจังหวัดกับผู้หลักผู้ใหญ่นี่ อารมณ์ได้เลย ลองหามาดูๆ

ว่าไปมันจะ FOUND FOOTAGE กันไปทำไมเยอะแยะ เกี่ยวอะไรกับ 10 CLOVERFIELD LANE ฟระ?! (เอ้า - ก็เออนะ...) สิ่งหนึ่งที่ดู 10 CLOVERFIELD LANE แล้วเราคิดว่ามันออกมาดี ได้ใจเราก็คือการรับบทนำหญิงของ แมรี่ อลิซาเบธ วินสตีท ซึ่งแสดงออกทั้งความอ่อนแอ หวาดหวั่น เข้มแข็ง ช่างคิด (และบางทีก็หาเรื่อง) ฯลฯ ได้ดีเลย เพราะงั้นลองมาดูหนังที่เธอเคยแสดงมากันหน่อยดีกว่า แม้เธออาจไม่ได้ผ่านตาผู้ชมในหนังบิ๊กๆดังๆมามากมายอะไร แต่เธอก็ปรากฎตัวในหนังที่เด่นๆมาหลายเรื่องอยู่ เช่น THE RING 2, FINAL DESTINATION 3, DEATH PROOF (ของ ทารันติโน่ - ไม่ชอบเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ก็พอจำเธอได้มั้ง) และ THE THING ฉบับล่าด้วย (ทำไมมีแต่หนังหยองๆหวีดๆ) เป็นอาทิ แต่ถ้าจะต้องแนะนำ ขอแนะนำ SCOTT PILGRIM VS. THE WORLD แม้ตอนนั้นจะไม่ได้ติดใจอะไรเธอมาก (คือเราชอบลุคใน 10 CLOVERFIELD LANE มากกว่าอ่ะนะ) คือ ตอนนั้นติดใจหนังมากกว่าเพราะคิดว่าหนังสนุกมว๊ากก (แต่อาจจะอารมณ์เนิร์ดๆกี๊กๆหน่อยๆนะ แต่เชื่อว่าคนชอบดูหนังเพี้ยนๆนิดๆก็จะยังสนุกมว๊ากอยู่นะ) เพราะงั้นจะแนะนำเรื่องนี้ละกัน ไม่หยองหวีดด้วย เผื่อเราจะได้ไปขุดหามาดูอีกซักรอบ

หือ อะไรนะ ของคนอื่นไม่แนะนำหรือ? นี่ก็ยาวแล้วไว้โอกาสหน้าละกัน...
หือ? อะไรนะ? เอาน่ะ ก็อย่างนี้มาหลายทีแล้วนี่...


ของแถม
ยังจะมีแถมอีกเรอะ?! ไหนว่ายาวแล้ว!?
เออน่ะ...


โอเค แค่นี้แหละ... จบแล้วครับ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น