วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] ALICE THROUGH THE LOOKING GLASS อลิซ ผจญภัยมหัศจรรย์เมืองกระจก : เวลาจะช่วยอัลไล


แบบสั้นๆ
อืม... จริงๆแม้จะเป็นแฟนผลงานของผู้กำกับ ทิม เบอร์ตัน อยู่พอสมควร และ Alice in Wonderland ก็มีองค์ประกอบอะไรๆที่ก็น่าชอบอยู่ โดยเฉพาะเรื่องของการออกแบบและวิชชวลโน่นนี่ และตัวละครหลายคนก็มีบุคลิกเพี้ยนพิลึกน่าสนุกดี แต่ไอที่ทำให้ค่อนข้างจะเฉยๆกับ Alice ในกำมือของ ทิม เบอร์ตัน ไปซักหน่อยก็เป็นเพราะ มันมีเวอชั่นที่ผมชอบกว่ามาก ซึ่งนั่นก็คือเวอชั่นอนิเมชั่น(แคลสสิค)ของดิสนี่ย์ที่ 'หลอน' กว่ามาก (แต่...เวอชั่น เบอร์ตันก็ใต้ชายคาดิสนี่ย์น่ะแล...ยิ่งตะหงิดๆยังไงๆเข้าไปใหญ่) ซึ่งจริงๆได้ยินมาว่านิยายต้นฉบับของ ลูอิส แครอล นี่ก็มีบรรยากาศน่ากลัวๆอยู่ในตัวเหมือนกัน นัยว่าให้เด็กๆ (ตกลงให้เด็กๆอ่านล่ะนะ?) รู้จักกลัวรึสงสัยในอะไรๆที่ไม่รู้จักดี แม้บางอย่างจะมีสีลูกกวาดแต่มันก็อาจเป็นอะไรที่เรา 'ไม่รู้จัก' และไม่จำเป็นต้องเป็น 'มิตร' กับเราซะกะหน่อย

แต่เนื่องจากนิยายต้นฉบับนี่ก็ยังไม่เคยอ่าน เพราะงั้นแทนที่จะพูดอะไรเรื่องนี้มากๆไว้ตรงนี้ ตอนนี้ก็เอาเป็นแค่ลองแนะนำให้ใครที่ไม่เคยดูลองไปหาดูเวอชั่นอนิเมชั่น(แคลสสิค(ซ้ำ...))ของดิสนี่ย์กันครับ จะได้เห็นว่าดิสนี่ย์ไม่ไดทำอนิเมชั่นสวยหวานมาเอาใจหนูๆอย่างเดียวนะเฮ้ย! แม้จะคิดว่าเขาก็มีการ 'ปรับ' มันบ้างน่ะแหละ แต่มันก็ยังหลอนอยู่ดี ชนิดที่ Aliceฯ เวอชั่น ทิม เบอร์ตัน นี่ถ้าจะหลอนก็หลอนเพราะลุคมากกว่าหลอนจริงๆ ชนิดที่ถึง จอห์นนี่ เด็ป เฮียจะแต่งองค์มาลุคพิลึกยังไง แต่มาท่านั้นนี่ก็เทียบความหลอนของ Mad Hatter เวอชั่นอนิเมชั่นดิสนี่ย์ไม่ได้เลย เฉพาะในฉาก Unbirthday กลางโต๊ะน้ำชานี่ก็กินขาดแล้ว

เพราะงั้นในที่นี้ก็จะพิจารณา Alice Trough the Looking Glass เฉพาะในฐานะภาคต่อของ Alice in Wonderland เวอชั่นรีบูท (อีกและ...ก็ตามนั้นแหละ) ของ ทิม เบอร์ตัน ล่ะนะฮะ

เปลี่ยนตัวผู้กำกับมาเป็น เจมส์ โบบิน ส่วนเฮีย ทิม ย้ายไปเป็นผู้อำนวยการสร้างแทน (อย่างนึงแกก็คงไปง่วนอยู่กะหนังอย่าง Miss Peregrine's Home for Peculiar Children ที่มีต้นฉบับจากวรรณกรรมเหมือนกัน) อืม...จริงๆเห็นมันเป็นหนึ่งในโปรเจ๊คท์ของแป๊กของดิสนี่ย์ในปีนี้ (ซึ่งดิสนี่ย์ก็คงเสียดายแต่ก็ไม่น่าจะอะไรเท่าไหร่ในปีนี้ เพราะแม้จะหลุดหนังแป๊กมาจำนวนหนึ่งเหมือนกัน แต่หนังที่ 'ถล่ม' ของดิสนี่ย์ก็มีหลายหัวเหมือนกันนะปีนี้) ก็เลยหวาดๆอยู่นิกหน่อย เพราะภาคแรกแม้จะดูสนุกดีพอเพลินๆ เนื้อเรื่องไม่อะไรมาก สนุกกะวิชชวลกะอะไรแบบ แอนน์ แฮทธาเวย์ แสดงเป็นราชินีขาวให้ไฮเปอร์นิดๆเพี้ยนหน่อยๆอะไรงี้มากกว่า แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรนักเหมือนกัน แล้วทำไมไปดูภาคนี้หว่า?... อืม?...

ก็อาจเพราะแม้ใช่อยากจะเห็นภาคต่ออะไร แต่ในตัวอย่างพอเขาเลือกจะเล่าเรื่องต่อโดยเอาเรื่องของ 'เวลา' มาเล่น เราก็เกิดรู้สึกว่า เออ ก็น่าสนใจดี ดีไซน์อะไรก็ไม่เลว และอยากดู ซาซา บารอน โคเฮน เล่นเป็นเจ้าหมอ เวลา นี่ด้วย

เอาจริงๆ ก็สนุกดีนะ อาจเหมือนหลายๆเรื่องที่แม้แรกพบเราจะไม่ประทับใจอะไรเพราะเอาไปเทียบโน่นนี่ไม่ได้ดังใจอะไรก็ว่าไป แต่พอเวลาผ่านไป (ไหนขึ้นสร้อย เวลาไม่ช่วยอัลไล?!!...) เราก็ดันแบบก็รับได้นะ เฉยๆ ก็โอเค ประมาณว่าก็พอรู้แล้วว่ามันมาอีท่าไหน เลยไม่ได้คาดหวังอะไรใหญ่โต พอเป็นแบบนี้บางทีไอที่ไปดูเพราะไม่ได้คาดหวังอะไรไว้เยอะๆดันดูสนุกเฉยเลย (เป็นเคสของ Jurassic Park III ที่หลายคนอาจจะยี้ แต่พอดู The Lost World แล้วไม่ถูกใจนัก ภาคนี้กะไปดูแบบนั่งเซ็งไปก่อนเต็มที่ (ตกลงนี่มาดูเพราะครูสั่งการบ้านเรอะ??) ดันดูสนุกเฉยเลย สนุกกว่า LW ซะอีก) อันนี้คือเป็นเรื่องของการคาดหวัง การเปรียบเทียบ มากกว่าเรื่องของเวลาตรงๆนะ (อะแฮ่ม ยังจะแถ)

ไอเดียเรื่องพ่อคุณ 'เวลา' นี่ผ่านนะ สนุกดีเหมือนกัน และก็ชอบที่ ซาซา บารอน โคเฮน แสดงด้วย ดีไซน์อะไรอาจจะออกมาครึ่งๆเพี้ยนๆมากกว่า แต่เราโอเคกะตัวละครตัวนี้ แม้จะรู้สึกว่าการโยงเข้าเรื่องเวลานี่ออกจะดูเหมือนเล็กไปนิด แต่ก็ดูใหญ่โตเกินตัวชอบกลในเวลาเดียวกัน ก็ตาม และก็รู้สึกว่าอลิซทำเรื่องยุ่งมากไปหน่อย แต่พอคิดๆไปมันก็อยู่ในแมนเนอร์แบบหนังแฟนตาซีประมาณนี้อยู่เหมือนกัน ดูๆไปก็เลยไม่ได้อะไรนัก


ไอเดียเรื่อง เวลา ในภาคนี้อย่างที่บอกว่าน่าสนุกดีทีเดียว และด้วยลุคและการแสดงของ ซาซา บารอน โคเฮน ก็คิดว่าทำให้มันดูสนุกดี ชอบพอสมควร แม้ว่าการออกแบบอะไรจริงๆก็จะดูเหมือนกะให้ลุคออกมา สวย แฟนตาซี มากกว่าจะคิดมาให้รอบด้านจริงๆ ซึ่งก็น่าเสียดายนิดๆ แต่ที่ออกมาก็โอเค และแม้จะน่าสนุก และเรื่องวิชชวล เรื่องภาพ (บางอย่างก็ทำให้นึกไปถึง MIB 3 ชอบกล - อันนี้ก็คิดว่าสนุกกว่าภาค 2 นะ) อะไรต่ออะไรในการเอามาเล่นเรื่องเวลานี่จริงๆก็ทำออกมาได้น่าตื่นตาและพยายามเล่าเรื่องให้ง่ายพอสมควร แต่การเล่าเรื่องเวลาในที่นี้ความจริงก็ดูจะมีจุดที่ดูเข้าใจยากและไม่เคลียร์อยู่หลายจุดเหมือนกัน ซึ่งก็อย่างที่บอกว่าอาจจะน่าเสียดายบ้างที่ยกประเด็นนี้มาเล่นแต่ความเข้มข้นหนักแน่นของมันก็อาจลดลงไปเพราะแบบนี้ ซึ่ง...ก็อาจมีผลบ้างในแง่ที่เด็กๆบางคนอาจเข้าใจคอนเซ็ปท์ส่วนนี้ได้ยากหรืองงๆซักหน่อย ขณะที่ใครที่คิดเยอะก็อาจจะรู้สึกว่ามันไม่เคลียร์เท่าไหร่ คือจะพยายามเล่าให้ง่ายมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดเข้าใจได้หมด จะเล่ายากมันก็จะดูยากเกินไปซะอีก แต่เอาจริงๆที่ออกมาคือดูเอาสนุกก็พอโอเค เพราะก็มีตัวชวยในเรื่องของภาพแทน เรื่องที่ผูกโยงประเด็นเวลาเข้ากับตัวละครในจักรวาลอลิซอินวันเดอร์แลนด์นี่รู้สึกว่าอาจทำใหเรื่องมันดูกระจัดกระจายนิดๆ แต่ก็ไม่เลว โดยเฉพาะประเด็นที่เอามาพูดถึงในลักษณะนี้ การแสดงยังอยู่ในมาตรฐาน แต่ก็อาจมีหลายตัวละครที่มันก็ไม่อิมแพ็คท์เท่าภาคแรกแล้ว (บางตัวอาจจะแค่โผล่มาเพราะแบบ ก็เขาก็เคยอยู่แถวนี้อ่ะ ก็ต้องโผล่มาให้เห็นหน้ากันบ้าง) แต่หลายตัวละครก็ยังมีระดับความเพี้ยนที่น่าพอใจอยู่ ที่เซอไพรส์นิดๆคือ จอห์นนี่ เด็ป เพราะเฮียแป๊กติดกันหลายเรื่องโดนด่ามาก็เยอะในระยะหลังๆ แถมก็บอกไปแล้วว่าความหลอนนี่เวอชั่นเฮียสู้เวอชั่นอนิเมชั่นของดิสนี่ย์ไม่ได้เลย แต่เอาเป็นว่าถ้า Mad Hatter ของจักรวาลนี้เป็นลุคแบบนี้ เรารู้สึกว่า เออ เฮีย เด็ป แกก็แสดงดีนี่หว่า โอเคอ่ะครับ อันนี้คิดว่าไม่ใช่การแสดงที่จะต้องโดนด่า เราว่าโอเค

จริงๆเรื่องของคุณพี่ เวลา นี่ก็ไม่ค่อยจะเคลียร์เท่าไหร่ เนื่องจากมีกฎเกณฑ์เยอะ อืม...แต่ก็อาจจะมองว่าคล้ายๆผู้สร้างกฎหมายก็ยังต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเหมือนกันก็พอจะโอเคละมัง... (เอาแบบนั้นไปก่อน) แต่อย่างที่บอกว่าคาแรคเตอร์ตัวนี้ก็สนุกดี

เพราะงั้นรวมๆก็ดูสนุกดี อาจจะคิดอยู่เหมือนกันว่าแม้จะพยายามเล่นเรื่องใหญ่ และความสนุกอะไรต่ออะไรในระดับนี้คือก็ถือว่าดีพอสมควร ก็คิดนิดๆเหมือนกันว่ามันก็ไม่ใช่ระดับที่จะมาถล่มทลายอะไร ถ้ามองเป็นหนังที่ไม่ต้องถึงระดับปรากฏการณ์ (เหมือนภาคแรกที่ถล่มทลาย แบบเราก็งงๆนิดๆ - ก็ไม่ได้เป็นฝ่ายชอบมากไรงี้ล่ะนะ) เนื้อเรื่องอะไรต่ออะไรของ Alice ภาคนี้ก็สนุกดีไม่เลว คือแอบคิดว่าถ้าคิดเล็กลงซักหน่อยก็อาจจะสมตัวมากกว่านี้ แต่ก็ไม่รู้มันจะปุบปับลดสเกลยังไงนะ? เพราะไม่นับเรื่องวิชชวล เอ็ฟเฟ็คท์ อะไรเยอะแยะ (ซึ่ง...จริงๆก็เป็นข้อดีของหนัง) ระดับดาราแต่ละคนนี่ก็...
ไม่ค่อยได้พูดถึงอลิซ แต่จริงๆ มีอา วาชิคอฟสกา ก็เล่นเป็นอลิซได้ดีโอเคนะ ต้นเริ่มเรื่องในภาคนี้แม้จะเอาบันเทิงไปบ้าง(?) แต่ก็สนุกดี

จริงๆแล้ว Alice ภาคนี้ก็มีเนื้อเรื่องซีเรียสพอสมควรเลยเหมือนกัน แม้มันจะถูกฉาบไว้ด้วยวิชชวลสีลูกกวาด ทั้งเรื่องชีวิตของอลิซเอง ที่ทำให้ต้องหลงกลับมาใน แดนมหัศจรรย์ อีกครั้ง และจริงๆยิ่งมันไปผูกโยงกับเรื่องของ เวลา เข้าอีก คิดว่าแม้ ลุค มันจะดูไม่ใหญ่โตเท่าภาคแรก แต่เนื้อเรื่องมันก็ค่อนข้างใหญ่และมีประเด็นน่าคิด โดยเฉพาะกับแต่ละตัวละครที่ตกมาอยู่ในวังวนของเวลาเช่นนี้ ซึ่งอาจทำให้ประเด็นของภาคนี้ดูน่าสนใจกว่าภาคแรกด้วยซ้ำ และแม้จะยังคงคิดอยู่ว่าเรื่องมันนำเสนอประเด็นซีเรียสมากกว่าท่าทีบางช่วงและบทสรุปของหนังเอง (ซึ่งเป็นเรื่องที่รู้สึกกับภาคแรกเหมือนกัน) แต่ก็คิดว่ามันก็สนุกดี 7.4 คะแนน

ปล. เรื่องนี้ยังเป็นคล้ายๆหนังอำลา อลัน ริคแมน ผู้แสดงเป็นศาสตราจารย์สเนปในหนังชุด Harry Potter ด้วยครับ โดยเขาพากย์ตัวละคร เอบโซเลม

แบบยาวๆ
ด้านบนนี่สั้นแล้วเรอะ?...แม้เรื่องเวลาและประเด็นภาคนี้จะน่าเอามาพูดเพิ่มอยู่หรอกนะ... (พล่ามเกินก็แบบนี้...)


นึกถึง
ขอนึกถึงทิ้งไว้ก่อนว่า แนะนำหนังไว้ซัก 2 เรื่อง ที่มีท่าทีและประเด็นผูกโยงกับ อลิซอินแดนมหัศจรรย์ นี้นะ โดยไม่ลงประเด็นเรื่องเวลา อันนั้นเอาไว้เขียนแยกดีกว่า หุหุ (อีกแล้วเรอะ?!)

เรื่องแรกก็คือ เวอชั่นอนิเมชั่นคลาสสิคของดิสนี่ย์ที่บอกว่า แม้ลุคจะน่ารักตามสไตล์ดิสนี่ย์ แต่ก็ 'หลอน' กว่าเวอชั่นนี้มากน่ะแหละ










กับอีกเรื่อง คือ Pan's Labyrinth ของผู้กำกับ กิลเลอร์โม เดลโตโร่ (ฺBlade II, Hell Boy 1-2, Pacific Rim เป็นต้น) ที่เป็นอีกหนึ่งหนังชอบมากที่แนะนำเป็นอย่างยิ่ง แม้ประเด็นจะไม่ถูกผูกโยงซับซ้อนหลายตัวละครอย่างอลิซ แต่ก็หลอนกว่าอลิซเวอชั่นนี้มากอีกเหมือนกัน (ตกลงแนะนำเพราะอะไรหว่า?...)








ที่เหลือ ไว้ว่ากันอีกที...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น