วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] SON OF SAUL - ซันออฟชอล : ลิขิต ชีวิต ความหวัง



ภาพยนตร์จากฮังการีเล่าเรื่องเกี่ยวกับชายคนหนึ่งในค่ายนักโทษเอาชวิทซ์ ของเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในสมัยนั้นเยอรมันโดยการนำของฮิตเลอร์มีแนวคิดเรื่องของสายเลือดบริสุทธิ์ ซึ่งเชื่อว่าเยอรมันนั้นสืบสายมาจากเผ่าพันธุ์อารยัน แนวคิดนี้นำไปสู่การสังหารหมู่และศึกษาทดลองกายวิภาคนักโทษและชาวยิวมากมายในระหว่างช่วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่ 2

ผมคิดว่าลองเทคในเรื่องนี่มีพลังสร้างความกดดันและจู่โจมบางอย่างมากกว่า THE REVENENT แม้ว่าลองเทคของเรื่องนี้อาจเป็นไปโดยจุดประสงค์ที่ต่างกับ THE REVENENT อยู่แล้ว มันเหมือนกับหนังตั้งใจจะพาเราติดตามชอลไปดูทิศที่ชอลมุ่งหน้าไปหรือสิ่งที่ชอลเห็นหรือปะทะด้วยมากกว่า มันจะพาเราติดตามแผ่นหลังของชอลไปเจอกับเรื่องที่ชอลเผชิญหรือสิ่งที่ชอลได้เห็น พร้อมสัดส่วนภาพที่ทำให้เห็นแคบลง

สิ่งแรกๆที่ชอล (และเราเห็น) คือ...

เนื่องจากเรื่องนี้เกิดขึ้นในค่าย เราจึงได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆในค่าย ผ่านเหตุการณ์ที่ชอลเข้าไปข้องเกี่ยว ซึ่งหลายๆส่วนแม้เราจะไม่ได้เห็นมันชัดเจนเต็มตาอะไร มันก็ยังทำให้หนังอวลไปด้วยความรู้สึกอะไรที่แบบ กดดัน คุกคาม และน่าหวาดหวั่น ไปถึงขั้นพะอืดพะอม ยิ่งเรารับรู้มันด้วยจังหวะและตัวของชอลเองที่อยู่ในสถานที่นั้นอย่างต่อเนื่องด้วยลองเทค หลายๆครั้งมันจึงเหมือนเราต้องรับมันด้วยความอึดอัดทั้งๆที่บางครั้งเราไม่ได้เห็นเหตุการณ์อะไรชัดๆ แต่เราก็รับรู้ได้ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น ในตอนที่ชอลอยู่ตรงนี้ (และเราก็อยู่กับชอลด้วย)

ระหว่างนี้เราไม่รู้หรอกว่าชอลรู้สึกยังไงกับที่ที่เขาอยู่ เรื่องราวที่เขาเกึ่ยวข้อง ความคิดในหัวของเขา ต่อเรื่องที่ผ่านมา วันนี้ หรือวันข้างหน้า เราเห็นความกระตือรือร้นในการทำงานที่ต้องทำในนั้น แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเพราะมันเป็นเรื่องที่ต้องทำ การทำให้เสร็จไปอย่างมีประสิทธิภาพ คือรวดเร็ว อาจดีกว่าการหลีกเลี่ยงหรือประวิงเวลาด้วยเหตุผลใดก็ตามก็ได้ แม้เราอาจไม่แน่ใจนักว่าจริงๆนั้นชอลรู้สึกยังไงกันแน่?

แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น เราก็พบว่าชอลเกิดความตั้งใจอย่างหนึ่งขึ้นมา

[ภาพยนตร์, อนิเม] KUNG FU PANDA 3 กังฟูแพนด้า 3 : ซาหนุกเหมียนเดิม เพิ่มเติมมาอีกฝูง (แพนด้า)



อนิเมในตลาดก็มีหลากหลาย ทั้งค่าย และเอกลักษณ์ นะฮับ ตัดกันเฉพาะของฮอลลีวู้ดก็พอ จุดเด่นจุดดังจุดขายของแต่ละค่ายก็มีแตกต่างกันไปให้เหล่าคนดูได้เอนจอยของใครของมันกันไป

อย่างค่ายนึงมีเจ้าสแครชวิ่งหาลูกนัท ค่ายนึงมีเจ้าตัวเหลืองที่ฟังไม่รู้เรื่องว่ามันพูดอะไร บางค่ายก็อาจมีหลายอย่างหน่อย DREAMWORKS ANIMATION นี่ทีแรกก็อาจมีความต่างกับผู้ครองตลาดก่อนหน้าอยู่ตรงคาแรคเตอร์และเรื่องที่ติดจะ ห่ามๆ เกรียนๆ กว่าผู้มาก่อน จนมีคาแรคเตอร์อย่าง SHERK ก่อนจะแตกสาขาเพิ่มขึ้น มีตัวละครและแฟรนส์ไชน์ฮิตในมือแยะขึ้น

ที่บอกได้อย่างนึงคือ สำหรับอนิเมสายแอ็คชั่น+คอมเมดี้ หาใครเสมอเหมือน เจ้าโปใน KUNG FU PANDA ยากส์เหมือนกัน

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] ฺBAD NEIGHBORS 2 เพื่อนบ้านมหา(บรร)ลัย 2 : อาไย?! น้องโคลอี้ เป็นเพื่อนบ้านสาวแสบหรือนี่ว์?! ไปดูดีกั่ว...



ไปดูเรื่องนี้เพราะน้อง โคลอี้ เกรซ มอเรตซ์ ครับ (เปิดมาก็แบบนี้เลยนะ...)

คือไม่บ่อยนักที่จะตีตั๋วดูหนังภาคต่อทั้งที่ไม่ได้ดูภาคแรก แต่ไปดูเรื่องนี้เพราะน้อง โคลอี้ เกรซ มอเรตซ์ ครับ

คืออารมณ์ประมาณ อ่าว หนังเรื่องนี้น้องแสดงนี่หว่า เออจะเข้าแล้ว เอ้าไหนๆดูดิ๊ เออก็โอเคมั่งไปดูได้แหละ ดูก็ดู... ตรรกะมีอยู่แค่ประมาณนี้...

เออ เอาจริงๆ เราก็เห็นว่าภาคแรกแม้จะไม่ได้ดู (ซึ่งทีแรกก็สนใจอยู่นิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดู) แต่ก็ดูว่ามันก็มีผลตอบรับใช้ได้อยู่ คงดูเพลินๆ ที่เหลือเป็นโบนัสจากตรรกะหลักๆ

ซึ่งเอาจริงๆหนังก็สนุกดีนะ ดูเพลินๆ

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] HIGH-RISE ตึกระทึกเสียดฟ้า : โลกสูง ตึกหลอน

 

หนังดูจะกล่าวถึงโลกอนาคตที่เล่าเรื่องราวในที่อยู่อาศัยแห่งหนึ่งซึ่งเป็นตึกสูง โดยเริ่มนำเรื่องให้เรารับรู้จากการติดตามการเข้าอยู่ในตึกของนายแพทย์คนหนึ่ง และเริ่มนำเราไปพบกับผู้อยู่อาศัยและสิ่งอำนวยความสะดวกในตึกแห่งนั้น ซึ่งมีทั้งคนในหลายความคิดทัศนคติ และสถานะ ในชั้นล่าง และชั้นบน ของตึก 

ก่อนที่ความโกลาหลและหายนะจะตามมา 

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] THE WITCH เดอะ วิทช์ : แม่มดในป่ามืด?...


ถ้าให้พูดถึง THE WITCH โดยไม่ได้ดูโปสเตอร์หรืออะไรอื่น THE WITCH เป็นหนังในบรรยากาศของเรื่องเล่าโบราณ ความลึกลับ ความมืด การเอาชีวิตรอด และความโดดเดี่ยว

สิ่งที่เห็นในตัวอย่างหนังถือเป็นบรรยากาศที่ได้จากในตัวหนัง ซึ่งเนื้อเรื่องอาจไม่ได้สร้างน้ำหนักครอบคลุมเท่ากับบรรยากาศของหนัง ความกดดันที่ส่งมาถึงคนดูจึงมาจากบรรยากาศของหนังมากกว่าจะมาจากเรื่องราวหรือเนื้อเรื่องของมันโดยตรง

หนังจึงไม่เหมาะกับการดูแบบไม่ปะติดปะต่อเท่ากับการดูต่อเนื่องและรับเอาบรรยากาศจากหนังโดยตรง หลังจากเรื่องราวเริ่มขึ้นเราก็ค่อยๆรับรู้เรื่องราวไปทีละอย่าง แม้ว่ามันอาจไม่ชัดเจน แต่มันก็ค่อยๆเพิ่มความน่าขนลุกให้กับหนัง มากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น... ผ่านเหตุการณ์และเรื่องราวของแต่ละคน และแม้ส่วนตัวจะรู้สึกว่าจะอยากให้หนังจบก่อนช่วงเวลาที่หนังนำเสนอไปจนภาพหายไปจากจอจริงๆ มันก็ยังเป็นประสบการณ์ที่น่าขนลุกอยู่ดี...

เรื่องกล่าวถึงการที่ครอบครัวหนึ่งถูกตัดสินลงโทษจากชุมชนด้วยเหตุผิดพระบัญญัติความเชื่อ และมีเหตุให้ต้องระเหเรร่อนออกจากชุมชนไปยังที่รกร้างชายป่าแห่งหนึ่งซึ่งเขาเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้านำเขามาถึงที่นี่ ที่ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง การลงทุนลงแรงของครอบครัวก็อาจไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่หวัง แล้วในตอนที่เรื่องลึกลับเริ่มจู่โจม เรื่องราวที่คุกคามครอบครัวนี้ก็เริ่มขึ้น

และมันก็เต็มไปด้วยความน่าหวาดหวั่น

[ภาพยนตร์] TERRA FORMARS สงครามฆ่าพันธุ์มฤตยู : ไซไฟ แมลง แปลงร่าง(?) ในกำมือ ทาคาชิ มิอิเกะ


เป็นหนังที่สร้างจากมังงะขายดีในญี่ปุ่นอีกเรื่องครับ ซึ่งจริงๆไม่เคยอ่าน แต่ไปดูเพราะเห็น ทาคาชิ มิอิเกะ เป็นผู้กำกับ

เราจะไม่เทียบว่า ทาคาชิ มิอิเกะ กำกับเรื่องนี้ออกมาเทียบกับเรื่องสมัยแรกๆที่สร้างชื่อแรงๆคัลท์ๆยังไงนะครับ ว่าไปจริงๆหลัง ทาคาชิ มิอิเกะ ก็กำกับหนังบ่อยมาก และจริงๆก็ไม่ใช่จะมากำกับหนังจากมังงะในช่วงหลังๆเพราะตั้งแต่แรกๆหนังโหดๆคัลท์ๆของแกก็มีที่สร้างจากมังงะเหมือนกัน ส่วนจะวัดดีกรีความโหดมาเทียบกันก็ไม่ถนัดเพราะเอาจริงๆก็ใช่จะได้ดูหนังแกเกือบครบทุกเรื่อง ดูทุกปี (รึซักครึ่งก็ยังดี) ซะเมื่อไหร่ ยิ่งหนังแกกำกับยิ่งถี่ยิ่งไม่ไหว แต่เทียบกับแรกๆที่รู้จักแกจากหนังสายโหดทั้งนั้น คือ เนื่อเรื่องอาจจะไม่อะไรนักก็ยังโหด ก็รู้สึกเอาเองเหมือนกันว่าหลังๆแกก็จะมากำกับหนังที่ลดดีกรีความโหดมาประปรายเหมือนกัน (เช่น THE GREAT YOKAI WAR นี่ก็คิดเอาเองว่าคงไม่โหดเท่างานที่เคยดู แต่ DVD ก็ดองไว้ไม่ได้ดูซะที)

ส่วนมังงะที่ไม่ได้ตามอ่านก็เพราะ ตอนรู้ว่ามันฮิตที่ญี่ปุ่นมีครั้งที่เคยเปิดไปดูแว่บๆว่าในเล่มมันอะไรยังไงบ้างแล้วก็...เจอไอตัวปัญหาในเรื่องเข้า ก็เลย... เออ เก็บไว้ก่อนละกันนะ ตอนนี้ตามอ่านเรื่องอื่นอยู่เลยยังไม่ได้วกไปซะที (ดูจะอ้อมไปอ้อมมาไม่กลับไปอ่านซะที)

จริงๆก็ไม่รู้อะไรนะครับช่วงหลังๆมานี้เหมือนการ์ตูนฮิตที่ญี่ปุ่นก็เป็นสายออกมืดๆแหวะๆน่ากลัวๆ โลกล่มสลาย คนโดนงาบกันเห็นๆ หลายเรื่องอยู่นะครับ เช่น ATTACK ON TITAN, TOKYO GHOUL เป็นต้น เรื่องนี้ก็ออกแนวๆนั้น (โดยยังมี ONE PIECE รั้งอันดับหนึ่ง มีการ์ตูนอย่าง NANATSU NO TAIZAI (ศึกตำนาน 7 อัศวิน) หรือการ์ตูนกีฬาอย่าง HAIKYUU!! (คู่ตบฟ้าประทาน) เป็นตัวสอดแทรก เป็นต้น) ซึ่งเป็นแนวอ่านติดๆกันมากสำหรับตัวเองไม่ค่อยจะไหว เลยมีผลัดไปก่อนบ้าง(ละกันวะ)ไรบ้าง

ถ้าจะเอาเรื่อง (ใครไม่อยากรู้ก็ให้ข้ามไป - แฟนมังงะก็คงรู้แล้ว - คนที่ไม่ใช่ก็คง...) ก็คือ ในอนาคตมีเหตุอะไรซักอย่างที่มนุษย์ทำโปรเจ๊กท์ดาวอังคารแล้วมันมีปัญหาขึ้นมาก็เลยมีโครงการจับ(?)มนุษย์จำนวนหนึ่งส่งไปทำภารกิจพิเศษที่นั่น เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติต่อไป (ทำไมเล่าแล้วเหมือนไม่รู้อะไรเลยอยู่ดี... - เอาน่ะ)

ว่าไปแนวโหดๆก็ดูจะเหมาะกับอะไรๆที่ทำให้เรารู้จักกับ มิอิเกะ ดีอยู่นะครับ และที่ไปดูเรื่องนี้ก็เพราะ... ไม่แน่ใจเท่าไหร่เพราะเป็นแบบปุบปับ ประมาณ อ๊ะ สร้างจากมังงะ(ดัง)เรื่องนั้นนี่ อ่ะ มี มิอิเกะ กำกับด้วย อ่ะ มี ริงโกะ คิคุชิ ด้วย เออ ดูซะหน่อยก็แล้วกัน... (กลัวมันรีบออกหรืออย่างไร? หือ?)

ก็ไม่รู้จะแนะนำยังไงสำหรับคนทั่วๆไป แต่เข้าใจว่าที่เป็นแฟนมังงะแล้วมาดูก็คงเยอะอยู่ สำหรับตัวเองที่พอรู้จักแต่ไม่ใช่แฟนมังงะก็รู้สึกว่าก็โอเค สนุกดี คิดว่าการเล่าเรื่องของมิอิเกะผลักเรื่องไปข้างหน้าได้เร็วดี ไม่ค่อยมีวอกแวก เอ็ฟเฟ็คท์ดี(ไอตัวนั่นก็ออกมาดีนะ) ออกแบบอะไรก็ดีใช้ได้เลย ถือเป็นส่วนที่ชอบ และก็ยังมีความรู้สึกแบบหนังฮีโร่สัตว์ประหลาดญี่ปุ่นแฝงอยู่

[ภาพยนตร์] COLONIA หนีตาย : รวดเร็ว ลุ้นระทึก ดูสนุกไปกับหนังอิงประวิติศาสตร์ที่มี เอ็มม่า วัตสัน ในบทนำที่แสดงได้อย่างมั่นใจ


โคโลเนีย เป็นหนังที่กำกับโดยผู้กำกับชาวเยอรมัน FLORIAN GALLENBERGER เล่าเรื่องในบรรยากาศของช่วงการปฏิวัติรัฐประหารในประเทศชิลี โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่แอร์โฮสเตสในสายการบินเยอรมันคนหนึ่งซึ่งมีโอกาสแวะพบกับคนรักของเธอซึ่งเป็นนักศึกษาเยอรมันนักกิจกรรมที่มีบทบาทในกิจกรรมทางการเมืองในประเทศชิลี ในช่วงเวลาที่ทั้งสองใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ก็เกิดการปฏิวัติรัฐประหารขึ้น โดยนายพลปิโนเชต์ ทั้งสองถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว เธอถูกปล่อยตัวกลับที่พักซึ่งถูกรื้อค้นกระจุยกระจาย ส่วนคนรักของเธอถูกพาตัวขึ้นรถหายไป แทนที่เธอจะตัดสินใจกลับเยอรมันไปพร้อมลูกเรือคนอื่นๆตามกำหนด เธอกลับหาหนทางเพื่อตามหาคนรักของเธอ และนั่นก็นำเธอไปสู่สถานที่หนึ่ง...

โดยรวมหนังเรื่องนี้เป็นหนังดราม่าอิงประวัติศาสตร์ที่มีเซนส์ของแอ็คชั่นพอควรแม้ไม่ใช่หนังมีฉากแอ็คชั่นรัวถี่ยิบระเบิดตูมตาม หนังดำเนินเรื่องค่อนข้างเร็ว และไม่ทำให้รู้สึกเฉื่อย แม้ว่าจะเป็นฉากที่เป็นการเล่าเรื่องที่มีรายละเอียดพอสมควร ก็ยังรู้สึกว่าหนังเล่าเรื่องเร็ว ทำให้แม้ว่าโดยโครงสร้างแล้วหนังอาจมีรายละเอียดที่อาจดูคุ้นหูคุ้นตาจากหนังหลายเรื่อง (ที่อาจทั้งอิงหรือไม่อิงประวัติศาสตร์) หนังก็ยังสามารถนำความสนใจของผู้ชมผ่านจังหวะการเล่าเรื่องที่มุ่งไปข้างหน้าได้ นี่จึงเป็นหนังอิงประวิติศาสตร์ที่ดำเนินเรื่องค่อนข้างเร็ว และทำให้ผู้ชมติดตามหนังและลุ้นระทึกไปกับหนังได้โดยไม่ชักช้า

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] THE JUNGLE BOOK เมาคลีลูกหมาป่า : มนต์ดิจิทัลรังสรรค์ เสกสิงสาราแลป่ามันช่างมหัศจรรย์



ยังดีที่มีรอบเหลือให้ดู แม้ความหวังได้ดู 3D จะไม่หลงเหลือก็ตาม (IMAX ยิ่งไม่ต้องพูดถึง) แต่ภาพในหนังก็สวยมากพอแล้วที่จะไม่ต้องพะวงถึงว่าลิ้นงูจะได้ฉกเข้าหน้าเรารึเปล่า (เพื่อ?)

แม้ตอนแรกจะไม่ได้อะไรนักกับการประกาศการเอาการ์ตูนคลาสสิคของดิสนี่ย์อย่าง THE JUNGLE BOOK หรือในชื่อไทยว่า เมาคลีลูกหมาป่า นัก ซึ่งก็คิดแค่ว่าเป็นเทรนด์เอาของเก่ามาทำกินใหม่แค่นั้น แถมเรื่องนี้ก็ไม่น่าจะมีคาแรคเตอร์อย่าง MALEFICENT ที่ขุ่นแม่มากจนเอาหนังอยู่ได้โดยคาแรคเตอร์ ทั้งๆที่แม้ดิสนี่ย์จะหากินแต่ก็ไม่ค่อยจะพลาด ไม่ว่าจะ MALEFICENT หรือ CINDERELLA ก็ตาม เรียกว่าไม่ได้มาทำอะไรชุ่ยๆ

แต่เท่านี้ก็ยังไม่อะไรนัก ขนาดว่ามีโปรโมทดาราที่มาพากย์เสียง อย่าง บิล เมอเรย์ ก็ยังแค่รู้สึกว่าเป็นกิมมิค เป็นพลังโปรโมทเท่านั้นรึเปล่า? มี สกาเล็ต โจแฮนสัน เราก็ยังไม่ค่อยอะไร ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจเพราะการ์ตูนอนิเมชั่น THE JUNGLE BOOK (ที่นำคาแรคเตอร์และเรื่องราวมาจากหนังสือรวมเรื่องในพงไพรของ รัดยาร์ด คิปลิง อีกที) ของดิสนี่ย์เองตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967 โน่นก็ถือเป็นงานคลาสสิคที่ดูสนุกแม้เวลาจะผ่านมาเป็นสิบๆปีแล้วก็ตาม และมันก็สร้างภาพจำไว้มากมาย ที่รู้อีกเรื่องคือหนังกำกับโดย จอห์น แฟพโร ผู้กำกับ IRON MAN ภาค 1 และ 2 (และ COWBOYS & ALIENS) แค่นั้น ซึ่งก็ยังไม่ได้เป็นแฟนหนังพี่เขาขนาดนั้น

แต่สุดท้ายตัวหนังก็ทำได้สมคำร่ำลือ หนังสนุกมาก

ตัวหนังน่าจะสร้างจากพิ้นฐานอนิเมชั่นของดิสนี่ย์เอง ซึ่งในพอศอนี้แทนที่จะเป็นงานวาดมือมันก็ถูกเสกสรรด้วยคอมพิวเตอร์ดิจิทัล ซึ่งสร้างทั้งป่าและสิงสาราสัตว์ออกมาได้อย่างวิจิตร ตัวละครแทบทุกตัวซึ่งเป็นสัตว์ในป่าใหญ่จึงมีชีวิตผ่านคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำได้มีชีวิตชีวามาก

[ภาพยนตร์] POISON BERRY IN MY BRAIN : สตรอเบอรี่มีพิษในหัวของอิจิโกะ


ความจริงดูหนังญี่ปุ่นเรื่องนี้เพราะชื่อเรื่องมากกว่าเพราะโปสเตอร์หรืออย่างอื่น เพราะไม่รู้เลยว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร ดาราบนโปสเตอร์ส่วนตัวก็ไม่รู้จักซักคน เอาว่าดูชื่อรวมกับโปสเตอร์แล้วก็คิดว่า โอเคเรื่องนี้แหละ

ตัวหนังเองถ้าจำไม่ผิด ไอตอนที่เลือกดู เขาจัดอยู่ในหมวดดราม่า แต่ถ้าให้บอกอารมณ์ของหนังแม้จะคิดว่ามันก็ยังมีอารมณ์ในขอบเขตดราม่า แต่ก็คิดว่ามันมีสัดส่วนของคอมเมดี้อยู่ด้วย

ถ้าจะไม่ต้องสปอยล์กันเลย เอาเป็นว่ามันอาจมองเป็นเลิฟคอมเมดี้ดราม่าแบบญี่ปุ่นที่มีอารมณ์และองค์ประกอบเพี้ยนๆอยู่ครับ ซึ่งให้พอดีว่าก็ชอบแนวนี้แฮะ

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] THE HUNTSMAN - WINTER'S WAR พรานป่าและราชินีน้ำแข็ง : ตอนดูตัวอย่างบางคนคงอุทานว่า "เฮ้! นี่มัน FROZEN (รึเปล่า)นี่ว์?"

จริงๆแล้ว สร้อยของหนังเรื่องนี้ควรจะเป็นว่า สามสาวสวย ในหนังพรานป่าและราชินีน้ำแข็ง ซึ่งนั่นถือเป็นข้อดีของหนัง

จะว่าไปพูดแบบนี้ก็ใจร้ายกับพ่อพระเอกพรานป่า คริส เฮมส์เวิร์ธ เอาจริงๆ ก็ถือว่าพ่อพระเอกก็เล่นได้ตามมาตรฐานนะ มีเสน่ห์ตามสมควร มีอารมณ์ขันตามสมควร

และแม้ดาราสามสาวสวยในหนัง ทั้ง ชาลิซ เธียรอน, เจสสิกา เชสเทียน และ เอมีลี่ บลันต์ อาจจะมีทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิเหนือกว่า (เพื่อเป็นข้อมูล จริงๆ เอมีลี่ บลันต์ ในคุณสมบัติอันหลังก็เหนือกว่าแบบนับเดือนนะฮะ) และความจริงพวกเธอก็ไม่ได้เล่นแย่อะไรเลย ถือว่าเล่นได้ดีตามมาตรฐาน แต่ว่าในช่วงที่หนังอุดมเอ็ฟเฟคท์(ทั้งแฟนตาซีมากและน้อย)เรียงหน้ากันเข้าฉายไม่เว้นสัปดาห์เช่นนี้ ปัญหาของหนังเสมือนภาคต่อของ SNOW WHITE AND THE HUNTSMAN (ที่มี คริสเตน สจ๊วต แสดงในบทสโนไวท์ และมี ชาลิซ เธียรอน และ คริส เฮมส์เวิร์ธ ในบทเดียวกับหนังเรื่องนี้) เรื่องนี้ก็คือดูเหมือนองค์ประกอบด้านบวกที่พอจะมีดูจะไม่ค่อยเพียงพอในการต่อกรอยู่เหมือนกัน

งานเอ็ฟเฟคท์ของหนังถือว่ามาตรฐาน และเรื่องราวของหนังแม้จะมีส่วนที่ทำให้หลายคนอุทานว่า "เฮ้! นี่มัน FROZEN รึเปล่านี่?" อย่างที่ว่า แต่ความจริงเรื่องราวของหนังก็ไม่ใช่จะเหมือนกับ FROZEN ขนาดนั้น (อีกอย่างคือ FROZEN ก็ไม่มีกระจกวิเศษนะ (เหรอ!?)) และความจริงเรื่องราวของหนังก็ถือว่ามีที่มาที่ไปและจุดพลิกผันให้ติดตามเรื่องราวได้น่าสนใจพอควร

พลังทำลายที่ไม่มี SUPER HERO หน้าไหนต่อกรได้ของ WONDER WOMAN และ พลังหน้าเดดของ ใหม่ ดาวิกา

ก็อย่างที่บอกไปตอนเขียนถึงใน  BATMAN V SUPERMAN ว่าบท WONDER WOMAN ในหนังเรื่องนั้นจริงๆไม่มีก็เหมือนไม่ส่งผลกับเนื้อเรื่องเท่าไหร่ แต่การที่มี WONDER WOMAN ของ กัล กาด๊อท อยู่นั้นก็น่าจะดีกว่าไม่มีมากๆ

และ กัล กาด๊อท ก็ช่วยตอกย้ำความจริงที่ว่านี้ ในงานเปิดตัวรอบพรีเมียร์ของหนัง BATMAN V SUPERMAN ในยุโรป ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อ 22 มีนาคม ที่ผ่านมา ให้ได้เห็นกันชัดๆอีกทีนะครับ ไม่เชื่อ...

...ดูแต่รูปก็พอ...
ภาพจาก www.myfashioncents.com

ซูเปอร์ฮีโร่หน้าไหนจะมาต่อกรได้ล่ะ หือ?!...

ข้อมูลและรูปที่เห็นทีแรก จาก เอนเตอร์เทน ปักษ์แรก เมษายน 2016 (ปก THE HUNTSMAN : WINTER'S WAR) (แต่ดันดองไว้นานกว่าจะเขียน) ส่วนรูปเอามาจาก www.myfashioncents.com เพราะงั้นไปดูแฟชั่นของ กัล กาด๊อท เพิ่มเติมจากเว็บก็ได้เนาะ ที่นี่ ครับ



พลังหน้าเดดของ ใหม่ ดาวิกา 


เอาเป็นว่าบอกไปแล้วเนาะ(นิดนึง)ว่าจริงๆผมรู้จัก ใหม่ ดาวิกา ก็ตอนที่ พี่มากฯ ดังถล่ม แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้อะไรมาก คิดว่าใหม่เป็นผู้หญิงที่สวยหน้าคมดี ดูหนังจบแล้วเราก็ใช้ชีวิตต่อไป แต่ก็มาหลังจากที่เห็น ใหม่ ดาวิกา ในหนัง แผลเก่า กับ ฟรีแลนซ์ฯ นี่แหละ ที่รู้สึกว่าการปรากฏตัวบนจอหนังของเธอมีเสน่ห์มาก คือ เมิงหลงเสน่ห์เขาแล้วว่างั้นเถอะ (แม้ว่าจริงๆ รู้แล้วเราก็ใช้ชีวิตต่อไปเหมือนเดิมน่ะแหละ...)

จริงๆ อารมณ์หน้าเดดนี่ ก็มีต้นตอมาจากคุณ เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ที่เป็นผู้กำกับฟรีแลนซ์ฯ นะครับ บรรดาดาราหรือใครที่หลงไปมีเอี่ยวในหนังของคุณเต๋อ หรือเข้าเฟรมกับคุณเต๋อ จึงมีโหมดหน้าเดดราวกับโรคติดต่อ (ไม่อันตรายนะ) มาให้ได้ติดตามกันเป็นที่สนุกสนาน (?) 

และคุณ ใหม่ ดาวิกา ก็เช่นกัน ซึ่งมันก็เป็นอารมณ์แบบคนจะสวยช่วยไม่ได้ หน้าเดดก็ยังสวย เพราะงั้นหลังจากเขียนถึงพลังทำลายล้างของ WONDER WOMAN ไปข้างต้นแล้ว เราก็ควรจะวกเข้ามาในประเทศบ้าง (มันเกี่ยวกันยังไงนะ?)

ภาพยนตร์ไทยฉายปี พ.ศ.2558 ที่ข้าพเจ้าชอบ 5 อันดับแรก

ว่าจะเขียนตั้งแต่ต้นปีก็ผลัดโน่นนี่ไปเรื่อย ขอเขียนไว้ก่อนจะลืมครับ

แล้วก็ขอเริ่มด้วยหนังที่ได้ดูและคิดว่าน่าสนใจ แต่ไม่เข้า 5 อันดับก่อนนะครับ 2 เรื่อง (เอาจริงๆ ปีนึงก็ใช่จะดูหนังไทยแทบครบทุกเรื่องอะไร ก็เลยลังเลจะเขียนมาแต่ต้นปี (เหรอ - มันนานไปไหมฟร่ะ?)) ส่วนเรื่องไหนดันตกไปเพราะหลงๆลืมๆไปบ้าง ก็...เอาไว้ว่ากันทีหลังละกัน


พันท้ายนรสิงห์ 

เป็นหนังพีเรียดอิงประวัติศาสตร์อีกเรื่องจากการกำกับของ หม่อมเจ้า ชาตรีเฉลิม ยุคล นะครับ ซึ่งทีแรกเรื่องนี้เกือบจะข้ามไปเพราะเห็นความยาวของหนังแล้วก็คิดว่าไม่ค่อยสะดวกไปดูแหงๆ แต่พอได้ยินคำบอกชื่นชมมาก็ เอาฟระ หาดูซักรอบ 

ตอนได้ไปดูจริงๆ ก็คิดว่าท่าทีของหนังนั้นมีหลากอารมณ์ และมีลักษณะการเล่าคล้ายละครพีเรียดไทย ซึ่งก็มารู้ทีหลังว่าเรื่องนี้ทีแรกก็จะทำเป็นละครน่ะแหละ คิดว่าหนังเล่าได้สนุก มีหลายอารมณ์ หลายช่วงมีท่าทีผ่อนคลายกว่าในภาพยนตร์ตำนานพระนเรศวร และมีอารมณ์เข้มข้นในหลายช่วงตอน และฉากแอ็คชั่นเล็กๆในหลายช่่วงก็ทำได้ดีทีเดียวเลย ความเข้มข้นของหนังรวมๆอาจไม่เท่ากับหนังพระนเรศวรสองภาคแรก แต่อาจด้วยการที่รายละเอียดของเรื่องดูไม่มากเท่า รวมไปถึงตัวละครด้วย จึงคิดว่าเรื่องนี้ติดตามและสัมผัสกับตัวละครได้มากกว่า โดยเฉพาะคุณ เต้ย พงศกร ที่เล่นเป็นสิน ตัวเอกของเรื่อง ซึ่งเล่นได้ลื่นไหลและมั่นใจดีจริงๆ ดูโดดเด่นเหมาะกับบทที่ได้รับมาก ขณะที่บทพระเจ้าเสือของผู้พันเบิร์ดที่เป็นบทสำคัญที่ตีคู่กันมาก็มีท่าทีผ่อนคลายกว่าตอนเล่นเป็นพระนเรศวร อาจเพราะเดิมเคยตั้งใจทำเป็นละครจึงยังมีความรู้สึกบางอย่างว่ามันสวมในความเป็นภาพยนตร์ไม่พอดีนัก แต่เท่าที่ดูหนังก็ดูได้สนุกลื่นไหลดี และความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง (รวมโฆษณาในโรงแล้วก็คงเกิน...) ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร แค่กลับบ้านดึกไปหน่อยก็เท่านั้นเอง... 

แต่ก็ยังคิดว่าถ้าฉายเป็นละครหลายตอน ก็ยังน่าจะเก็บรายละเอียดได้มากกว่าและค่อนข้างเหมาะครับ (ไม่รู้มีฉายแบบละครไปหรือยัง นี่ก็ไม่ได้ตามซะด้วย)


เมย์ไหน ไฟแรงเฟร่อ


เป็นหนังที่น่าสนใจหลายอย่างเลย ตั้งแต่เป็นหนังของ ชยนพ บุญประกอบ ผู้กำกับ SUCK SEED ห่วยขั้นเทพ นำแสดงโดยกลุ่มดาราวัยรุ่นจากซีรี่ส์ฮอร์โมน แต่เป็นเลิฟคอเมดี้ และคอนเซ็ฟท์ของเรื่องที่เป็นเรื่องของผู้มีพลังพิเศษ(?)ท่ามกลางสังคมฐานันดรในโรงเรียนมัธยม (ในโรงเรียนยังมี แล้วข้างนอกมันจะมีไหม?!) แม้เนื้อเรื่องอาจจะดูการ์ตูน แต่หนังก็เล่าเรื่องได้อย่างสนุก มั่นอกมั่นใจ และเรื่องของฐานันดรก็น่าสนใจ ดารานำสามคนในโปสเตอร์ก็เล่นได้อย่างสนุกมั่นใจตามตัวหนังด้วย แม้เรื่องจะเกี่ยวกับพลังประหลาดๆ แต่เรื่องราวในหนังก็เล่าได้โอเค ไม่ได้มีจุดสะดุด (ส่วนหนึ่งก็เพราะมันเป็นอารมณ์คอมเมดี้ด้วยแหละ) แถมส่วนที่เล่าด้วยอนิเมชั่นในหนังก็ทำได้ดีมาก และเป็นส่วนที่ชอบมากอย่างนึงในหนังด้วย และก็ชอบที่หนังเล่าแตะๆอะไรมืดๆแต่ดูจริงไว้ในหนัง ซึ่งก็ทำให้เป็นหนังคอนเซ็ฟท์จัดที่ดูสนุกเรื่องนึงเลย เราอาจมีปัญหากับความสงสัยในสถานะตัวละครในช่วงท้ายกับเรื่องในช่วงท้ายหน่อยๆทั้งที่จริงๆมันก็ไม่ได้มีผลเสียอะไร แถมเรื่องก็ยังสนุกดีไปจนจบ แต่ก็นั่นแหละ... อาจเป็นข้อส่วนตัวซักหน่อย ประกอบกับยังชอบ SUCK SEED ห่วยขั้นเทพ มากกว่าอยู่ ซึ่งเป็นหนึ่งหนังชอบในปีนั้น (และแม้เราจะชอบบทออยของน้องฟรังในฮอร์โมนมากกว่า อย่างที่เคยพูดถึงไว้ก็ไม่มีผลอะไรกับอันดับนะ จิงๆ) ก็ยังติดตามงานกำกับเรื่องใหม่ของผู้กำกับอยู่นะครับ และสุดท้ายเรื่องนี้ก็กลายเป็นหนังโรงเรื่องสุดท้ายของ GTH ไป


ทีนี้มาต่อกันที่ 5 อันดับจริงล่ะนะ

5. แผลเก่า (INTERNATIONAL VERSION)


ที่แปะว่าเป็น INTERNATIONAL VERSION นี่ไม่ได้จะบอกว่าเวอชั่นนี้ดีกว่าปกติอะไรยังไงเพราะไม่ได้ดูเวอชั่นปกติที่เข้าฉายไปก่อนตั้งนานแล้วครับ ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้ดู แต่พอเห็นมันกลับมาฉายที่โรงภาพยนตร์ HOUSE ณ RCA อีกก็ชักสนใจว่า เออ ทำไมมันวนมาฉายใหม่หว่า ก็เลยสนใจไปดู

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] TRUMBO ทรัมโบ เขียนฮอลลีวู้ดฉาว : เหมือนชีวิตนักเขียนบทจะกล่าว(ตะโกนใส่หน้าเรา)ว่า "จะหยุดยืนแห้งตายอยู่ตรงนี้หรือ?" อย่าเชียวนะ


ชีวิตของ ดาลตัน ทรัมโบ เป็นชีวิตที่มีสีสัน และเมื่อมาปรากฏบนจอหนังมันก็ดูเต็มไปด้วยพลังขับเคลื่อนและแรงบันดาลใจ

ความมีสีสันในสายตาผู้ชมไม่ใช่สิ่งที่แลกมาโดยง่าย ดาลตัน ทรัมโบ เป็นมือเขียนบทระดับมือทองของฮอลลีวู้ด เขามีพรสวรรค์ มีชื่อเสียง มีเงินทอง มีครอบครัวที่น่ารัก ขณะเดียวกันเขาก็มีอุดมการณ์ส่วนตัว ที่พ้องไปกับอุดมการณ์ส่วนตัวของคนจำนวนหนึ่ง แม้ว่าสิ่งที่เขาและพวกเขาทำจะไม่ใช่การพยายามขับเคลื่อนอะไรใหญ่โตหรือล้มล้างอะไร เพียงแค่พยายามผลักดันอุดมการณ์ของตัวเอง แต่มันอาจไม่พ้องกับอุดมการณ์ของคนจำนวนมากกว่า ฮอลลีวู้ดส่วนใหญ่ หรือกระทั่งความเห็นของรัฐบาล

และในยุคมืดของฮอลลีวู้ด เขาจึงถูกขึ้นบัญชีดำ

โดยรวมหนังเรื่อง TRUMBO อาจดูเป็นหนังดราม่าชีวประวัติฟอร์มมาตรฐาน แต่หนังก็เต็มไปด้วยพลังขับเคลื่อนจากทั้งการเล่าเรื่องที่ไม่อ้อยอิ่งและการแสดงที่กระตือรือร้น ดาราหลายคนที่ขึ้นจอในที่นี้มาพร้อมการแสดงที่หนักแน่นแม้อาจไม่หนักหน่วง แต่ดาราหลายคนก็ใช้เวลาบนจอของตัวเองได้แบบไม่มีเสียยี่ห้อ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งดารานำในบทบาท ดาลตัน ทรัมโบ ของ ไบรอัน เครนสตัน ซึ่งมีชื่อเสียงมาก่อนหน้านี้จากการแสดงในซีรี่ส์ BREAKING BAD นั้นเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ลื่นไหล และพลังขับเคลื่อน จนปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาเป็นพลังสำคัญของหนัง และสมควรแล้วกับการได้เข้าชิงดารานำชายในเวทีออสการ์ ใครที่ชอบหนังชีวประวัติ หรือสนใจวงการหนังฮอลลีวู้ด หรือใครชอบหนังที่สร้างแรงบันดาลใจ น่าจะหาหนังเรื่องนี้มาดูซักครั้ง คิดว่าคุณคงไม่ผิดหวัง

[ภาพยนตร์] JANE GOT A GUN เจนปืนโหด : สาวสวยถือปืน


สารภาพกันเลยว่าที่ทำให้สนใจหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ทั้งชื่อเรื่อง ทั้งอังกฤษหรือชื่อเวอชั่นไทย (แม้จริงๆชื่อมันก็น่าสนใจดีอยู่)ไม่ใช่ชื่อผู้กำกับ กระทั่งตัวอย่างหนังก็เกือบจะไม่ใช่ เราสนใจเรื่องนี้แค่เพราะ นาตาลี พอร์ทแมน เจ้าของนาม เจน ในหนังเท่านั้น

ใครที่ดูตัวอย่างหนังผ่านตามาก็คงพอจะรู้แหละว่าหนังเล่าเรื่องเกี่ยวกับหญิงสาวชื่อ เจน ในยุคคาวบอยที่เจอการคุกคามจากกลุ่มแก๊งผิดกฏหมายแต่ทรงอิทธิพล ด้วยสาเหตุอะไรบางอย่าง จนต้องมาขอความช่วยเหลือจากอดีตคนรัก และแม้จะเป็นผู้หญิงเมื่อถึงเวลาต้องปกป้องบ้านของเธอจากใครก็ตามที่จะมาพรากสิ่งสำคัญของเธอไป แม้จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นก็ตามที เธอก็ยังจับปืนขึ้นสู้ด้วย

ความจริงแล้วองค์ประกอบรวมๆของหนังเรื่องนี้ก็มีส่วนที่พอจะดึงความสนใจได้พอสมควร แม้พลอตจะไม่ได้พิสดารอะไร แต่มันก็มีรายละเอียดและที่มาที่ไปในเรื่องราวของมันที่พอจะขับเคลื่อนเนื้อเรื่องเพื่อดึงความสนใจของผู้ชมได้อยู่ แต่ก็น่าเสียดายว่าแม้ไม่ต้องดูเหตุผลที่ว่าหนังคาวบอยนั้นมีช่วงที่ไม่ประสบความสำเร็จ จนมาในช่วงหลังจึงมีหนังคาวบอยจำนวนหนึ่งที่กลับมาดึงความสนใจของผู้ชมได้อีก ซึ่งประสบความสำเร็จแตกต่างกันไป ตามแต่ความน่าสนใจในแต่ละเรื่อง และ JANE GOT A GUN ก็ดูจะพอมีองค์ประกอบที่ว่าอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นดารานำซึ่งมีทั้ง นาตาลี พอร์ทแมน ทั้ง โจล เอ็ดเกอร์ตัน และ ยวน แมกเกรเกอร์ แม้ทั้งสามคนในช่วงหลังๆจะดูไม่ได้อยู่ในหนังกระแสมาก แต่ก็จัดเป็นดารามีฝีมือ และมีชื่อพอจะเรียกแขกได้ ทั้งชื่อเรื่องที่มากันตรงๆก็ดูน่าสนใจดี และเมื่อดูรายละเอียดในเรื่องราวของมัน แม้ไม่ถึงกับแปลกหรือโดดเด่นก็ไม่ถึงกับจะแห้งแล้งจนไม่มีอะไรน่าสนใจ

แต่ว่าอีกทีก็หนังประมาณนี้แหละที่ต้องระวัง เพราะถ้าปล่อยให้ภาพรวมของหนังออกมากลางๆมากไป หรือธรรมดาไปละก็ หนังก็มีสิทธิ์หลุดความสนใจของผู้ชมเอาง่ายๆ

[ภาพยนตร์] 10 CLOVERFIELD LANE : สัตว์ประหลาดอยู่ข้างบน หรือสัตว์ประหลาดอยู่ข้างล่าง? สัตว์ประหลาดอยู่ข้างนอก หรือสัตว์ประหลาดอยู่ข้างใน?


เมื่อหลายปีก่อน หนังชื่อ CLOVERFILED เคยจู่โจมคอหนังด้วยการพาสไตล์ของหนัง FOUND FOOTAGE (ประมาณไปค้นพบ กล้อง ฟิล์ม วิดีโอ ที่สูญหายหรือไม่รู้ที่มาได้) ที่เพิ่งเริ่มเฟื่องฟู(อีกรอบ?) (ด้วยสไตล์คล้ายๆความรู้สึกเหมือนดู MOCUMENTARY (สารคดีเทียม)ซึ่งเพิ่มความรู้สึกสมจริงให้หนังได้แบบแปลกๆ) ในตอนนั้นไปในอีกสเกลด้วยสไตล์ของตัวเอง และคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหนังอย่าง CLOVERFILED นั้นเกิดขึ้นได้จากจากการประสบความสำเร็จอย่างเกินคาดของหนังเล็กๆที่ชื่อ THE BLAIR WITCH PROJECT  จากสไตล์ที่เหมือนจะสร้างได้ด้วยงบถูกๆแต่ถ้าปังอาจประสบความสำเร็จเกินคาด กับเรื่องราวของการตามหาแม่มดแบลร์จากตำนานเรื่องเล่า แต่ด้วยการที่หนังอย่างตำนานแม่มดแบลร์นั้นประสบความสำเร็จได้ด้วยบรรยากาศหลอกหลอนในหนัง ประกอบกับบรรยากาศข่าวลือในยุคอินเทอร์เน็ตที่ทำให้ตำนานแม่มดนั้นถูกทำให้ไปอยู่ในขอบเขตที่น่าเคลือบแคลงว่า 'อาจจะเป็นเรื่องจริง' ก็เป็นได้ ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่สร้างความน่ากลัวให้กับตัวหนังมากกว่าสเปเชี่ยลเอฟเฟ๊คราคาแพงใดๆซะอีก แต่เมื่อหนังออกฉายก็คงมีหลายคนที่ได้รู้ความจริงของหนัง (แม้ว่ากระทั่งวันนี้ก็อาจมีบางคนยังคงเชื่อหรือไม่ก็ไม่แน่ใจว่าตำนานแม่มดแบลร์เป็นเรื่องจริง) ทำให้ความสำเร็จของ THE BLAIR WITCH PROJECT นั้นอาจไม่สามารถทำเลียนแบบได้โดยง่าย (แม้ว่าต่อมาจากนั้นอีกซักพักใหญ่เราจะยังคงได้เห็นความสำเร็จของหนังอย่าง  PARANORMAL ACTIVITY หรือ REC ก็ตาม) กระทั่งการพยายามสานต่อความสำเร็จของ THE BLAIR WITCH PROJECT ก็ยังไม่ได้ใช้สไตล์ FOUND FOOTAGE แต่เลี่ยงไปใช้หนังเล่าเรื่องเหมือนปกติแทน ก็อาจเป็นเพราะทางผู้สร้างรู้ตัวดีว่าไม่อาจเลียนแบบความสำเร็จของตัวเองได้ง่ายๆ ซึ่งอาจเป็นทางเลือกที่ถูกก็ได้? ยังไงก็ตามแม้ตัวหนังภาคต่อ BOOK OF SHADOWS จะไม่อาจเรียกได้ว่าล้มเหลวเต็มปากโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับทุนสร้าง แต่ความสำเร็จของหนัง(ทั้งรายได้และคำชื่นชม)ก็ไม่อาจเทียบกับภาคแรกได้เลยแม้แต่น้อย(โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุนสร้างภาคแรกยังน้อยกว่ามากๆๆ)

ทำให้แม้ THE BLAIR WITCH PROJECT จะเป็นหนังทุนน้อยแต่ประสบความสำเร็จใหญ่โตให้เห็นนั้น ก็ไม่มีใครจะทำหนังตามอย่างออกมากันได้ง่ายๆนัก

แต่ก็ในตอนนั้นอีกแหละ เจ. เจ. แอบรัมส์ ซึ่งสร้างชื่อมาจากทีวีซีรี่ส์อย่าง FELICITY และ LOST เป็นอาทิ และได้กำกับภาพยนตร์อย่าง MISSION IMPOSSIBLE III ที่สร้างบรรยากาศได้อย่างเข้มข้นจริงจัง ก็หันมา PRODUCE หนัง FOUND FOOTAGE เรื่องนึงที่มีชื่อว่า CLOVERFILED  

แทนที่จะติดกับการเป็นหนังงบน้อยๆเผื่อได้กำไรเยอะๆ หรือเล่นกับธีมแบบความลึกลับในป่าซึ่งไม่รู้ว่ามีอะไรสิงสถิตย์อยู่ CLOVERFILED กลับเล่นใหญ่กว่าไปซะเลยด้วยการเป็นเรื่องราวที่พบจากกล้องบันทึกในคณะที่เจอกับเหตุการณ์สัตว์ประหลาดต่างดาวบุกเมือง ซึ่งก็ไม่ได้ไปบุกกันเงียบๆ บุกเมืองกันใหญ่โตเอาการจริงๆ ซึ่งสไตล์ของ FOUND FOOTAGE กับการจำกัดให้ผู้ชมรับรู้แค่มุมมอง(กล้อง)ของคนที่เผชิญเหตุการณ์โดยไม่ตัดไปให้เห็นเหตุการณ์ในที่อื่นๆ ได้แต่มะงุมมะงาหราและอยู่กับความไม่รู้หรือไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นพร้อมๆไปกับตัวละครนั้นก็ยังคงทำงานอย่างได้ผล (เพราะงั้นเราจะไม่ได้เห็นสัตว์ประหลาดกันเท่าไหร่ - อ่าว - ก็เรื่องจริงใครมันจะไปบ้ายืนหันกล้องถ่าย เกิดรู้ว่ามันอยู่มุมตึกข้างหน้ามันก็ต้องหันหลังวิ่งหนีก่อนไหม?) ประกอบกับวิธีการประชาสัมพันธ์ถึงตัวหนังตั้งแต่ก่อนหนังเข้า ก็ทำให้ CLOVERFILED เป็นหนัง FOUND FOOTAGE ที่นำพาตัวเองไปอยู่ในอีกขั้นและขอบเขตหนึ่ง ซึ่งประสบความสำเร็จในด้านรายได้ด้วย แม้อาจจะน่าเหลือเชื่ออยู่บ้างว่า CLOVERFILED เองก็ยังทำรายได้น้อยกว่าต้นธารอย่าง THE BLAIR WITCH PROJECT (ที่ทุนสร้างน้อยกว่ากันเกินร้อยเท่า) แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น แม้ใช่ว่าไม่มีจุดอ่อนหรือข้อสงสัย แต่ CLOVERFILED เองก็จัดได้ว่าเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จและมีความโดดเด่นเป็นของตัวเองอย่างน่าสนใจอยู่ดี

ผ่านมานานเอาการ CLOVERFILED เองก็เหมือนจะมีภาคต่อ? ในแบบที่เห็นชื่อแล้วก็ไม่แน่ใจว่านี่มันภาคต่อหรือไม่ใช่ฟระ? นี่มาหลอกอะไรกันหรือเปล่า? หรือต่อให้ใช่หรือไม่ใช่ ชื่อหนังนี่มันคืออะไร๊? ก็อาจเป็นคำถามหรือความสงสัยให้กับหลายคน กับหนังที่มีชื่อว่า 10 CLOVERFIELD LANE

จริงๆการจะดูหนัง 10 CLOVERFIELD LANE นี่ไม่ควรรู้อะไรมาก เห็นนิดๆหน่อยๆแล้วสนใจก็ควรไปดูเลย สำหรับตัวเองถือว่าคุ้มค่าตั๋วครับ