วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์, อนิเม] STORKS บริการนกกระสาเบบี้เดลิเวอรี่ : ปฏิบัติการเถิดเทิงสองคู่หูจำเป็นเผชิญ วายร้าย เบบี๋ กับแก็งวูลฟ์แพ็ค



แบบสั้นๆ
ในช่วงหลังๆมานี้ ทุกสตูดิโอใหญ่ฮอลลีวู้ดดูจะยังมองเห็นศักยภาพ (หรือไม่ก็ทางบุกเบิกตลาด) ในหนังอนิเมชั่น จึงดูเหมือนทุกสตูดิโอจะส่งอนิเมชั่นเข้าประกวดปะขันกันอุ่นหนาฝาคั่งใช้ได้ทีเดียว

แถมช่วงนี้อนิเมชั่นเกี่ยวกับสัตว์ก็ดูจะได้รับความนิยมเป็นพิเศษ มีทั้ง เมืองสรรพสัตว์ใน Zootopia ผจญภัยโลกใต้น้ำไปกับภาคต่ออันเป็นที่รักอย่าง Finding Dory  ตามไปดูเบื้องหลังเจ้าของของเหล่าสัตว์เลี้ยงใน Secret Life of Pets หรือแก๊งสัตว์ดึกดำบรรพ์หนีวันโลกแตก(ที่เป็นตัวประกอบให้กับเจ้าบรรพบุรุษกระรอกล่าลูกนัท...)ก็ยังคงมาวิ่งหนีวันโลกแตกใน Ice Age : Collission Course กันต่อ แถมว่าไปอย่างรีเมกเมาคลีลูกหมาป่าใน The Jungle Book นี่ก็เกือบๆจะอนิเมชั่นอยู่แล้วนะเนี่ย แล้วถ้าจะเอาอย่างนั้นเรายังมี Pete's Dragon (นี่ก็อีกหนึ่งรีเมก) ที่มาพร้อมกับมังกรเขียว... เดี๋ยวนะ อันนี้...   (แล้วปีนี้ หนังอนิเมชั่นสัตว์ก็ยังไม่หมดนะเออ)

เอาเป็นว่า... และนี่เป็นอีกหนึ่งอนิเมชั่นจากค่าย วอร์เนอร์ (Warner) ที่ก็(พูดได้แหละนะว่า)มีเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์เหมือนกัน  กับเรื่องราวของนกกระสา ที่ใครได้ดูการ์ตูนสมัยก่อนก็คงเคยผ่านตาเรื่องของนกกระสาคาบเด็กทารกไปส่งให้แต่ละบ้าน

แต่ในปัจจุบัน นกกระสาเขาเลิกส่งเด็กๆกันแล้ว! นี่มันยุคไหนแล้ว! ส่งสินค้าออนไลน์ได้ตังค์กว่าไหม?! เทรนด์มันมาทางนี้! แล้ว...อะไรที่ทำให้มันวุ่นวายจนนกกระสาต้องไปเกี่ยวข้องกับเบบี๋เข้าอีกล่ะ??

[ภาพยนตร์] OPERATION AVALANCHE ปฏิบัติการลวงโลก : ปฏิบัติการอวกาศ กับพลังของภาพเคลื่อนไหว


แบบสั้นๆ
แม้ในปัจจุบันการรู้จักว่ามีอวกาศห่อหุ้มพื้นที่ที่โลกกลมๆของเราดำรงอยู่เอาไว้จะไม่ใช่เรื่องแปลก หลายคนพอจะรู้ว่าหน้าตาทิวทัศน์ในอวกาศดารดาษไปด้วยดวงดาวนั้นเป็นอย่างไร? ดวงจันทร์มีผิวขรุขระไหม มีกระต่ายตัวใหญ่ๆบนดวงจันทร์รึเปล่า? ฯลฯ

แม้เราจะรับรู้การมีอยู่ของพื้นที่ในอวกาศ ดาวเคราะห์รวมถึงดาวบริวารในระบบสุริยะ ทางช้างเผือก กาแลกซี่  หลุมดำ และอีกมากมาย ฯลฯ แต่ก็มีน้อยคนนักเทียบกับประชากรโลกทั้งหมดที่จะออกไปนอกบรรยากาศโลกและได้สัมผัสกับอวกาศจริงๆ

และหลายเรื่องเกี่ยวกับอวกาศก็ยังคงเป็นเรื่องลึกลับอยู่เสมอ...

รวมไปถึงเรื่องราวของการไปเยือนพื้นผิวของดวงจันทร์ครั้งแรกของมวลมนุษยชาติ ก้าวเล็กๆที่เป็นก้าวใหญ่ๆของมวลมนุษยชาติ ก็เช่นกัน

ขณะที่เป็นเรื่องซึ่งดูยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ มันก็ยังเป็นหนึ่งในเรื่องที่ยังคงมีคำถาม ข้อสงสัย รายละเอียดลึกลับ ออกมาจากมุมใดมุมหนึ่งของโลกได้เสมอ (โดยเฉพาะเมื่อไม่รู้หรือไม่มีข้อมูลทั้งหมด หรือถึงในระดับนึง)

และหนังเล็กๆเรื่องนี้ก็เลือกเอาเรื่องนี้มาเล่นและเล่า

ผมตอบไม่ถูกเหมือนกันว่า แมท จอห์นสัน (Matt Johnson) ผู้กำกับและร่วมเขียนบทของหนังเรื่องนี้   นั้นหลงใหลในเรื่องราวลึกลับของการไปเยือนดวงจันทร์ของหนึ่งฟากมหาอำนาจในช่วงสงครามเย็นที่ต่ออีกฟาก ที่เป็นทั้งการแสดงแสนยานุภาพทั้งทางด้านอำนาจ เทคโนโลยี และการแข่งขัน หรือหลงใหลในศาสตร์ภาพยนตร์มากกว่ากัน โดยเฉพาะเป็นศาสตร์ภาพยนตร์จาก แสตนลี่ย์ คูบริก แต่ถ้าให้เดา ผมคิดว่าคงเป็นอย่างหลังมากกว่า

เมื่อตัวละครในเรื่องต้องพบกับปัญหาซึ่งเกี่ยวข้องกับภารกิจที่จะสะเทือนโลกของประเทศ เขาจึงเลือกที่จะจัดการมันด้วยศาสตร์แห่งภาพเคลื่อนไหว (motion picture)

[ภาพยนตร์] BLAIR WITCH ตำนานผีดุ : ท้าทายตำนานแม่มดในป่ามืด





แบบสั้นๆ
การกลับมาของตำนานแม่มดแบล์

ซึ่งก็เป็นหนึ่งในหนังที่เคยแนะนำกันไปกับป้ายหน้าหนังสยองก่อนหน้านี้

หนังเลือกเล่าเรื่องราวสืบสานจากช่วงเวลาเดิมที่ตำนานแม่มดแบล์แพร่กระจาย  มาเล่าเรื่องราวในปัจจุบัน เมื่อเด็กหนุ่มคนนึงพบคลิปที่อัพโหลดออนไลน์ไว้ที่อ้างว่าเจอจากข้อมูลที่เก็บได้และเขาสงสัยว่าเงาคนรางๆที่ปรากฏในคลิปนั้นคือพี่สาวของเขา เขาจึงชักชวนกลุ่มเพื่อนเพื่อติดต่อเจ้าของคลิปและเข้าไปในป่าอาถรรพ์เพื่อหวังตามหาพี่สาวของเขาให้พบ (อารมณ์ประมาณ ท้าตำนานแม่มดแบลร์ (อเกน))

ความจริงการกลับมาของตำนานแม่มดแบล์ซึ่งอัพเดทเวลาให้เป็นปัจจุบันนี้ ในมือของผู้กำกับ  อดัม วินการ์ด (Adam Wingard) ซึ่งเคยกำกับ You're Next   ก็ถือว่าเป็นหนังที่กระตุกขวัญใช้ได้เลยทีเดียว เมื่อต้องเผชิญกับอาถรรพ์คำสาปแม่มด ซึ่งไม่เคยมีใครรอดกลับมาบอกจริงๆว่าตัวตนของแม่มดแบล์นั้นเป็นอย่างไร (อาจจะยกเว้นถ้ากลับไปดู Book of Shadows: Blair Witch 2 ก็ได้ล่ะกระมัง?... ซึงกระผมเองก็ยังไม่เคยดูเลย... อย่างที่บอกว่าน่าจะหายากกว่าภาคแรกแห่งตำนานอย่าง The Blair Witch Project ซะอีก...) อุปกรณ์เทคโนโลยีรายล้อมในปัจจุบันจะช่วยให้การต่อกรกับคำสาปจากยุคเก่าได้แค่ไหนกัน?!

จริงๆเรื่องนี้เดาไปก็เท่านั้น 

เมื่อเทียบกัน ทีมใหม่ที่ขอเผชิญตำนานแม่มดน่าจะถือว่ามีข้อได้เปรียบมากกว่า ทั้งข้อมูลที่มีมากกว่า การเตรียมตัว อุปกรณ์ที่ทันสมัยขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คนเหล่านี้เผชิญหน้ากับอาถรรพ์แม่มดที่เสมือนสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าที่สูบผู้ท้าทายคนแล้วคนเล่าให้หานสูญไปในป่ามืดนี้ได้หรือไม่?

เอาเป็นว่าในแง่ของเรื่องราวอย่างที่หนังนำเสนอ การใส่เหตุการณ์ต่างๆเพื่อกระตุกขวัญคนดูนั้น ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว และเมื่อเทียบกับหนังต้นฉบับ ดูเหมือนหนังก็ไม่ได้ซีเรียสกับการทำตัวเป็นหนัง Found Footage หนังวิดีโอเหมือนต้นฉบับที่ส่งอิทธิพลไว้มากมายมาจนทุกวันนี้ (แม้ดูจะไม่มีเรื่องไหนเทียบเท่าได้ก็ตาม อ่อ ถ้าในแง่รายได้คงเป็น Paranormal Activity) ชัดๆนัก การเล่าเรื่องของมันก็ทำให้หลายๆอย่างดูกระจะตามากกว่า ในหลายจังหวะเขย่าขวัญ ซึ่งก็ถือว่าทำได้ 'ถึงใจ' ดีเหมือนกันในหลายๆช่วง การแสดงความเฮี้ยนของแม่มดแบลร์ในสภาพที่ชัดเจนกว่าการนำเสนอในต้นฉบับ จะจะมากกว่าก็มีหลายช่วงที่ทำได้อว๊ากกกดีเหมือนกัน ในส่วนของความเขย่าขวัญ ป๊อบคอร์นกระฉอก ถือว่ารวมๆแล้วทำได้ดีเลย

แตในอีกทาง หนังก็คงรูปรอยการเป็นหนังถ่ายวิดีโอเอาไว้เหมือนกัน ซึ่งในขณะที่หลายอย่างของหนัง รวมไปถึงความสยองแบบจะจะ (หรือแบบปลายหางตา) ชัดเจน กรี๊ดกันได้ชัดๆมากขึ้น มันก็เหมือนไม่ได้แยกชัดว่าภาพช่วงไหนที่เราเห็นเป็นจากกล้องวิดีโอที่ถ่ายจากกล้องของตัวละคร หรือเป็นกล้องอื่น ทีแรกคิดเองว่าหรือภาพที่ไม่ใช่ดูเหมือนมาจากกล้องของตัวละครจะเป็น สายตาอื่น ที่จับจ้องตัวละครอยู่ แต่พอดูๆไปจนจบ ก็ดูมันไม่ใช่แฮะ ซึ่งตรงนี้ก็เสียดายนิดๆ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็รู้สึกว่ามันน่าจะเจ๋งดี เพราะการเปลี่ยนมาเล่าแบบนี้ แม้จะได้เห็นหลายอย่างจะจะมากขึ้น รวมถึงได้สัมผัสได้เห็นตัวละครมากขึ้น แต่ด้วยความที่ลักษณะการเล่าของหนังก็ไม่ได้ต่างไปจากหนังต้นฉบับมากนัก สุดท้ายเราจึงรู้สึกว่าเราก็รู้จักหรือเห็นตัวละครแค่เพียงผิวเผินอยู่ดี เรียกว่าแม้ตัวละครจะน่าติดตามใช้ได้ (จะนิสัย ความสัมพันธ์ รูปโฉม หรืออะไรก็ตามที) แต่ก็ไม่พ้นเป็นหน้าที่ให้เราผูกพันนิดๆหน่อยๆ เป็นตัวหมากบ้าง เป็นคนดวงซวย หุนหันพลันแล่นบ้าง ไม่ค่อยต่างจากสูตรหนังสยองมากนัก แม้ข้อดีคือหนังดำเนินเรื่องได้อย่างต่อเนื่องรวดเร็วดี มีจังหวะกระตุกขวัญแทรกไปเรื่อยๆพร้อมๆกับยิ่งเพิ่มความสยองขึ้นในช่วงท้าย

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] BRIDGET JONES'S BABY : บริดเจ็ท โจนส์ คนเดิม ยังคงเขียนไดอารี่นะจ๊ะทุกโคนนน



แบบสั้นๆ
ใครอาจจะงงๆกับการกลับมาของ บริดเจ็ท โจนส์ เล็กน้อย แต่ถ้าใครคิดถึง เรเน่ เซลเวเกอร์ คิดถึง บริดเจ็ท โจนส์ ซึ่งคงไม่อาจหาใครอื่นมาแทนได้ ซึ่งพอดีว่าผมก็ดันเกิดคิดถึงขึ้นมาแม้จะงงๆเล็กๆ อย่างไรสุดท้ายก็ไปดู

ในวัยนี้ ทุกๆคนดูมีอายุมากขึ้นกันจริงๆ(จังๆ) ทีแรกนึกว่าเขาจะมาเมกอัพเพิ่มให้มันมีกาลเวลาของชีวิตชัดขึ้น แต่ไม่ได้หาข้อมูลเพิ่มจึงไม่สามารถยืนยันได้

และในวัยที่ต้องผ่านอะไรๆมามากมาย (และยังคงเขียนไดอารี่อยู่ แต่ไม่รู้มีเพจไหม?) แต่ละคนก็มีโอกาสผ่านความชมของชีวิตมามากขึ้นด้วย แต่แต่ละคนก็มีวิธีรับมือกับมันแตกต่างกันไป

แต่แม้จะมีความขมในหลายๆส่วน ซึ่งหลายอย่างก็จี๊ดใจดีจริงๆ ไดอารี่ตอนนี้ของบริดเจ็ทกลับมีความบันเทิงหรรษาในปริมาณมากผสมมาด้วย เป็นความหรรษาอย่างลื่นไหลจากนักแสดงทุกคนจนดูๆไปจนจบบางทีเราก็รู้สึกว่า อ่าว มันกลบ ความขม ที่รู้สึกซะมิดเลยซะงั้น...

แม้จะเสียดายและงงๆอยู่นิดที่ความขมที่มีกลับลดพลังลงไป แต่ก็คิดว่าความบันเทิงหรรษาจากไดอารี่เล่มนี้ของบริดเจ็ทนั้นสนุกสนานพอจะบอกได้ว่าเป็นการมาเจอเพื่อน(?)เก่าที่สนุกสนานหรรษา มีเรื่องฮาๆมาเล่าสู่กันฟัง จนอาหารที่กินก็จำไม่ได้แล้วว่ารสชาติเป็นไง แต่ก็สนุกดีที่ได้มาเจอกัน

เรเน่ อาจจะอายุมากขึ้นแต่เธอก็คือ บริดเจ็ท โจนส์ โคลิน เฟิร์ธ กลับมารับหนึ่งในบทสำคัญได้อย่างน่ารักดีแม้จะมีชีวิตขมๆกะเขาด้วย แพททริก แดมซี่ย์ มาเพิ่มเอเนอจี้ให้เรื่องได้อย่างอลวนดี ปะป๋า มาม๊า ของ บริดเจ็ท ยังคงน่าปวดหัวและน่ารัก และคุณหมอ เอ็มม่า ธอมสัน ดีมาก ได้ใจตั้งกะในตัวอย่าง
แถมเฮีย ฮิวจ์ แกรนท์ ที่ลี้หลบไปไม่ยอมมาเล่นภาคนี้ ยัง...ขโมยซีนได้หน้าตาเฉย...

สนุกดี แม้จะเน้นบันเทิงเฮฮาจนลืมไปหมดว่าทีแรกมันมีอะไรที่ยังแก้ไม่ได้ หรือเรื่องซีเรียสที่ยังไม่ได้พูดฟระ? ก็ถือว่าไม่เสียเที่ยวที่เจอกัน 7.7 คะแนน


แบบยาวๆ

[ภาพยนตร์] DON'T BREATHE ลมหายใจสั่งตาย : กลั้นหายใจ แล้วจิกพนักเก้าอี้ไว้







แบบสั้นๆ

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งหนังที่แจงไว้ใน แนะนำป้ายหน้าหนังสยองช่วงนี้ ว่าเป็นหนังที่เปิดตัวมาอย่างประสบความสำเร็จในอเมริกา และน่าจะรับประกับความคลั่งได้โดยชื่อของผู้กำกับ เฟเด อัลวาเรซ (Fede Alvarez) ผู้กำกับเวอชั่นรีเมกของ Evil Dead ที่คลั่งได้ใจดีทีเดียว

เอาสั้นๆก่อนนะครับ คือใครอยากดูหนังที่ต้องลุ้นจิกเบาะ คอยระวังว่าตรูจะกรี๊ดตอนไหนดี จะสะดุ้งป๊อบคอร์นกระฉอกตอนไหนดี นี่น่าจะเป็นหนังที่ตอบโจทย์คุณได้ดีทีเดียวเจียว!

แม้ว่าอาจจะมีตัวละครบางตัวที่บางครั้งก็ดูงั่งอย่างน่าสงสาร และอีกทางหนังก็มีความ 'จิต' ใช้ได้ทีเดียว

เอาสั้นๆแค่นี้ก่อนใครชอบหนังลุ้นกลั้ันหายใจ ตีตั๋วดูได้เลย! ไม่เสียตังค์ฟรีแน่นอน 8.0 คะแนน 


แบบยาวๆ

[ภาพยนตร์ ,อนิเม] SEOUL STATION ก่อนนรกซอมบี้คลั่ง : Apocalypse Now !



แบบสั้นๆ
(อาจมีสปอยล์บ้างนะครับ)

จากความสำเร็จของหนัง live action ซอมบี้เกาหลีอย่าง Train to Busan ทำให้ผู้จัดจำหน่ายตัดสินใจนำเอาเรื่องราวก่อนหน้าเหตุการณ์นั้น ซึ่งยังกำกับโดยผู้กำกับคนเดิม Yeon Sang-ho แต่เป็นในรูปแบบอนิเมชั่นซึ่งตัวผู้กำกับเคยสร้างชื่อจากงานแขนงนี้มาก่อน ก่อนจะได้มากำกับ Train to Busan อย่างที่พูดถึงไว้ในตอนแนะนำหนังสยองป้ายหน้า(ตั้งแต่)กันยา59

จริงอยู่ว่าเมื่อเป็นหนังอนิเมชั่น ความรู้สึกในการชมก็น่าจะต่างไป หลายๆคนอาจไม่คุ้นชินการเสพอารมณ์ทั้งความน่ากลัวหรือดราม่าผ่านอนิมเชั่นในแบบเดียวกับหนัง live action คนแสดง แต่ผลงานของ Yeon Sang-ho ที่ผ่านมาและสร้างชื่อก็ล้วนเป็นงานในสายดราม่าทริลเลอร์ ซึ่งแม้ไม่เคยดู แต่ได้ดู Seoul Station แล้วก็ถือว่าเป็นผลงานรับประกันฝีมือในงานอนิเมชั่นของผู้กำกับได้ไม่น้อย เพราะถ้าเทียบกันจริงๆกับ Train to Busan แม้จะยอมรับว่ามันมีข้อเปรียบบางอย่างที่ทำให้สัมผัสกับภาพที่ให้ความรู้สึกตื่นเต้นน่ากลัวชัดเจนกว่า (และหนังก็ทำได้ดีจริงๆในหลายๆส่วน)

งานอนิเมชั่นของ Seoul Station เป็นงานลักษณะใกล้เคียงกับงานของทางญี่ปุ่น แม้อาจไม่เนี๊ยบเท่างานระดับท๊อปๆ แต่ก็เนี๊ยบในระดับมาตรฐานงานหลายๆเรื่องของฝั่งญี่ปุ่น และงานก็มีสไตล์เฉพาะตัวของตัวละครที่ให้ความรู้สึกเฉพาะต่างไปจากงานของญี่ปุ่น ขณะเดียวกันก็เล่าเรื่องโดยมีการออกแบบฉาก เฟรม การเคลื่อนไหว ให้มีอารมณ์ความรู้สึกของทั้งความระทึก กดดัน สิ้นหวัง ฯลฯ ได้ดีทีเดียว

แต่ถ้าเป็นส่วนของเนื้อเรื่อง โดยเฉพาะเนื้อหาและความรู้สึกในเชิงดราม่า เรากลับรู้สึกว่ากระทบใจกับ Seoul Station มากกว่า คืออย่างที่เคยพูดถึงไปตอนเขียนถึง Train to Busan ว่าแม้หนังจะระทึกกดดัน และแจกแจงตัวละครได้ดี แต่ว่าก็ยังรู้สึกว่าหนังมีความจงใจบางอย่าง (จะว่าจงใจจะเท่นิดๆ หรือไม่บางทีก็จะเอาให้เศร้าก็ได้) แม้จะเล่าได้ดีแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกอยู่ในหลายจุดแม้ไม่มากจนไปทำลายความรู้สึกของเรื่อง รวมไปถึงประเด็นของเรื่องที่เอามาพูดด้วย คือ หนังเล่าเรื่องได้ดี แต่ส่วนที่เด่นส่วนนึงก็คือความรู้สึกในเชิงแอ็คชั่นการหลบหนีการไลล่า ซึ่งยิ่งเพิ่มความระทึกโดยเฉพาะในพื้นที่จำกัดอย่างรถไฟ
ส่วนใน Seoul Station แม้จะมีจุดที่รู้สึกอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่มากเท่า และก็พอจะกล้อมแกล้มหาเหตุผลในการกระทำได้มากกว่า แม้จะมีบางจุดที่ตะหงิดๆในทีแรก แต่เมื่อต้องคิดถึงการดิ้นรนเอาชีวิตรอด ก็ถือเป็นเหตุการณ์ที่เป็นไปได้เหมือนกัน

ความจริงเรื่องราวใน Seoul Station ก็ไม่ใช่จะส่งต่อไปยัง Train to Busan ตรงๆ เป็นเหมือนเหตุการณ์ในอีกที่นึงที่เรายังไม่ได้เห็นมากกว่า แต่ในขณะที่ Train to Busan เด่นในสิ่งที่พูดถึงไปแล้ว กลับรู้สึกว่าเรื่องราวประเด็นที่ถูกพูดถึงใน Seoul Station มีความเชื่อมโยงและกระทบใจมากกว่า

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์, สารคดี] TSUKIJI WONDERLAND อัศจรรย์ตลาดปลาสึคิจิ : ณ ที่นั่นคือดินแดน สึคิจิ


แบบสั้นๆ
ใครที่ชอบอาหารญี่ปุ่น อย่าง ซาชิมิ หรือซูชิ ชื่นชอบอาหารทะเล หรือถ้าคุณชื่นชอบมังงะเกี่ยวกับซูชิ เช่นเรื่อง Shota no Sushi ซูชิของโชตะ (หรือในชื่อลิขสิทธิ์แปลไทย โดยวิบูลย์กิจ ว่า ไอ้หนูซูชิ) คุณต้องเคยได้ยินชื่อสถานที่นี้แน่นอน หรือถ้าคุณเคยดู Jiro Dreams of Sushi แล้วชื่ชอบ นี่เป็นเสมือนภาคต่อหรือภาคแยกสำหรับร้านซูชิชื่อดัง ซึ่งฉายให้เห็นทั้งความเป็นมืออาชีพ และความสัมพันธ์ที่ถูกสร้างขึ้นภายในดินแดนแห่ง หรือถ้าคุณเคยไปเหยียบตลาดปลาแห่งนี้แล้ว (ผมไม่เคยไป - -) ก็น่าจะยังมีหลายอย่างที่คุณไม่เคยรู้หรือเคยเห็น หรือถ้าคุณสนใจรูปแบบของวัฒนธรรมญี่ปุ่น นี่ก็เป็นดินแดนที่ก่อร่างขึ้นจนมีเขตแดนและวัฒนธรรมของตัวเอง

แม้จะได้เข้าไปเหยียบดินแดนนี้แค่เพียงผ่านจอภาพ แต่การได้ผ่านเข้าไปเห็นดินแดนแห่งนี้ ก็ยังน่าตื่นเต้นและน่าตื่นตา

แน่นอนว่าความรู้สึกของแต่ละคนคงไม่เท่ากัน แต่ถ้าคุณมีคุณลักษณะที่สามารถจัดประเภทได้ตามย่อหน้าแรก นี่คือดินแดนที่คุณน่าจะอยากเข้าไปสัมผัส

ดินแดนแห่งนี้แม้จะเต็มไปด้วยพ่อค้าและอาหารทะเล แต่หลายๆอย่างที่ก่อร่างขึ้นมาตั้งแต่ 80 ปีก่อน ทำให้ที่แห่งนี้มีรูปแบบและวัฒนธรรมเฉพาะ ส่วนหนึ่งเป็นวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่น ส่วนหนึ่งเป็นสถานที่บ่มเพาะความเชี่ยวชาญระดับมืออาชีพ และส่วนหนึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างดินแดนอื่นๆที่ข้ามมายังดินแดนสึคิจิ ความสัมพันธ์ระหว่างชาวประมง ระหว่างพ่อค้าคนกลาง พ่อค้า พ่อครัวร้านอาหาร เจ้าหน้าที่ประมูล คนดูแลตลาด นักวิจัย ผู้ซื้อ ฯลฯ เหล่านี้เป็นส่วนที่ประกอบขึ้นมาเป็น สึคิจิ

[ภาพยนตร์] แฟนเดย์...แฟนกันแค่วันเดียว : สะพานแขวนชื่อความทรงจำ?...


แบบสั้นๆ
หนังของ GDH (เลขตามหลังจำไม่ได้แล้ว ใช่ 365 ไหม?) เรื่องแรก ซึ่งยังคงน่าจะทำมามอบแก่แฟนๆ GTH โดยฝีมือของผู้กำกับคุณ โต้ง บรรจง (ผู้กำกับร่วมของหนังอย่าง ชัตเตอร์ และ แฝด ตอน คนกลาง และ คนกอง ใน 4 แพร่ง และ 5 แพร่ง ตามลำดับ และ กวน มึน โฮ กับหนังพันล้าน (ที่รู้จักคุณ ใหม่ ดาวิกา เป็นหนแรก) อย่าง พี่มาก พระโขนง)

ผ่านไปหลายขวบปีผู้กำกับโต้งก็พาคุณเต๋อ ฉันทวิชช์  มาเจอะกับนางเอกคุณมิว นิษฐา ถ้าเอาแบบสั้นๆ อย่างที่คุณโต้งให้สัมภาษณ์ไว้ว่าแม้หลายๆอย่างมันดูจะไปคล้ายๆ กวน มึน โฮ พระเอกก็คนเดียวกัน แต่มันจะเป็นหนังรักที่โตขึ้น และมีส่วนผสมของความเป็นหนังโรแมนติกมากกว่าจะเป็นโรแมนติกคอมเมดี้ ซึ่ง ที่ไปดูมาโทนของหนังก็เป็นไปตามนั้นครับแต่ทั้งหมดที่คาดหวังได้จากหนังยังมากันครบ ทั้งนักแสดงนำที่มีเสน่ห์ ยิ้มสวย น่ารัก อารมณ์ขัน ความกวน คำคม โมเม้นต์สวยๆ ความโรแมนติก โฆษณา (นี่เขียนเอาฮาเฉยๆ แต่มันก็มีกันหลายเรื่องแหละ ยิ่งท่าจะดังมากก็ยิ่งอาจมีสปอนเซอร์มากเน้อ - จริงประเด็นนี้ถ้าไม่ทิ่มตามาเลยก็เฉยๆนะ - บอกแล้วว่าแซวเฉยๆ) ถึงจะไม่ใช่ระดับหนังในดวงใจ เข้าโรงไปดูต่อรอบสองเลยดีกว่า (ซึ่ง...(ที่จำได้)ก็ไม่เคยทำแบบนั้นน่ะนะ แม้จะเป็นหนังที่ชอบมากๆๆก็ตาม...) แต่นี่ก็เป็นหนังที่ดูสนุก มีโมเม้นต์ขำๆ โมเม้นต์โรแมนติก มีเสน่ห์ของนักแสดงนำทั้งสองพาผู้ชมอย่างเราให้ติดตามไป มีเคมีระหว่างนักแสดงให้เราเอาใจช่วย แม้จะมีความกี๊กผสม(ผ่านตัวละครของเต๋อ) ด้วยก็ตาม คนทั่วไปก็ดูเอาไว้ฮาเป็นหลักล่ะนะ ซึ่งก็สนุกดี และมันก็มีความรวดร้าวไประหว่างความโรแมนติก และคำว่ารักอยู่ด้วย และในหลายๆช่วงมันก็ทำให้เราลุ้นไปกับเหตุการณ์ สถานการณ์ และความรักของทั้งคู่ได้จริงๆ โดยผู้กำกับโต้งก็ยังคงใช้สไตล์การเล่าเรื่องของเขามาใช้ในเรื่องนี้อย่างค่อนข้างชัด ที่จะเก็บบางอย่างเอาไว้ก่อนจะเผยมันออกมาให้จู่โจมผู้ชมและตัวละครอีกครั้ง ซึ่งหลายๆช๊อตก็เอาตายได้เหมือนกันยิ่งกับคนพร้อมจะโรแมนติกอยู่แล้วด้วย ซึ่งเท่านี้ก็ถือว่าผ่านแล้ว จะเป็นคนดูทั่วไปหรือแฟนๆ GTH ก็คิดว่าไม่น่าจะผิดหวังกันครับ แม้จะไม่ถึงกับเป็นหนังในดวงใจ และแม้ผมจะรู้สึกว่าที่คุณเต๋อทุมเทเพิ่มน้ำหนักให้ฉุขึ้น เปลี่ยนลุคให้ธรรมดาๆกี๊กๆ ผนหยิกงี้ แต่...ที่น้ำหนักเพิ่มผมก็ไม่รู้อะไรจากตัวอย่างกับเขาเลยจนเพื่อนบอกให้ฟัง (เวรกำ) จนไปเห็นฉากโชว์ในหนังนี่แหละถึงชัดหน่อย (ซึ่งถึงตรงนี้ก็ต้องบอกว่าก็ทุ่มเทจริงหละนะครับ - เพราะงั้นใครอยากไปดูฉากโชว์ก็ไปดูได้ครับ) แถม...ดูไปตั้งนานก็ยังรู้สึกว่า...คุณเต๋อในบทเด่นชัยก็ยังดูดีกว่าเราป่าวฟระ?!!! ลำบากแล้วตรูทีนี้... คุณมิวน่ารักครับ เต๋อในบทเด่นชัยจะหลงชอบก็ไม่แปลก