วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] SING STREET รักใครให้ร้องเพลงรัก : หนัง เพลง ตัวละคร ที่ทำให้เราหลงรัก...



จอห์น คาร์นี่ เป็นผู้กำกับหนังเรื่อง Once และผมชอบ Once มาก ทั้งตัวหนัง ตัวละครในเรื่อง และเพลง 

Once เป็นหนังที่มีดนตรีเป็นหัวใจ เรื่องของคนกับเพลง ครั้งนึงตอนที่มีข่าวว่าผู้กำกับ Once มีหนังใหม่เข้าฉาย เรื่อง Begin Again และก็พอรู้ว่าเป็นหนังเกี่ยวกับเพลงอีก พอเห็นโปสเตอร์หนัง นักแสดง ดูตัวอย่างผ่านๆโน่นนี่ แถมยังมีเพลงดังตั้งแต่หนังยังไม่ฉาย ทำไปทำมาผมดันเกิด กลัว ว่าหนังมันจะ ป๊อบ เกินไป ไม่เหมือนความรู้สึกตอนดู Once ทีแรกจึงคิดว่าจะข้ามเรื่องนี้ไป แต่ตอนหนังเข้าฉายจริงก็มีกระแสเสียงชื่นชมให้ได้ยิน สุดท้ายก็กลับใจไปดูจนได้... และก็พบว่า แม้ผมอาจจะไม่ได้ชอบเรื่อง Begin Again มากเท่ากับ Once แต่หนังเกี่ยวกับเพลงเรื่องนี้ก็ยังน่าประทับใจ ดูสนุก มีเอกลักษณ์ที่ทำให้มันไม่ซ้ำใครและน่าตื่นเต้น และยังมีประเด็นดีๆมานำเสนอ นอกนั้นมันยังมีสิ่งที่มีใน Once นั่นคือความขมบางอย่างอยู่ในหนังเกี่ยวกับเพลงอยู่ในหนังที่ทั้งน่าประทับใจ กินใจ และสร้างแรงบันดาลใจทั้ง 2 เรื่อง ทั้งยังมีเสน่ห์ให้หลงรัก ประมาณว่ารู้สึกผิดเลยทีเดียวที่ดันไปปรามาสหนังไว้ว่ามันคงป๊อบจนไม่น่าประทับใจเท่ากับ Once

เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลาของ Sing Street แค่รู้ว่าเป็นหนังเกี่ยวกับเพลง โดยผู้กำกับ Once และ Begin Again ก็ทำให้ตั้งตาตั้งใจรออย่างใจจดใจจ่อได้แล้ว

พอเห็นโปสเตอร์แปะตามโรงหนังก็ดีใจ เมื่อได้เห็นตัวอย่างหนังก็ตื่นเต้น 

คงไม่ต้องบอกว่าหนังเข้าแล้วผมจะไปดูหรือไม่ไป

เป็นหนังที่เชียร์ให้ไปดูกันครับ นี่ไม่ใช่แค่หนังเกี่ยวกับเพลง หนังรัก หนังสนุก หนังระลึกวันวาน หรือหนังสร้างแรงบันดาลใจ... มันเป็นหนังที่ หนังที่... ยังไงดี? มันเป็นหนังที่ทำให้เรารู้สึกรัก 
ยิ่งชอบ Once หรือ Begin Again มาก่อน หรือชอบทั้งสองเรื่อง ยิ่งไม่ควรพลาด (แต่ถ้าขนาดนั้น เขาคงไปดูกันมาหมดแล้วมัง...)

ความจริง ความรู้สึกแรกๆตอนได้ดูตัวอย่างหนัง Sing Street จากเรื่องราวที่ตัดมาพอให้รู้ในตัวอย่าง ผมออกจะคิดว่าเรื่องนี้น่าจะดู สูตร มากกว่าหนังเรื่องอื่นของ จอห์น คาร์นี่ (อีกแล้ว...) เพียงแต่ว่าครั้งนี้ผมเลือกเชื่อมากกว่าว่า Sing Street ต้อง ดี แน่ๆ และไม่ลังเลใจเลยที่จะไปดู และที่สำคัญ แค่เพลงที่ได้ยินในตัวอย่างก็ ติดหู แล้ว

ให้ตายเถอะ 

หนังเกี่ยวกับเพลงเรื่องนี้ยังคงมีรสขมติดมาด้วย จอห์น คาร์นี่ย์ กลับไปเล่าเรื่องราวในไอร์แลนด์ ประเทศบ้านเกิดของเขา (แหละมัง) เรื่องเริ่มด้วยภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ ครอบครัวหนึ่งจึงคิดจะให้ลูกย้ายโรงเรียนไปเรียนโรงเรียนที่ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า แน่นอนว่า คอร์เนอร์ ต้องเจอเรื่องราวแย่ๆในโรงเรียนใหม่ที่ย้ายไป ทั้งการกลั่นแกล้ง กฎระเบียบสุดเฮี้ยบ แถมเรื่องราวในครอบครัวระหว่างพ่อกับแม่ก็ยิ่งดูแย่ลง แต่ก่อนที่ชีวิตของเขาจะทำให้ใจของเขาอัปปางไปซะก่อน หลังพบเพื่อนคนหนึ่ง เขาก็เกิดหลงเสน่ห์หญิงสาวสวยลึกลับแถวหน้าโรงเรียนเข้า ความขมองอิ่มเกิดขึ้นกับคอร์เนอร์ในบัดดล ทำให้เขาชวนเธอมาแสดง MV ให้วงของเขา เธอดูจะไม่ปฏิเสธเสียด้วย แต่เขายังไม่มีวงเสียหน่อย นั่นจึงทำให้เขาต้องหาสมาชิกมาฟอร์มวงให้ได้โดยด่วน!

และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่นำพาเราเข้าสู่เรื่องราวของ Sing Street

แม้เรื่องราวจะเริ่มต้นอย่างดูน่าสนุกชนิดที่เรื่องราวที่เริ่มด้วยเศรษฐกิจย่ำแย่จะยังทำอะไรไม่ได้ (ซึ่งหนังก็สนุกจริง) แต่อย่างที่บอกไว้ว่าหนังของ จอห์น คาร์นี่ เรื่องนี้ก็ยังคงมีความขมผสมอยู่ในปริมาณไม่น้อย ทั้งเรื่องราวเบื้องหลังของสาวสวยลึกลับที่พระเอกของเราหลงรัก ความเป็นชายขอบของเหล่าบรรดาสมาชิกวง เรื่องราวในครอบครัวของคอร์เนอร์เอง และสภาพเศรษฐกิจย่ำแย่ที่ยังคงแทรกซึมอยู่ในเรื่องราวของหนัง 

แต่เมื่อดูจบลงความรู้สึกโดยรวมของหนังกลับเป็นพลังที่เปี่ยมล้นและความมีชีวิตชีวา เนื่องด้วยทั้งตัวละครและบทเพลง ตัวละครทุกตัวถูกเล่าและแสดงด้วยความมีชีวิตชีวา ตั้งแต่บทเล็กๆน้อยๆไปจนถึงบทสำคัญ ทั้งตัวละครร้ายๆและตัวละครในฝั่งพระเอก(?) นักแสดงเองก็เล่นได้อย่างพอดีและมีเสน่ห์เล็กๆน้อยๆโปรยไว้ตามทางแทบจะตลอด และมันยังทั้งเล่าเรื่องและเติมรายละเอียดให้ตัวละครและเรื่องราวรวมถึงบุคลิกของทุกๆตัวละครได้อย่างแนบเนียน ซึ่งเราอาจไม่รู้สึกชัดในตอนดูแต่มันยังทำให้เรา ขำ ยิ้ม รู้สึก และยังจำมันได้ อย่างเช่น ตอนเจอ อาร์มอน ครั้งแรก เมื่ออาร์มอนแสดงการเล่นเครื่องดนตรีแต่ละอย่างให้ดู มันยังเป็นการอยากอวดเพื่อนที่เพิ่งได้เจอกัน และแสดงบุคลิกของอาร์มอนออกมาได้อย่างน่ารัก หรือการที่เราค่อยๆเห็นคอร์เนอร์ค่อยๆ กล้าขึ้น เก่งขึ้น สนิทกับวงมากขึ้น และมีความมั่นใจมากขึ้น เราจะได้สัมผัสกับการค่อยๆเปลี่ยนไปของคอร์เนอร์ได้มากๆขึ้นๆตามเรื่องราวของหนัง ซึ่งแทรกอยู่ในบริบทต่างๆ ทั้งบทเล็กบทน้อยอย่าง แม่ของอาร์มอน รึพี่สาวของคอร์เนอร์ ก็ยังมีช่วงให้ทำให้เราได้สมัผัสกับชีวิต เรื่องราว และความรู้สึกของพวกเขา กระทั่งในบ้านของคอร์เนอร์ก็มีช่วงเวลาที่ทำให้เราสัมผัสกับเรื่องราวของแม่ของคอร์เนอร์ที่เต็มไปด้วยความรู้สึก โดยที่มันไม่ได้แสดงออกอย่างฟูมฟาย ยิ่งทำให้มันกร่อนความรู้สึกของเราได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แบรนดอน พี่ชายของคอร์เนอร์ ที่โผงผาง แต่ก็เป็นชนวนสำคัญที่คอย 'ใส่' ความคลั่งไคล้หลงใหลในเพลงและคอยผลักดันคอร์เนอร์ แม้จะโผงผางและดูเอาแต่ใจหรือหัวขบถแบบวัยรุ่น แต่เราก็สัมผัสได้ถึงความรักที่มีต่อดนตรีและบทเพลง ทั้งแบรดอนยังรักครอบครัว และให้คำแนะนำคอร์เนอร์อย่างตรงไปตรงมา เมื่อคิดว่าห่วยก็บอกว่าห่วยและไม่เว้นที่จะให้คำแนะนำ แต่เมื่อคิดว่าดี เขาก็บอกคอร์เนอร์ว่าดี และว่านายต้องเก่งกว่านี้ เขาอาจจะดูโผงผางและเอาแต่ใจแต่ก็ตรงไปตรงมามากในเรื่องของเพลงและเรื่องของน้องชาย ไม่รำคาญ ไม่อิจฉา ไม่กั๊ก และยังช่วยยุ แบรนดอนเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญที่น่าประทับใจและแสดงได้อย่างดีทั้งมีพลังและนุ่มนวลโดย Jack Reynor เขาเป็นตัวละครสำคัญที่ทั้งเติมความรู้สึก และมิติให้เรื่องราวของ Sing Street

Sing Street เต็มไปด้วยฉากที่ดูง่ายๆ แต่มันก็อาจทำให้เรายิ้มกว้าง หรือกระทั่งน้ำตาซึม เช่นฉากที่อาร์มอนตอบคอร์เนอร์ว่า "Always." มันยังทำให้เราสัมผัสได้ถึงมิตรภาพและคำว่าเพื่อน ที่ร่วมหัวจมท้ายทำอะไรต่างๆด้วยกัน

และอีกหนึ่งพระเอกของ Sing Street ที่คงจะขาดเสียมิได้ก็คือ เพลง เพลงใน Sing Street ทำบรรยากาศให้ใกล้เคียงกับยุคที่เรื่องราวถูกเล่าและเป็นแรงบันดาลใจให้วงแต่งเพลง นอกจากเพลงจะมีบุคลิกที่น่าสนใจ ไพเราะ มีเมโลดี้ติดหู ฟังสนุก แล้ว มันยังปรากฏตัวออกมาอย่างมีจังหวะจะโคนและน่าตื่นเต้น เมื่อมันถูกใช้เล่าเรื่องและบรรยากาศของตอนนั้นไปพร้อมกันได้อย่างร้ายกาจ เมื่อฟังครั้งแรกเราแค่อาจจะรู้สึกว่ามันเพราะ แต่นอกจากนั้นมันยังปรากฏตัวมาในแต่ละเพลงด้วยบุลลิกที่ไม่ซ้ำกันเลย ราวกับเป็นประหนึ่งตัวละครเฉพาะในแต่ละห้วงเวลาของหนัง อย่างเช่น Riddle of the Model เพลงแรของวงในตอนที่วงพยายามจะทำ MV กันครั้งแรก เราจะได้เห็นทั้งความประดักประเดิดและความซ่าเล็กๆน้อยๆของตัวละคร ซึ่งทั้งหมดเต็มไปด้วยรายละเอียดและสนุกสนาน อย่างเช่นชุดที่แต่ละคนเลือกมาหรือของประกอบฉาก ไปพร้อมๆกับเพลง เห็นสายตาของราฟีน่าที่จ้องมองวง และจ้องมองคอร์เนอร์ ทั้งเพลงและเรื่องราวจึงดำเนินไปทั้งดีงความสนใจของผู้ชมด้วยเสียงและด้วยการเล่าเรื่องไปพร้อมๆกันอีกด้วย

เราคงรู้ว่าคอร์เนอร์ทำวงเพราะอยากรู้จักกับราฟีน่า และอยากแต่งเพลงรักให้ราฟีน่า แต่เรากลับพบว่าเพลงที่แต่งนั้นก็ไม่ได้บอกรักอะไรตรงๆ เป็นเพลงมันๆสนุกๆที่เกือบจะไม่เกี่ยวหรือไม่ใช่เพลงรักด้วยซ้ำ อาจเพราะว่าครั้งแรกๆคอร์เนอร์ก็อาจจะยัง 'ไม่กล้า' ทำอะไรตรงๆขนาดนั้น และเมื่อเวลาผ่านไปเพลงที่ถูกแต่งขึ้นมาเรื่อยๆพร้อมความสนิทสนมที่เพิ่มขึ้น เรื่องราวของมันก็เริ่มขยับเข้าใกล้การบอกความรู้สึกตรงๆมากขึ้น ซึ่งหลายเพลงคอร์เนอร์ก็ใช้ความรู้สึก ณ ขณะนั้นมาแต่งเป็นเพลง เพื่ออยากให้ราฟีน่าได้รับฟัง และหลายครั้งมันก็เป็นตัวสะท้อนความรู้สึกของราฟีน่า เพลงในเรื่องจึงทั้งไพเราะและทำหน้าที่เล่าเรื่อง และสวมไปกับเรื่องได้อย่างกินความรู้สึก ราวกับเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญ

ในช่วงท้ายๆ ช่วงของเพลง Drive It Like You Stole It เป็นช่วงที่ความรู้สึกขึ้นไปสูงสุด สำหรับคอร์เนอร์มันเป็นเพลงที่เต็มไปด้วยพลังและความฝัน เพลงนี้ถูกแสดงออกมาโดยมีสิ่งที่คอร์เนอร์อยากให้เกิดขึ้นมาประกอบอยู่ในจินตนาการของเขาขณะที่แสดงบนเวที มันจึงทั้งสดใส ทรงพลัง แต่ก็เศร้าสร้อยอยู่ในที ทั้งที่เพลงมีจังหวะคึกคักสนกสนาน เพลงต่อมาอย่าง Brown Shoes จึงเป็นแค่เหมือนการ 'เอาคืน' มากกว่า ซึ่งความรู้สึกของมันไม่อาจเทียบกับก่อนหน้าได้ แต่อย่างน้อยที่สุด คอร์เนอร์ ก็ได้เห็นความฝันอย่างหนึ่งจากหลายๆอย่างของเขาปรากฏขึ้นต่อหน้าในเพลงนี้ มันจึงนำไปสู่การผจญภัยและท้าทายกับโชคชะตาในตอนจบ ซึ่งหนังยังคงเล่าถึงตัวละครและความรู้สึกของตัวละครได้อย่างร้ายกาจ หนังจึงจบลงอย่างเต็มไปด้วยพลังและความฝัน 

แม้ว่า เราไม่อาจตอบได้ว่า ณ หนทางข้างหน้าต่อไปของคอร์เนอร์จะดีหรือร้ายจะไร้ซึ่งความน่าประทับใจหรือแรงบันดาลใจในท้ายที่สุดหรือไม่? ณ ที่นั่น เรื่องราวที่ผ่านมาของ Sing Street ก็ได้เปล่งประกายอยู่ในใจเราเรียบร้อยแล้ว

ถ้าจะให้่เล่าสิ่งละอันพันละน้อยของหนังเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ จะใช้เวลามากกว่านี้ 4-5 เท่าก็อาจจะไม่จบ และมันคงสู้การสัมผัสความรู้สึกตรงๆจากหนังไม่ได้ 

เท่าที่ยังอยากจะบอกก็คือ หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังที่ไร้ข้อติ แม้จะมีหลายจุดที่มีเรื่องราวคุ้นๆ แต่การเล่าของ Sing Street ทั้งจังหวะ วิธีการ รายละเอียด และตัวละคร ก็ทำให้ Sing Street เป็น Sing Street แบบที่ไม่มีเรื่องไหนจะให้ความรู้สึกเหมือนกันได้ แต่ยังสร้างความรู้สึกได้มากมายมหาศาล มีการเล่าเรื่องที่แม้อาจไม่เลิศหรูแต่ก็เต็มไปด้วยชั้นเชิง และบทเพลงที่บอกไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าไพเราะ ติดหู มากดูกลับมายังหาเปิดฟังวนไปวนมาไม่รู้กี่รอบ เพลงในเรื่องนี้อาจไม่มีดีกรีถึงขึ้นได้ออสการ์อย่าง Falling Slowly ใน Once และยังไม่รู้ว่าจะได้เข้าชิงอย่าง Lost Star ใน Begin Again หรือไม่ (แต่ถ้าได้ชิงก็ดี เราจะดีใจ) แต่มันล้วนเป็นบทเพลงที่เราหลงรัก และการที่เราได้เห็นสมาชิกวงใน Sing Street ทำอะไรๆด้วยกัน ซึ่งสมาชิกแต่ละคนก็เล่นได้อย่างมีเสน่ห์ ทำให้เราสนุกสนานไปกับพวกเขาจริงๆ และหลงรักพวกเขาได้ไม่ยาก ชนิดที่ทุกคนมีฉากขโมยซีนของตัวเอง (กระทั่งกระต่ายยังขโมยซีน!) และทำให้รู้สึกได้ตั้งแต่แรกๆที่พวกเขาตัดสินใจฟอร์มวงและเดินออกจากห้องประชุมว่ามันช่าง เท่ (อย่างสนุกสนาน)ซะจริงๆ มันยังทำให้เรารำลึกได้ถึงวันเก่าๆ คล้ายๆการเฮโลทำอะไรด้วยกันกับเพื่อนในกลุ่ม แม้จะไม่ใช่การฟอร์มวงดนตรีหรือแต่งเพลงได้เพราะพริ้งก็ตาม มันยังทำให้นึกถึงครั้งที่ได้ทำอะไรบ้าๆบอๆ หรือครั้งที่ทำอะไรออกมาแล้วคิดว่ามันเจ๋งเหลือเกินจนบางครั้งเราก็คิดถึงความรู้สึกแบบนั้นและอยากได้สัมผัสมันอีก หรือถึงไม่ได้นึกถึงเรื่องเหล่านั้น มันอาจเป็นหนังที่ทำให้คุณอยากกลับมานั่งแต่งเพลง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเคยแต่งเพลงจีบสาวมาก่อน) หรือถ้าไม่เคยแต่งเพลงมาก่อนก็อาจทำให้คุณลองกลับมาแต่งเพลงดูซัก (ประโยค...) วะ! หรืออาจจะอยากกลับมานั่งเขียนกลอนซักบท ขนาดนั้นเลยทีเดียว (ส่วนผม...อย่าให้พูด แม้จะเกิดความรู้สึกที่ว่าอย่างท่วมท้นตอนดูจบ แต่...นี่คือที่จะเขียนถึงหนังก็ดองมานานมากจนหนังจะลาโรงไปหมดแล้ว...)  

และอย่างที่บอกมันเป็นหนังที่มีรสชาติขมผสมอยู่ แต่ก็เล่าล้อไปกับเรื่องราวของความรัก ทั้งในครอบครัว พี่น้อง เพื่อน ความฝัน หรือบทเพลง ให้เราสัมผัสได้อย่างกินใจ โดยเฉพาะในขณะเดียวกันความรู้สึกแรกที่ดึงคอร์เนอร์ให้เจอกับราฟีน่าและเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ตามมาทั้งหมด ก็ยังเล่าได้อย่างน่ารัก น่าสะเทือนใจ และน่าประทับใจ ทำให้มันอบอวลไปด้วยความรู้สึกตามชื่อไทยที่ตั้งมาได้เข้าดีจริงๆว่า รักใครให้ร้องเพลงรัก 

ครั้งแรกที่ไปดูหนังเรื่องนี้ผมคิดว่าจะให้คะแนนซัก 8.5 คะแนน แต่หลังจากไปดูครั้งที่สอง (นี่...แปลว่าเอ็งไปดูมาสองครั้งก็ยังดองไว้ต่อไม่ได้เขียนซินะ...) ก็คิดจะเพิ่มคะแนนให้เป็น 8.8 คะแนน ซึ่งแม้จะดูไม่มากนักแต่จะได้เพิ่ม .3 คะแนนมันก็ไม่ง่ายนะ... แต่เมื่อคิดว่านี่เป็นหนังอีกเพียงเรื่องเดียว นอกจาก Our Little Sister ในรอบสองปีที่ผมดูในโรงสองรอบโดยไม่มีโจทย์หรือวาระใดๆ (เช่น อยากดู IMAX หรือเป็นอีเว้นท์พิเศษ) แค่รู้สึกว่าเฮ้ยพอจะว่างไปดูนี่หว่า อยากดูอีกรอบจัง แล้วก็ไปดูจนได้ โดยที่ความชอบไม่มีลดลงเลย (บางอย่างอาจเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ) ด้วยความชอบและหลงรักขอให้ 9.0 คะแนนครับ (นี่... มาตรฐานมันอยู่ตรงไหนเนี่ย... คะแนนพิเศษความชอบมันก็น่ากลัวแบบนี้แหละครับ แต่มันก็แค่เพิ่มคะแนนจากหนังดีมาก เป็นหนังดีและชอบมากๆๆเท่านั้นเองนะ)

เชียร์มากๆ ยังพอมีรอบอยู่บ้าง (ที่จำได้เห็นที่ LIDO สยาม และ House RCA) ใครเห็นหนังแล้วไม่แน่ใจว่าเรื่องอะไรยังไง ลองเข้าไปดูเถอะครับ มันไม่มีระเบิดหรือเอ็ฟเฟ็คท์แอ็คชั่นวินาศสันตะโรอะไร แต่เชื่อว่ามันจะทำให้เวลาที่คุณเสียไปดูในโรงเป็นเวลาที่คุ้มค่า (เชียร์ออกนอกหน้ามาก)



นึกถึง
อู้นานเลยไม่มีเวลาเขียน จริงๆอยากเขียนถึงหนัง จอห์น คาร์นี่ ด้วย และหนังเกี่ยวกับเพลงอื่นๆอีกด้วย เอาไว้จะมาเขียนถึงอีกทีละกันนะครับ

อู้ก่อน...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น