วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] DEMOLITION : ประกอบชีวิต



แบบสั้นๆ
หนังจากผู้กำกับ Jean-Marc Vallée ผู้กำกับหนังอย่าง Dallas Buyers Club (ซึ่งเป็นหนังชิงออสการ์ปีนั้นที่น่าจะชอบที่สุดในบรรดาหนังเข้าชิง) และหนังอย่าง Wild ที่มี รีส วิทเทอร์สปูน แสดงนำ ข่าวว่าเป็นหนึ่งในบทหนังน่าสร้างอะไรทำนองนั้นที่วนเวียนในฮอลลีวู้ดมาซักพัก เมื่อมาอยู่ในมือของผู้กำกับหนังดราม่าระดับรางวัล จึงดูน่าคาดหวังทีเดียว แถมยังมีนักแสดงทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นละอ่อน(กว่า) อย่าง เจค จิลเลนฮาน (ที่หลังๆก็เล่นในหนังมันๆหลายเรื่อง) นาโอมิ วัตส์ หรือ คริส คูเปอร์

หนังน่าสนใจทีเดียว เมื่อมันพูดถึงชีวิตของคนเมือง ที่อาจไม่ได้คิดอะไรนอกจากการมองไปที่ทางชีวิตซึ่งดูจะชัดเจน งาน เงิน บ้าน ครอบครัว พาหนะ สถานะ ฯลฯ และอะไรก็ได้ที่พยายามจะรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ ซึ่งถ้ารักษาได้ ว่าไปชีวิตแบบนี้ก็ดูจะ 'เพอเฟ็คท์' ดีไม่น้อย? แต่ว่าชีวิตนั้นประกอบด้วยอะไรบ้างล่ะถึงจะเรียกว่าชีวิต? สำหรับชายหนุ่มในเรื่องเมื่อมีเหตุการณ์ร้ายแรงเข้ามากระทบชีวิตจังใหญ่ ดูเหมือนมันทำให้เขาต้องกลับไปตั้งคำถามกับเรื่องที่ว่า และดูเหมือนเขาจะมีบางคำถามที่ 'สงสัย' เกี่ยวกับตัวเขา แต่ภายใต้ความมึนงง เขาควรจะเริ่มจากตรงไหน? และตัวเขาที่มาจนถึงจุดนี้ จริงๆแล้วเขาควรจะพอใจ และแน่ใจ ในสิ่งเหล่านี้จริงๆหรือ?...

เรื่องราวของหนังดู 'ใหญ่' และมีเรื่องราวที่น่าสนใจดี โดยเฉพาะเมื่อมันย้อนมาตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องราวการดำเนินชีวิต และการให้ค่ากับสิ่งต่างๆรอบๆตัวในระหว่างชีวิต หนังมีเรื่องราวที่ดึงเราเข้าสู่เนื้อหาของมันได้อย่างชวนช๊อค และเมื่อเรื่องราวเริ่มขึ้น ก็มีความพิสดารบางอย่างที่กระตุกความสนใจ เพิ่มความลึกลับและน่าค้นหา เพื่อไปถึงบทสรุปของเรื่องราว และหนังก็เติมตัวละครของ นาโอมิ วัตส์ เข้ามาเพื่อดึงตัวละครออกจากมุมมองเดิม สถานะและสิ่งแวดล้อมเดิม พร้อมกับลูกของเธอ ที่ก็กำลังเติบโตเปลี่ยนวัยและดูจะกำลังค้นหาเรื่องราวของชีวิต ขณะเดียวกัน ตัวละครของ คริส คูเปอร์ ก็มีตัวตนความคิดและชีวิตที่ถูกหล่อมหลอมมาจากอีกรูปแบบและสถานะหนึ่ง หนังจึงให้มุมมองและคำถามหลากหลายเกี่ยวกับชีวิต และเป็นภาพที่ทำให้หนังน่าสนใจ

ขณะเดียวกันนักแสดงทั้ง เจค จิลเลนฮาน, นาโอมิ วัตส์, คริส คูเปอร์ และ จูดาฮ์ เลวิส (แสดงเป็นลูกของ นาโอมิ วัตส์ ในเรื่อง) รวมถึงนักแสดงในบทสมทบอื่นๆก็แสดงได้ดี มีเสน่ห์ และความเข้มข้นตามบท ทั้งยังมีเคมีระหว่างกัน(ทั้งดีและร้าย)ในฉากในระดับที่น่าพอใจด้วย ซึ่งก็เพิ่มน้ำหนักให้ความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องราวเหล่านี้ได้ดี

 เรื่องราวของหนังมีรายละเอียด ความพลิกผัน ลูกล่อลูกชน การดำเนินเรื่อง และจังหวะของเรื่องราวที่น่าสนใจ มันยังประกอบไปด้วยฉากกระตุกความสนใจและรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่น่าสนใจไปตามรายทาง ซึ่งก็ดูจะทำให้เรื่องราวของหนุ่มรายนี้นำไปถึงบมสรุปที่กระทบใจในท้ายที่สุด

แต่ทว่าก็หนังก็ดูจะไปไม่ถึงจุดนั้น แม้การกำกับของ ฌอง-มาร์ค ฯ จะดูพยายามรักษาความราบเรียบของการเล่าเรื่องเอาไว้ ไม่ให้มันดูจะล้นหรือมากไปในการแสดงอารมณ์หรือปล่อยให้ถูกเมื่อมาถึง และความจริงหนังยังมีจังหวะดีๆหลายฉาก แต่ว่าไปดูเหมือนสิ่งที่ล้นเกินดูจะเป็นรายละเอียดของเรื่องราวที่แม้จะดูพยายามกล่อมเกลาร้อยเรียงด้วยรายละเอียดแล้ว มันก็ยังอดคิดไม่ได้ว่ามันดู 'เว่อ' และ 'จงใจ' ทั้งแม้จะมีเรื่องราวแปลกประหลาดที่น่าจะเป็นส่วนที่น่าติดตามของหนัง (แม้จะเว่อ) มันก็ยังมีหลายส่วนที่ดู 'สูตร' อย่าง 'จงใจ' อย่างไม่น่าเชื่อ (คือถ้าสูตรบ้างแต่ดูเป็นธรรมชาติมันจะไม่ค่อยรู้สึก เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวไปแล้วอย่างเหมาะสมก็ได้) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรื่องราวเลือกเอาชีวิตของชายหนุ่มในวงการเงินที่ประสบความสำเร็จมาเล่า แม้จะพยายามโน้มน้าวผู้ชมให้รู้สึกไปกับเรื่องราวของเขา แต่หลายๆอย่างที่นำเสนอบางทีก็น่าสงสัยเหมือนกันว่า กลุ่มผู้ชม ที่น่าจะอินไปกับเรื่องราวแบบนี้ น่าจะเป็นผู้ชมกลุ่มไหนดี? เพราะหลายๆครั้งมันทำให้รู้สึกว่าหลายๆอย่างมันดูเป็นการ 'ละเล่นของคนมีตังค์' ไปแบบแปลกๆด้วย (ซึ่งอันนี้อาจจะผิดที่ผมเอง ที่ไม่เข้าใจโลกแบบนั้นเท่าไหร่ - ซึ่งก็อาจแปลว่า ผมไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของหนังเรื่องนี้) แถมเมื่อตัวละครดูจะอยู่ระหว่างรื้อชีวิต แต่ยังไม่รู้จะประกอบอะไรขึ้นมายังไงดี ปรัชญามองโลกในแง่ดีของตัวละครก็ยังดู 'จงใจ' จะ 'ไนซ์และน่าประทับใจเกินไป' แบบงงๆอีก ซึ่งก็ทำให้หนังดูจะไปไม่ถึงจุดหมายที่จะเป็นหนังดราม่า ขายความประทับใจ ที่มาพร้อมข้อคิดที่ฝังลึกในใจผู้ชม ไปอย่างน่าเสียดายด้วยจังหวะงงๆ

หรืออาจเป็นเพราะท่าทีของหนังด้วย? ที่ดูๆไปแล้วก็ไม่แน่ใจว่าหนังพยายามจะเป็น ดรามิดี้ ที่เป็นเรื่องราวชีวิตหนักๆที่เจืออารมณ์ขันรึเปล่า? รูปรอบของหนังจึงดูครึ่งๆในหลายช่วง แต่รวมๆถ้าจะคอมเมดี้ มันก็ดูจะมีเรื่องราวที่หนักเกินไป และเราก็ขำกับหลายๆอย่างขนจอไม่ไหว (ขำแบบดาร์คก็ไม่ไหว) ขณะเดียวกันมันก็เลยมี 'พฤติกรรม' แปลกๆเข้ามาซึ่งอาจเป็นระดับที่ เกินไป ของหนังอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนตัวคิดว่าหนังเป็นดราม่าเรื่องราวค่อนข้างหนัก ที่มีองค์ประกอบบางอย่างมาช่วยผ่อนคลายอารมณ์ของหนังมากกว่า

อย่างไรก็ดี หนังก็มีการแสดงจากตัวละครนำที่น่าประทับใจ (คือถึงพวกเขาจะพยายามและเล่นได้ดีแล้ว และมีจังหวะน่าประทับใจในหลายฉาก แต่มันก็กลบความ 'เกินไป' ของหนังไม่ได้) โดยเฉพาะดีใจมากที่เห็น นาโอมิ วัตส์ ในเรื่องนี้ แม้อาจไม่ใช่ผลงานระดับสุดยอดของเธอ แต่เธอก็ให้การแสดงที่ดี (โดยเฉพาะในฉากขำกลางงานเลี้ยงหรู - ซึ่งเป็นจังหวะ และประเด็นที่คิดว่าดีมากของหนัง - เป็นธรรมชาติกว่าประเด็นใหญ่ๆของทั้งเรื่อง ซึ่งก็ทำให้มันดูน่าสนใจตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้) และหนังก็พยายามจะนำเสนอเรื่องของ ชีวิต ที่บางครั้งเมื่อมันดูจะ ไม่ทำงาน แม้จะดู สวย เราอาจต้องการลอง รื้อมันออก เพื่อ ทำความเข้าใจมันดู เผื่อว่าเราจะเข้าใจมันมากขึ้น อย่างไรก็ดีถ้าเพียงแต่รื้อโดยไม่รู้ว่าจะประกอบมันขึ้นใหม่ยังไง... ถ้าประกอบคืนให้ ใช้งานต่อไปได้ ไม่ได้ล่ะก็... ที่เหลือก็เป็นเพียงแต่ซากรอวันผุพังเท่านั้นเอง...

ก็นี่ล่ะครับ จริงๆหนังมีประเด็นที่น่าสนใจ มีเรื่องราวและจังหวะที่ก็น่าสนใจ และมีนักแสดงและการแสดงที่ดี แต่มันก็ดู เกินไป และ จงใจ มากไป อย่างช่วยไม่ได้จริงๆ แต่ใครที่สนใจหนังเรื่องราวทำนองนี้ นี่ก็เป็นหนังน่าสนใจที่มีการแสดงดีๆ ใครที่ชอบนักแสดงคนไหนในเรื่องก็ลองเอาเรื่องนี้ไปดูได้ ที่ให้รสชาติแปลกดี มีเครื่องปรุงเครื่องเคียงบางอย่างที่อร่อยดี แม้ทั้งจานจะไม่อร่อยล้ำลึกในท้ายที่สุดก็ตาม 7.5 คะแนน ให้คะแนนการแสดง และจังหวะดีๆของหนัง รวมถึง นาโอมิ วัตส์ (ลำเอียงบ้างก็คงทำได้แค่ขออภัย)


แบบยาวๆ


ทำไปทำมาก็ยาวแล้วอ่ะ... ไม่รู้เหมือนกัน...
เรื่องนี้ทำให่นึกถึงหนังอีกเรื่องที่ดูทีหลัง และก็น่าจะเขียนถึงแบบรีบๆเร็วๆนี้เหมือนกัน...


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น