วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] THE HUNTSMAN - WINTER'S WAR พรานป่าและราชินีน้ำแข็ง : ตอนดูตัวอย่างบางคนคงอุทานว่า "เฮ้! นี่มัน FROZEN (รึเปล่า)นี่ว์?"

จริงๆแล้ว สร้อยของหนังเรื่องนี้ควรจะเป็นว่า สามสาวสวย ในหนังพรานป่าและราชินีน้ำแข็ง ซึ่งนั่นถือเป็นข้อดีของหนัง

จะว่าไปพูดแบบนี้ก็ใจร้ายกับพ่อพระเอกพรานป่า คริส เฮมส์เวิร์ธ เอาจริงๆ ก็ถือว่าพ่อพระเอกก็เล่นได้ตามมาตรฐานนะ มีเสน่ห์ตามสมควร มีอารมณ์ขันตามสมควร

และแม้ดาราสามสาวสวยในหนัง ทั้ง ชาลิซ เธียรอน, เจสสิกา เชสเทียน และ เอมีลี่ บลันต์ อาจจะมีทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิเหนือกว่า (เพื่อเป็นข้อมูล จริงๆ เอมีลี่ บลันต์ ในคุณสมบัติอันหลังก็เหนือกว่าแบบนับเดือนนะฮะ) และความจริงพวกเธอก็ไม่ได้เล่นแย่อะไรเลย ถือว่าเล่นได้ดีตามมาตรฐาน แต่ว่าในช่วงที่หนังอุดมเอ็ฟเฟคท์(ทั้งแฟนตาซีมากและน้อย)เรียงหน้ากันเข้าฉายไม่เว้นสัปดาห์เช่นนี้ ปัญหาของหนังเสมือนภาคต่อของ SNOW WHITE AND THE HUNTSMAN (ที่มี คริสเตน สจ๊วต แสดงในบทสโนไวท์ และมี ชาลิซ เธียรอน และ คริส เฮมส์เวิร์ธ ในบทเดียวกับหนังเรื่องนี้) เรื่องนี้ก็คือดูเหมือนองค์ประกอบด้านบวกที่พอจะมีดูจะไม่ค่อยเพียงพอในการต่อกรอยู่เหมือนกัน

งานเอ็ฟเฟคท์ของหนังถือว่ามาตรฐาน และเรื่องราวของหนังแม้จะมีส่วนที่ทำให้หลายคนอุทานว่า "เฮ้! นี่มัน FROZEN รึเปล่านี่?" อย่างที่ว่า แต่ความจริงเรื่องราวของหนังก็ไม่ใช่จะเหมือนกับ FROZEN ขนาดนั้น (อีกอย่างคือ FROZEN ก็ไม่มีกระจกวิเศษนะ (เหรอ!?)) และความจริงเรื่องราวของหนังก็ถือว่ามีที่มาที่ไปและจุดพลิกผันให้ติดตามเรื่องราวได้น่าสนใจพอควร


อันนี้คิดว่าส่วนหนึ่งเป็นที่ท่าทีการเล่าของหนังเอง ที่เลือกเล่าแบบหนังเทพนิยายแฟนตาซีแบบสูตรดั้งเดิมมาก คือมีเสียงบรรยายวอยซ์โอเว่อมาเล่าเรื่องราวที่มาที่ไปให้เสร็จสรรพในบางช่วง ซึ่งจริงๆวิธีนี้ก็ใช่จะผิดอะไร เพียงแต่ว่ามันก็หลีกเลี่ยงที่จะทำให้ท่าทีของหนังออกมาดูธรรมดามากๆไม่ได้ ถ้าเกิดมันไม่มีองค์ประกอบทีเด็ดทีขาดอย่างอื่นมาดึงไว้มากพอ หรือรู้ตัวว่าทำไมจึงเลือกใช้วิธีเล่าเรื่องแบบนี้ มันก็จะกลายเป็นวิธีเล่าเรื่องธรรมดาๆที่ไม่มีจุดประสงค์อะไรนอกจากเล่าเรื่องออกมาให้ผู้ชมรับรู้เพียงเท่านั้น ด้านการออกแบบอะไรๆแฟนตาซีแวดล้อมแม้จะยังสวยดี แต่มันก็ไม่ได้เหนือไปกว่าหนัง SNOW WHITE AND THE HUNTSMAN

เพราะงั้นด้วยท่าทีรวมๆของหนังที่ธรรมดาไปหน่อย จึงน่าเสียดายองค์ประกอบอื่นๆอยู่เหมือนกัน ทั้งที่มีดาราบิ๊กเนมมาร่วมทัพแทนการไม่มี คริสเตน สจ๊วต โผล่หน้ามาในหนัง ซึ่งความจริงก็น่าจะเพียงพอที่จะดึงความสนใจของหนังไว้ได้ แต่ด้วยท่าทีการเล่าของหนังที่ออกจะธรรมดาไปมาก แม้จะเล่าเรื่องออกมาได้ตามเรื่องราวที่มีตามวัตถุประสงค์แต่มันก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น และแม้เรื่องราวจริงๆของหนังก็มีส่วนที่ขยายเรื่องราวในจักรวาลบิดผันนิทานคลาสสิค(ซึ่งดูกำลังได้รับความนิยมอยู่เหมือนกันในช่วงนี้)ที่เคยสำเร็จพอท้วมๆมาจาก SNOW WHITE AND THE HUNTSMAN ได้น่าสนใจพอควร และการที่มันมีความรู้สึกคล้ายๆหลายๆอย่างของ FROZEN แม้จริงๆมันจะไม่เหมือนและมีเรื่องราวเป็นของตัวเองที่น่าสนใจพอสมควร ซึ่งก็เป็นจุดที่ก็พอจะอยากให้คะแนนอยู่ เพราะถ้าเอาเฉพาะเนื้อเรื่องคิดว่ามันมีลูกเล่นอะไรให้สัมผัสน่าสนใจกว่าหนังที่มาก่อนด้วยซ้ำ แต่การเล่าเรื่องและรายละเอียดของหนัง ก็ต้องยอมรับว่าไม่เนี๊ยบเหมือนการ์ตูนอนิเมสุดเซอร์ไพรส์(ในด้านรายได้)เรื่องนั้นของดิสนี่ย์ แถมแม้จะพยายามหาเรื่องราวน่าสนใจมาเสริมแต่งเรื่องราวเดิมออกไปมันก็ยังกลบความรู้สึกว่าเหมือนการเล่าหลบเลี่ยงอะไรๆไปหลายอย่างเพราะไม่มี คริสเตน สจ๊วต ในบทสโนว์ไวท์ไม่ได้ และอีกส่วนหนึ่งที่่รู้สึกคือแม้ตัวละครอื่นๆก็ยังเรียกว่าอยู่ในมาตรฐาน แต่คิดว่าเสน่ห์ขององค์ประกอบของตัวละครรายรอบมันก็ดูจะนิ่งๆไปกว่าหนังที่มาก่อนเหมือนกัน

เอาจริงๆตัวเองก็ไม่ใช่แฟนหนัง SNOW WHITE AND THE HUNTSMAN เดนตายอะไร ก็ยอมรับ(อีกแล้ว)ว่าที่สนใจมาดูหนังเรื่องนี้ก็เพราะ สามสาวสวยในหนัง ทั้ง ชาลิซ เธียรอน, เจสสิกา เชสเทียน และ เอมีลี่ บลันต์ นั่นแหละครับ ซึ่งเอาจริงๆในส่วนนี้คิดว่าไม่ได้ผิดหวังนะ อย่างที่บอกสามสาวไม่ได้เล่นแย่อะไร (ผมรวมคริสด้วยก็ยังโอเค) แต่องค์ประกอบอื่นๆมันธรรมดาไปมาก จนเสียดายเลย เพราะอีกอย่างนึงที่ไม่ผิดหวังนอกจากสามสาวก็คือเครื่องแต่งกายนี่แหละ ที่คิดว่าออกแบบมาได้สวยดีจริงๆ โดยเฉพาะชุดของสองราชินี มารอดูเครดิตตอนหลังก็พบว่าเป็นฝีมือของ คอลลีน แอตวู้ด ที่เคยคว้าออสการ์มาแล้ว (และจำชื่อได้จากการมีส่วนร่วมออกแบบเครื่องแต่งกายในหนังของผู้กำกับ ทิม เบอร์ตัน ตั้งแต่เรื่องเก่าๆเลย) อันนี้คือคิดว่าสวยจริงๆ แถมยังเสริมบุคลิกตัวละครเด่นได้ดีด้วย ทั้งสามสาวเลย ทั้งความเข้มแข็ง ความอ่อนไหวเยือกเย็น ความสูงส่งสง่าและถือตัว ฯลฯ

ความจริง THE HUNTSMAN : WINTER'S WAR ก็ถือเป็นหนังที่คอแฟนตาซีน่าจะหามาดูได้ เรื่องราวของหนังน่าสนใจ แต่ก็มีท่าทีการเล่าที่ออกจะธรรมดามากจนอดเสียดายองค์ประกอบดีๆของหนังตะหงิดๆไม่ได้ ข้อดีจึงไปอยู่ที่พลังดาราและเครื่องแต่งกายเป็นสำคัญ อย่าง คริส เฮมส์เวิร์ธ ก็ถือว่าซวยหน่อย เพราะก่อนนี้ก็ไปอยู่ในหนังบิ๊กเนมที่ไม่ประสบความสำเร็จเรื่องรายรับมาแล้วหมาดๆอย่าง IN THE HEART OF THE SEA (ซึ่งจริงๆเราว่าเรื่องนั้นนี่คือดีนะ - - ) THOR ก็ยังไม่มีประกาศสร้างภาคใหม่มัง? (ไหม? - ไม่ค่อยได้ตามได้จำ) แต่สามสาวสวยก็ยังถือเป็นข้อดีสำหรับผมอยู่ดี อันนี้เอาคะแนนไปเลยไม่ได้ล้อเล่น (ใครจะว่าลำเอียงก็ช่าง) โดยเฉพาะเมื่อรวมกับเรื่องเครื่องแต่งกายแล้วใครเป็นแควนๆดาราสาว โดยเฉพาะ ชาลิซ เธียรอน และ เอมีลี่ บลันต์ ในบทสองราชินี นี่ถือว่าสวยเจี๊ยบ โอเคเลย แม้สามสาว+เครื่องแต่งกายจะเป็นคะแนนบวก (อ่อ มาดูเพราะน้อง คริส ก็ยังพอโอเคนะผมว่า แต่ผมไม่ได้มาเพราะแบบนั้นไง) เอาเป็นว่ารวมๆก็ 6.9 คะแนน ครับ 

คิดว่าหนังยังถือว่าดูได้เพลินๆอยู่ครับ เพราะเรื่องราวของหนังยังมีอะไรให้ติดตาม แต่ก็อดเสียดายอะไรๆหลายอย่างไม่ได้อย่างที่ว่า...



นึกถึง
ใครยังไม่ดู SNOW WHITE AND THE HUNTSMAN  สนใจก็ไปหามาดูกันเองนะครับ ก็อย่างที่บอกว่าก็ไม่ใช่แฟนๆอะไรหนังเรื่องนี้ ก็หามาดูกันตามสะดวก ดูก่อนดูหลังก็น่าจะได้หมด (พอไม่ใช่แฟนๆหนังเขานี่เอ็งดูหมางเมินเลยเนาะ)

จริงๆในปีเดียวกับที่ SNOW WHITE AND THE HUNTSMAN ออกฉายก็มีหนังสโนไวท์อีกเรื่องออกฉายเหมือนกัน โดยฝีมือของผู้กำกับ ทาร์เซม ซิงค์ (THE CELL, THE FALL, IMMORTALS) ชื่อ MIRROR MIRROR ซึ่งหนังจะออกมีท่าทีขี้เล่นมากกว่าจะเป็นหนังอีพิกแอ็คชั่นอย่าง SNOW WHITE AND THE HUNTSMAN มี ลีลี่ คอลลินส์ แสดงเป็นสโนไวท์ (คิ้วหนา-แต่น่ารัก) และ จูเลีย โรเบิร์ต เล่นเป็นราชินีใจร้าย แม้เรื่องนี้จะประสบความสำเร็จน้อยกว่า แต่ส่วนตัวชอบเรื่อง MIRROR MIRROR มากกว่าครับ ถ้าใครสนใจลองหามาดูกันครับ (ตอนนั้นไปดูเพราะสนใจว่าผู้กำกับจะทำสโนไวท์ออกมายังไงครับ เดี๋ยวจะหาว่าไปดูเพราะนางเอก(ก่อน)อีกแล้ว)

จริงที่หลังๆค่ายหนังเอานิยายนิทานคลาสสิคมาสร้างใหม่แบบบิดบ้างไม่บิดบ้างมากบ้างน้อยบ้างนี่ส่วนหนึ่งก็อาจเพราะมันมีเรื่องที่ประสบความสำเร็จ(ได้ตังค์)ให้เห็น และอีกส่วนอาจเพราะมันไม่ต้องไป(เสียตังค์)ขอลิขสิทธิ์ใคร ซึ่งก็ดูสนุกสนานดีเหมือนกันแล้วแต่ใครค่ายไหนจะทำออกมาได้โดนรึเปล่า? ซึ่งเรื่องนึงที่คงลืมได้ยากก็คือ MALEFICENT นั่นเอง ขนาดว่าไม่ใช่เรื่องบุกเบิกด้วยซ้ำ แต่ THE HUNTSMAN : WINTER'S WAR ก็ยังต้องเอามาเป็นชื่อขายบนโปสเตอร์โปรโมท (ว่า 'จากทีมผู้สร้าง MALEFICENT') แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นของค่ายยูนิเวอร์แซล ขณะที่ MALEFICENT เป็นของค่ายดิสนี่ย์ก็ตาม

ซึ่งเอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้อินกับเรื่องราวใน MALEFICENT มาก แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้คือ การผสมรวมบทบาทนางฟ้าปีศาจกับความเป็น แองเจลีน่า โจลี นี่มันช่างเป็นส่วนผสมที่ออกมาลงตัวขุ่นแม่มากจนยากจะหาใครต่อกรด้วยได้ง่ายๆจริงๆ (เรียกว่าหนังคาแรคเตอร์นำก็พอได้) กระทั่งสามสาวสวยในเรื่องนี้ที่ทั้งสวยทั้งเก่งกันหมดต่อให้จะไปสวมบทบาทนางฟ้าปีศาจแทนขุ่นแม่ตัวจริง แองเจลีน่า โจลี นี่ก็คงลำบากไม่น้อยเหมือนกัน ที่นึกได้ก็ไม่ใช่อะไร ก็เรื่องนั้นของขุ่นแม่เขาก็กำลังสร้างภาค 2 กันแล้วเหมือนกัน

และอันนี้นอกเรื่องเลย คือระหว่างค้นรูป MIRROR MIRROR ไปเจอข้อมูลหนังเรื่อง MIRROR, MIRROR (ต่างกันแค่มีลูกน้ำ) จาก WIKIPEDIA เป็นหนังแนว HORROR ตั้งกะปี ค.ศ.1990 ที่ต้องมีกระจกในเรื่องแหงๆ (ยังไม่ได้อ่านเรื่องราวอะไรเลย) อืม...อยากดูจะหาดูได้ไหมเนี่ย?







นอกเรื่องแล้วก็จบครับ แค่นี้แหละ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น