วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] SADAKO vs KAYAKO ซาดาโกะ ปะทะ คายาโกะ ดุ นรกแตก : สองตำนานญี่ปุ่นสยอง หึ หึ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ อ๊ากกกก ว๊ากกกก


แบบสั้นๆ
จริงๆก็ถือเป็นแฟนๆทั้ง เดอะ ริง และ จูออน แหละนะครับ แม้หลังๆก็ไม่ได้จะติดตามเหนียวแน่นอะไรแล้วในช่วงหลังๆ แต่แรกรู้จักกันเราก็ชอบทั้งคู่นะ

เดอะริง (หรือ ริงกุ - ถ้าอ่านแบบญี่ปุ่น) คำสาปมรณะ แม้จะออกจะชอบนิยายต้นฉบับที่สุด แต่ฉบับหนัง(พูดเฉพาะภาคแรกก่อน)ทั้งญี่ปุ่นและฮอลลีวู้ดก็ชอบเหมือนกัน เป็นเรื่องที่นำเอาเทคโนโลยีมาเล่นกับเรื่องราวแบบนี้ได้น่าสนใจ (แม้...เทคโนโลยีจะหมุนเปลี่ยนไปไว โดยเฉพาะในระยะหลังๆจนมันตกยุคไปแล้วเฉยเลย นี่ผ่านมากี่ปีแล้วนะ?) แถมเซตเทรนด์ผีสาวผมยาวออกอาละวาดไปยังหนังเรื่องอื่น ชาติอื่นๆอีกมากมายก็ว่าได้

จูออน หรือในชื่อไทยว่า ผีดุ นี่จริงๆก็ยังเซตเทรนด์รูปลักษณะผีญี่ปุ่นผีสาวผมยาวอยู่ แต่เพื่อความแตกต่างและเพื่อให้ ดุ สมชื่อ หนังยังเพิ่มทั้งคู่หู (?) และเรื่องของเสียงจนเป็นเอกลักษณ์ของหนัง (ก่อนที่ทำไปนานๆอะไรหลายๆอย่างอาจจะทำให้มันกลายเป็นตลกไปซะงั้น...) แถมที่ชอบมากๆในตอนนั้นคือมันแบบว่า ผีดุ สมชื่อจริงๆ แตกต่างกับเทรนด์ผีต้องมีเหตุผลในช่วงนั้นที่ หนังผีพยายามทำตัวมีเหตุผลกันมากขึ้นนับแต่ The Sixth Sense อันโด่งดังของ เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน ซึ่งความจริง เดอะ ริง นี่ก็ถือว่ายังอยู่ในแนวนี้ เพราะอธิบายที่มาที่ไปไว้เยอะแบบพิสดารมาก (แต่นั่นก็ถือเป็นความสนุกของเรื่องด้วย) แต่ จูออน นี่คือ หลอกหมด เอาตายหมด เพื่อนเพิ่นญาติคนรู้จักข้างบ้านอะไรนี่มีเอี่ยวได้หมด บางคนบอกว่าถ้าอ่านฉบับนิยายจะมีที่มาที่ไปมากกว่า แต่ก็ไม่เคยอ่าน คือ ก็ไม่ต้องอ่านก็ได้ แค่นี้ก็เชื่อแล้วว่า ผีดุ จริงๆ สมชื่อได้ใจมาก

แม้ว่าหลังๆจะไม่ได้ติดตามจริงจังอะไรแล้ว แต่จริงๆทั้งสองตระกูลก็ยังมีการสืบสานความหลอนในแต่ละสื่อและสถานต่างกันไป ไปเป็นรสชาติฝรั่งก็มี กิมจิก็มี ต้นฉบับญี่ปุ่นเองก็ยังมีสืบสาน นิยายก็ยังมีออกมา อย่างน้อยก็พาผู้กำกับต้นฉบับทั้งสองไปเปิดตัวในฮอลลีวู้ดเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องนั้นเอาไว้พูดทีหลังละกัน แต่อย่างที่บอกทำไปนานๆอะไรหลายๆอย่างอาจจะทำให้มันกลายเป็นตลกไปซะงั้น... แต่ เมื่อเห็นหนังเรื่องนี้ เราก็รู้สึกไปเลยว่า แม้จะดูแถชอบกลขนาดนี้ แต่นี่ก็เป็นอีเว้นท์ใหญ่ของทั้งสองตระกูลชอบกลแน่นอน เพราะงั้นเราจึงอยากไปดู และ...

[ภาพยนตร์] HELL OR HIGH WATER ปล้นเดือด ล่าดุ : บัญญัติโจร บัญญัติปลัดปราบปราม* คู่มือธนาคาร


* คำว่า ปลัดฝ่ายปราบปราม เอามาจากการเลือกแปลคำว่า Marshall มาเป็นภาษาไทย โดยคุณ แดนอรัญ แสงทอง ลองอ่านรายละเอียดดูได้ ที่นี่

(ก็อยากยกเอามาซะอย่างนั้น...)


แบบสั้นๆ
แค่น้ำลึกหรือลงไปถึงนรก... (แปลส่งเดชติดมั่วกรุณาอย่านำไปอ้างอิงทางวิชาการ...)
บทจากฝีมือของ เทเลอร์ เชอริแดน ผู้เขียนบท Sicario เล่าเรื่องราวของสองพี่น้องโจรปล้นธนาคาร ที่ปล้นด้วยวาระบางอย่างที่มีทั้งความจำเป็นและความสาสม ซึ่งในอีกด้านผู้ที่ขยับตัวคือ ปลัดฝ่ายปราบปราม* มากประสบการณ์และมีอายุงานยาวนาน การวางแผนของแต่ละฝ่ายจะนำไปสู่อะไร?...

แม้เรื่องราวเริ่มต้นของหนังจะดูไม่ได้แปลกแตกต่างไปมากจากหนังในแนวอาชญากรรม และทำให้นึกไปถึงหนังหลายๆเรื่อง แต่เมื่อเราได้รับรู้เรื่องราวทั้งเบื้องหลังและเรื่องราวที่ดำเนินต่อไป เราก็พบว่า Hell or High Water มีเรื่องราวเฉพาะตัวที่แม้จะถ่ายทอดด้วยท่าทีสุขุมไม่หวือหวา แต่รายละเอียดหลายอย่างอักแน่นไปด้วยเรื่องราว ความขัดแย้ง ความเข้มข้น ความอันตราย รวมไปถึงความอบอุ่น

บรรยากาศของหนังอาจทำให้นึกไปถึงหนังอาชญากรรมบรรยากาศตะวันตกแบบคาวบอย แต่ก็เป็นเรื่องราวในช่วงเวลาปัจจุบันมากกว่าในอดีต 

เรื่องราวของ เทเลอร์ เชอริแดน สอดแทรกประเด็นที่ต้องการบอกเล่าออกมาได้อย่างเข้มข้นแม้จะด้วยท่าทีไม่หวือหวา แต่ก็แนบเนียนและส่งพลังออกมาได้เข้าเป้า เรื่องราวยิบย่อยและประเด็นรวมทั้งความสัมพันธ์ของตัวละครซึ่งจริงๆแล้วมีความหลากหลายจริงถูกผสมรวมกันได้อย่างดี การกำกับของ เดวิด แมคเคนซี่ เองแม้ไม่ได้ผสมสไตล์จัดลงไปขนาดงานกำกับของพี่น้องโคเอน ก็ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาอย่างสุขุม ไม่ฟูมฟายแม้เรื่องราวบางเรื่องจะหนัก ขณะเดียวกันก็เข้มข้นและมีจังหวะจะโคน เมื่อเวลาผ่านไปและเรื่องราวเริ่มซับซ้อนขึ้น เรื่องราวทั้งหมดจึงดำเนินไปอย่างทรงพลัง เราจึงทั้งรู้สึกไปกับเรื่องราวของตัวละครที่ต้องมาเกี่ยวพันกัน ทั้งเฝ้ามอง ตำหนิ หวาดกลัวหรือระวังระไวแทนตัวละคร กระทั่งบางครั้งยังสะเทือนใจ เห็นใจ และรู้สึกถึงความองอาจของตัวละครไปพร้อมกัน ทั้งรู้สึกว่าแต่ละคนเองก็มีความเป็นคนธรรมดาไปพร้อมกัน (ส่วนนี้รู้สึกต่างไปจาก Sicario ที่รู้สึกว่าบางตัวละครมีภาพของความเป็น(แม้จะ แอนตี้)ฮีโร่แบบค่อนข้างชัด - แต่จุดประสงค์ของ Sicario ที่วางตัวละครในลักษณะนั้นก็น่าจะต่างออกไปจากเรื่องนี้เหมือนกัน)

หนังยังได้การแสดงที่ดีและเข้มข้นจากนักแสดงในแทบทุกตำแหน่ง ไม่ว่าจาก เบน ฟอสเตอร์ (ที่ก็แสดงใน Warcraft ด้วย) เจฟ บริดเจส (ที่เห็นแล้วก็นึกไปถึง True Grit แต่ตัวละครทั้งสองก็มีเอกลักษณ์ต่างกัน) หรือใครที่เป็นแฟนตาสีฟ้าของ คริส ไพน์ มาจากหนังอย่าง Star Trek และรู้สึกว่าไม่ค่อยได้เห็นหน้าเขาจากเรื่องอื่นบ่อยนักก็น่าลองมาพิสูจน์บทบาทเข้มข้นในเรื่องนี้ของเขาดู     

เรื่องราวสอดแทรกประเด็นหลากหลายเอาไว้มาก แต่ก็รวมกันเป็นเรื่องราวและเนื้อเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อทั้งเรื่องราวของ เรื่องราวของถิ่นฐาน การเปลี่ยนแปลง สภาพชีวิตความเป็นอยู่ การเงิน ที่กระทบกับชีวิตและความสัมพันธ์ของคนในแต่ละสถานะ ตำแหน่ง และ หน้าที่ จึงถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างเข้มข้นโดยไม่มีความรู้สึกว่าถูกยัดเยียด  และหนังก็ดำเนินเรื่องโดยเพิ่มความเข้มข้นและความระทึกขึ้นไปเรื่อยๆ กระทั่งซีนช่วงจบก็ยังมีความเข้มข้นของเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างทรงพลัง 8.6 คะแนน


แบบยาวๆ

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] ALICE THROUGH THE LOOKING GLASS อลิซ ผจญภัยมหัศจรรย์เมืองกระจก : เวลาจะช่วยอัลไล


แบบสั้นๆ
อืม... จริงๆแม้จะเป็นแฟนผลงานของผู้กำกับ ทิม เบอร์ตัน อยู่พอสมควร และ Alice in Wonderland ก็มีองค์ประกอบอะไรๆที่ก็น่าชอบอยู่ โดยเฉพาะเรื่องของการออกแบบและวิชชวลโน่นนี่ และตัวละครหลายคนก็มีบุคลิกเพี้ยนพิลึกน่าสนุกดี แต่ไอที่ทำให้ค่อนข้างจะเฉยๆกับ Alice ในกำมือของ ทิม เบอร์ตัน ไปซักหน่อยก็เป็นเพราะ มันมีเวอชั่นที่ผมชอบกว่ามาก ซึ่งนั่นก็คือเวอชั่นอนิเมชั่น(แคลสสิค)ของดิสนี่ย์ที่ 'หลอน' กว่ามาก (แต่...เวอชั่น เบอร์ตันก็ใต้ชายคาดิสนี่ย์น่ะแล...ยิ่งตะหงิดๆยังไงๆเข้าไปใหญ่) ซึ่งจริงๆได้ยินมาว่านิยายต้นฉบับของ ลูอิส แครอล นี่ก็มีบรรยากาศน่ากลัวๆอยู่ในตัวเหมือนกัน นัยว่าให้เด็กๆ (ตกลงให้เด็กๆอ่านล่ะนะ?) รู้จักกลัวรึสงสัยในอะไรๆที่ไม่รู้จักดี แม้บางอย่างจะมีสีลูกกวาดแต่มันก็อาจเป็นอะไรที่เรา 'ไม่รู้จัก' และไม่จำเป็นต้องเป็น 'มิตร' กับเราซะกะหน่อย

แต่เนื่องจากนิยายต้นฉบับนี่ก็ยังไม่เคยอ่าน เพราะงั้นแทนที่จะพูดอะไรเรื่องนี้มากๆไว้ตรงนี้ ตอนนี้ก็เอาเป็นแค่ลองแนะนำให้ใครที่ไม่เคยดูลองไปหาดูเวอชั่นอนิเมชั่น(แคลสสิค(ซ้ำ...))ของดิสนี่ย์กันครับ จะได้เห็นว่าดิสนี่ย์ไม่ไดทำอนิเมชั่นสวยหวานมาเอาใจหนูๆอย่างเดียวนะเฮ้ย! แม้จะคิดว่าเขาก็มีการ 'ปรับ' มันบ้างน่ะแหละ แต่มันก็ยังหลอนอยู่ดี ชนิดที่ Aliceฯ เวอชั่น ทิม เบอร์ตัน นี่ถ้าจะหลอนก็หลอนเพราะลุคมากกว่าหลอนจริงๆ ชนิดที่ถึง จอห์นนี่ เด็ป เฮียจะแต่งองค์มาลุคพิลึกยังไง แต่มาท่านั้นนี่ก็เทียบความหลอนของ Mad Hatter เวอชั่นอนิเมชั่นดิสนี่ย์ไม่ได้เลย เฉพาะในฉาก Unbirthday กลางโต๊ะน้ำชานี่ก็กินขาดแล้ว

เพราะงั้นในที่นี้ก็จะพิจารณา Alice Trough the Looking Glass เฉพาะในฐานะภาคต่อของ Alice in Wonderland เวอชั่นรีบูท (อีกและ...ก็ตามนั้นแหละ) ของ ทิม เบอร์ตัน ล่ะนะฮะ

เปลี่ยนตัวผู้กำกับมาเป็น เจมส์ โบบิน ส่วนเฮีย ทิม ย้ายไปเป็นผู้อำนวยการสร้างแทน (อย่างนึงแกก็คงไปง่วนอยู่กะหนังอย่าง Miss Peregrine's Home for Peculiar Children ที่มีต้นฉบับจากวรรณกรรมเหมือนกัน) อืม...จริงๆเห็นมันเป็นหนึ่งในโปรเจ๊คท์ของแป๊กของดิสนี่ย์ในปีนี้ (ซึ่งดิสนี่ย์ก็คงเสียดายแต่ก็ไม่น่าจะอะไรเท่าไหร่ในปีนี้ เพราะแม้จะหลุดหนังแป๊กมาจำนวนหนึ่งเหมือนกัน แต่หนังที่ 'ถล่ม' ของดิสนี่ย์ก็มีหลายหัวเหมือนกันนะปีนี้) ก็เลยหวาดๆอยู่นิกหน่อย เพราะภาคแรกแม้จะดูสนุกดีพอเพลินๆ เนื้อเรื่องไม่อะไรมาก สนุกกะวิชชวลกะอะไรแบบ แอนน์ แฮทธาเวย์ แสดงเป็นราชินีขาวให้ไฮเปอร์นิดๆเพี้ยนหน่อยๆอะไรงี้มากกว่า แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรนักเหมือนกัน แล้วทำไมไปดูภาคนี้หว่า?... อืม?...

ก็อาจเพราะแม้ใช่อยากจะเห็นภาคต่ออะไร แต่ในตัวอย่างพอเขาเลือกจะเล่าเรื่องต่อโดยเอาเรื่องของ 'เวลา' มาเล่น เราก็เกิดรู้สึกว่า เออ ก็น่าสนใจดี ดีไซน์อะไรก็ไม่เลว และอยากดู ซาซา บารอน โคเฮน เล่นเป็นเจ้าหมอ เวลา นี่ด้วย

เอาจริงๆ ก็สนุกดีนะ อาจเหมือนหลายๆเรื่องที่แม้แรกพบเราจะไม่ประทับใจอะไรเพราะเอาไปเทียบโน่นนี่ไม่ได้ดังใจอะไรก็ว่าไป แต่พอเวลาผ่านไป (ไหนขึ้นสร้อย เวลาไม่ช่วยอัลไล?!!...) เราก็ดันแบบก็รับได้นะ เฉยๆ ก็โอเค ประมาณว่าก็พอรู้แล้วว่ามันมาอีท่าไหน เลยไม่ได้คาดหวังอะไรใหญ่โต พอเป็นแบบนี้บางทีไอที่ไปดูเพราะไม่ได้คาดหวังอะไรไว้เยอะๆดันดูสนุกเฉยเลย (เป็นเคสของ Jurassic Park III ที่หลายคนอาจจะยี้ แต่พอดู The Lost World แล้วไม่ถูกใจนัก ภาคนี้กะไปดูแบบนั่งเซ็งไปก่อนเต็มที่ (ตกลงนี่มาดูเพราะครูสั่งการบ้านเรอะ??) ดันดูสนุกเฉยเลย สนุกกว่า LW ซะอีก) อันนี้คือเป็นเรื่องของการคาดหวัง การเปรียบเทียบ มากกว่าเรื่องของเวลาตรงๆนะ (อะแฮ่ม ยังจะแถ)

ไอเดียเรื่องพ่อคุณ 'เวลา' นี่ผ่านนะ สนุกดีเหมือนกัน และก็ชอบที่ ซาซา บารอน โคเฮน แสดงด้วย ดีไซน์อะไรอาจจะออกมาครึ่งๆเพี้ยนๆมากกว่า แต่เราโอเคกะตัวละครตัวนี้ แม้จะรู้สึกว่าการโยงเข้าเรื่องเวลานี่ออกจะดูเหมือนเล็กไปนิด แต่ก็ดูใหญ่โตเกินตัวชอบกลในเวลาเดียวกัน ก็ตาม และก็รู้สึกว่าอลิซทำเรื่องยุ่งมากไปหน่อย แต่พอคิดๆไปมันก็อยู่ในแมนเนอร์แบบหนังแฟนตาซีประมาณนี้อยู่เหมือนกัน ดูๆไปก็เลยไม่ได้อะไรนัก

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] OUR KIND OF TRAITOR แผนซ้อนอาชญากรเหนือโลก : บัญญัติการเป็นทุรยศ


แบบสั้นๆ
หนังสไตล์รหัสคดี จากนิยายของ จอห์น เลอคาร์ ที่มีหลายเรื่องเคยถูกดัดแปลงเป็นหนังหรือซีรี่ส์มาแล้ว สไตล์ของหนังและเรื่องราวอาจจะเน้นไปที่ เนื้อเรื่อง มากกว่าความตูมตาม และในช่วงเริ่มแม้จะได้นักแสดงระดับหัวแถวอย่าง ยวน แม็กเกรเกอร์ และ นาโอมิ แฮร์ริส ก็แปลกที่รู้สึกว่าไม่ค่อยรู้สึกว่าทั้งคู่เป็นอย่างที่ตัวละครเป็น ครู กับ ทนาย มากเท่าไหร่? แต่ สเตนเลน สการ์การ์ด ได้บทที่เข้ากับบุคลิกของเขาอีกครั้งซึ่งก็แสดงเป็นสมาชิกกลุ่มมาเฟียที่ว่องไวไม่อยู่นิ่งได้อย่างน่าสนุก เหมาะสมดี

แม้หนังเรื่องนี้อาจไม่ได้มีบรรยากาศโดดเด่น และตัวละครที่มีการแสดงและการควบคุมบรรยากาศได้เท่ขาดใจ อย่าง จอร์จ สไมลี่ย์ ของ แกรี่ โอลด์แมน ใน Tinker Tailor Soldier Spy ที่เข้ามาฉายในบ้านเราหลายปีก่อน ชนิดที่ขนาดดูหนังแล้วเรื่องซับซ้อนซ่อนเงื่อนปะติดปะต่อเรื่องราวยากมากจนหลับ (จริง...) ซึ่งบางคนก็ว่าเพราะซับฯด้วยที่แปลมาสับสน แต่เราก็ยังคิดว่า สไมลี่ย์ โคดเท่ได้หน้าตาเฉย (เรียกว่า คาแรคเตอร์กินขาดหนังทั้งเรื่อง... อย่างน้อยก็สำหรับผม เพราะ...หลับ ตอนนี้ยังไม่ได้หามาดูซ้ำเลย... - - ได้ชิงออสการ์เลยนะขอบอก - บทภาพยนตร์ดัดแปลงก็ได้ชิงฮะ (อีกอันที่ชิงคือดนตรีประกอบ)) แต่เมื่อผ่านช่วงแรกของหนังที่ชวนระทึก ก่อนบรรยากาศจะผ่อนและเนิบนาบลงไปสู่กลุ่มตัวละครเดินเรื่องที่กำลังพยายามจัดการปัญหาของพวกเขา เมื่อเรื่องราวย้อมเข้าสู่เรื่องของแผนการที่คัดง้างกันระหว่างจุดประสงค์และความต้องการของตัวละครหลายกลุ่มแล้ว เรื่องราวก็เข้มข้นและน่าสนใจขึ้น และการแสดงของนักแสดงก็แบกรับและสวมไปกับเรื่องราวได้ดี ไปจนตอนจบที่ชวนสะท้อนใจ และชอบการคุมบรรยากาศในหลายฉากของหนังช่วงนี้ทีเดียว

เรื่องราวยังแสดงให้ถึง 'การเป็นส่วนหนึ่ง' ของอะไรบางอย่าง เช่น พันธสัญญาระหว่างคน หรือระหว่างรัฐ หรือระหว่างกลุ่ม ระหว่างชาติ ได้อย่างน่าสนใจตามชื่อเรื่อง ว่า 'การหักหลัง' นั้นมองได้จากมุมใดหรือจากอะไร อะไรเป็นเหตุซึ่งจะนำไปสู่การเป็น หรือถูกตราหนาว่า คนทรยศ ได้บ้าง โดยเฉพาะในการใช้ชีวิตในโลกซึ่งมีเส้นแบ่งสถานะหลายอย่างหลายชั้น พันธสัญญาอะไรที่จะยึดโยงเราไว้กับสถานะนั้นบ้าง? และมันจะถูกทำลายภายใต้เงื่อนไขหรือสถานการณ์แวดล้อมแบบไหน? แม้ไม่ได้ถ่ายทอดมาลึกหรือเด่นชนิดแทงใจ แต่เรื่องราวส่วนนี้ก็ยังนับว่าน่าสนใจอยู่ดี

ด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ ในแบบของ จอห์น เลอคาร์ ที่ถูกถายทอดมา ยังคงทำให้หนังมีความเข้มข้นผสมโดยเฉพาะในช่วงที่เรื่องเดินเครื่องแรงขึ้น แม้ไม่ได้มีความตูมตามเป็นส่วนประกอบ การแสดงมีดีพอจะสวมกับเนื้อเรื่อง และความกดดันของหนัง ไปจนตอนจบ ซึ่งเป็นตอนจบที่น่าสะท้อนใจทีเดียว... แม้ไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ หรือเป็นหนังที่โดดเด่นมาก แต่ภาพรวมของหนัง เป็นหนังในแนวทางของรหัสคดี ที่มีปมให้ติดตามลุ้น ได้อย่างสนุกอยู่ในขั้นน่าพอใจ 7.7 คะแนน แฟนๆหนังแนวนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าจะดูกันได้อย่างน่าพอใจครับ


แบบยาวๆ

[ภาพยนตร์] THE HANDMAIDEN ล้วง เล่ห์ ลวง รัก : ตุ๊กตาใจ


แบบสั้นๆ
หนังเกาหลีนั้นความจริงแล้วก็น่าจะสร้างชื่อมาจากรสชาติและลีลาเฉพาะตัว ซึ่งหลายครั้งก็ขึ้นกับรสมือ(การกำกับ)ของผู้กำกับเป็นสำคัญด้วยอย่างนึง หนังเกาหลีหลายเรื่องจึงโดดเด่นขึ้นมาด้วยความ'ถึงใจ' (และอาจจะ'ใจถึง') ทั้งในเรื่องของ บรรยากาศ โปรดักชั่น ความโหด หรือจะความอีโรติกก็ตาม ฯลฯ

หลายครั้งเรื่องเหล่านี้ก็เหมือนเป็นการขุดลึกเข้าไปในความดำมือของใจมนุษย์จนทำให้เรื่องราวที่ถูกบอกเล่ามีความเข้มข้นทั้งในเรื่องของการเล่าเรื่อง บรรยากาศ และความรู้สึก ที่ทำให้หนังเกาหลีหลายเรื่องจากผู้กำกับหลายท่านมีรสชาติเฉพาะตัวอย่างยากจะหาตัวเทียบ กระทั่งหนังหลายเรื่องที่นำเอาหนังเหล่านี้ไปรีเมคก็ไม่สามารถเก็บรสชาติ บิดผัน หรือปรุงรสชาติเหล่านี้ใหม่ จะฟิวชั่น ปรุงซ้ำสูตรเดิมใส่เครื่องใหม่ ปรุงใหม่ หรืออะไรก็ตามทีให้มันมีรสชาติน่าสนใจสำหรับผู้ชมได้เทียบเท่าต้นฉบับ

แล้วนี่จะยังไม่เข้าเรื่องตัวหนัง The Handmaiden หรืออย่างไร? ข้างบนก็เขียนแปะไว้ไงว่าพูดสั้นๆก่อน...

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์, สารคดี] THE LOVERS & THE DESPOT ท่านผู้นำ & คนทำหนัง : หลงใหล หลงไป ในมายา (กับท่านผู้นำ)


แบบสั้นๆ
 สารคดีของเรื่องราวประหลาดอีกเรื่องนึงที่ดูราวกับพลอตหนัง เป็นเรื่องของผู้กำกับชื่อดังชาวเกาหลีใต้ที่ถูก 'พาตัว' ไปโดยเกาหลีเหนือ เพราะท่านผู้นำเกาหลีเหนือต้องการนักทำหนังที่มีวิสัยทัศน์ เพื่อสร้างหนังเกาหลีเหนือให้ทัดเทียมและเหนือกว่าหนังเกาหลีใต้ ทั้งให้ทัดเทียมหนังระดับสากล!

แค่พลอตก็ขนาดนี้แล้ว สำหรับคนสนใจเรื่องราวแปลกประหลาด รู้สึกว่าดินแดนเกาหลีเหนือลึกลับ สนใจเรื่องราวน่าแปลกในวงการหนังภาพยนตร์ เรื่องราวราวหนังสายลับนี้ ถือว่า 'น่าดู' 'น่าสนใจ' และอาจจะ 'น่าทึ่ง' อย่างลึกลับทีเดียว ลองมาติดตามความหลงใหลใน 'โลกมายา' ที่นำพาให้ได้พานพบกันใน 'ดินแดนมายา' ในสารคดีเรื่องนี้กัน  8.3 คะแนนจากผมเอง

นำเข้ามาฉายโดย Documentary Club อีกเช่นเคย ในโรงภาพยนตร์เครือ SF 'จำนวนหนึ่ง'


แบบยาวๆ

[ภาพยนตร์] TRAIN TO BUSAN ด่วนนรกซอมบี้คลั่ง : เจอซอมบี้คลั่งพันธุ์เกาหลี!!


เพิ่งเจอซอมบี้ชิหายวายป่วงพันธุ์ญี่ปุ่นไป ใน I Am A Hero (ไปหาอ่านมังงะมาแล้ว ไว้จะกลับไปเขียนเพิ่มละกัน...นะ...) คราวนี้เจอซอมบี้เกาหลีบ้างครับ (จริงๆก็กะจะนึกถึงตั้งแต่เขียนถึงซอมบี้ญี่ปุ่นเรื่องก่อนแล้ว แต่...ไม่ได้เขียนซะทีไง...)


แบบสั้นๆ
นี่เป็นหนังซอมบี้ดราม่าแบบเกาหลี ที่ตัวละครในเรื่องอาจจะมีบางคนบางช่วงที่เท่เกินธรรมดาในสไตล์เกาหลีไปบ้าง และดราม่าบางช่วงบางตอนก็อาจจะดูเขียนมาเพื่อให้ดราม่าแบบรู้สึกได้ไปซักหน่อย แต่ดราม่าและตัวละครส่วนใหญ่ก็เป็นธรรมชาติมาก (บางช่วงก็เท่แบบธรรมชาติ บางช่วงก็ตลกหน้าตาเฉยอย่างเป็นธรรมชาติด้วย - แม้โมเม้นต์นั้นจะไม่เยอะเท่าความขวัญผวาหรือกดดันก็เถอะ) ให้เรารู้สึกไปกับตัวละครและเนื้อเรื่อง การกระจายความสำคัญและการเปิดตัวละครทำได้ดี แบบที่หนังฮอลลีวู้ดหลายเรื่องสู้ไม่ได้ เราจึงลุ้นระทึก เวทนา เอาใจช่วย และหวาดผวาไปกับการเดินทางของเหล่าตัวละครในพื้นที่จำกัดอย่าง เช่น รถไฟ ซึ่งยิ่งเพิ่มความระทึกให้กับชะตากรรมของเหล่าตัวละคร แม้อาจจะมีบางรายะละเอียดที่รู้สึกว่าจงใจเกินไปบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่ของหนังแล้วหนังไม่ได้ทำให้รู้สึกแบบนั้นและในตอบจบหนังก็ยังคงสะเทือนใจ...

 ในด้านของหนังซอมบี้ คิดว่าหนังยังอยู่ในรูปรอยของประเด็นหนังซอมบี้ ด้านความ 'คลั่ง' แม้ซอมบี้ในเรื่องจะไม่ได้มีรูปลักษณ์หรือรูปแบบที่พิสดาร แต่หลายๆเหตุการณ์ก็ยัง 'คลั่ง' ในระดับขวัญผวา โดยเฉพาะเมื่อ ฝูงซอมบี้ ไลล่า แถมหนังยังมีเอ็ฟเฟ็คท์จัดเต็มที่ดูสมจริงและวินาศไม่เบาเอาการ นี่จึงเป็นหนังดราม่าซอมบี้ที่มีรสชาติเฉพาะตัวของเกาหลี ที่การเกิดในพื้นที่เฉพาะยิ่งเพิ่มความระทึกให้หนัง ประเด็นดราม่าก็ทำได้ดี รสชาติในเรื่องนี้เป็นดราม่าที่ทำได้ถึงแบบเทรดดิชั่นชัดกว่า I Am A Hero ซึ่งมีองค์ประกอบแปลกๆเฉพาะตัวเสริมเข้ามามากกว่า มีความสมจริงและกดดัน (ทั้งจากเหตุการณ์ ซอมบี้ และความชิหาย) (และเนื่องจาก I Am A Hero สร้างจากมังงะ ที่ยาวกว่าเรื่องราวในหนัง มันจึงยังดูมีปมที่ยังไม่ถูกสะสางอยู่ด้วยมากกว่า แม้ว่าจะถือว่าจบในตัวแบบนี้ก็ได้เหมือนกันก็ตาม) แม้ว่าในด้านความคลั่งและรูปลักษณ์ของซอมบี้ ผมจะให้คะแนน I Am A Hero มากกว่าก็ตาม คือถึงเรื่องนี้จะให้ความรู้สึกชิหายแบบนึงเหมือนกัน แต่ในเรื่องนั้นมันมีความชิหายเฉพาะตัวเข้ามาด้วย เพราะงั้น... ขอให้คะแนนเท่ากันที่ 8.1 คะแนนละกันครับ (แม้ว่าจะหักคะแนนความชิหายจนจิตใจอันอ่อนไหวเกือบจะรับไม่ได้ของ I Am A Hero ไปนิดหน่อยก็ตาม - นี่ก็ยังจะไปดูอีกนะ... จิตใจอ่อนไหวประสาอะไรเนี่ย...)

เอาเป็นว่ายังคงแนะนำสำหรับแฟนหนังซอมบี้มั่กๆ ถือเป็นหนังคุณภาพ ดูซอมบี้ญี่ปุ่นมาแล้วก็มาดูซอมบี้เกาหลีบ้างปะไร (หรือกลับกันดูนี่แล้วก็ไปลองหาญี่ปุ่นมาดู) หรือแฟนหนังดราม่าเกาหลี ลองไปดูดราม่าแบบเติมซอมบี้เข้าไปด้วย ก็อาจจะน่าสนใจไม่หยอกนะ...



แบบยาวๆ

[ภาพยนตร์, อนิเม] THE SECRET LIFE OF PETS เรื่องลับ แก๊งขนฟู : แก๊ง(สรรพ)สัตว์ผจญนิวยอร์ค



แบบสั้นๆ
อีกหนึ่งอนิเมจาก Illumination ภายใต้ค่าย Universal ที่มีเจ้าตัวเหลืองพูดไรไม่รู้เป็นตัวชูโรง ซึ่งใครเป็นแฟนเจ้าตัวเหลืองก็มีอนิมเสั้นฉายแปะหน้าอนิเมเรื่องนี้ด้วย แต่จะมีแค่เจ้าตัวเหลืองอย่างเดียวก็ใช่ที่คราวนี้เขาจึงขอส่งอนิเมเรื่องอื่นเข้าประกวดบ้าง (ซึ่งยังไม่หมดแค่นี้ด้วยนะในปีนี้ Hint ก็มีให้เห็นกันในเรื่องนี้ล่วย)

เรื่องราวน่าจะเรียกความสนใจได้จากหลายๆท่านที่ชมชอบบรรดาสัตว์เลี้ยงทั้งหลายตั้งแต่ในตัวอย่างว่า เจ้าตัวแสบรึเจ้าหนูน่าเอ็นดูทั้งหลายนี่จริงๆพอลับสายตาเจ้านายไปแล้วน่ะ มันประพฤติตัวอย่างไรกันบ้าง? คือใครชอบก็คงเตรียมตัวดูกันตั้งแต่เห็นตัวอย่างแล้ว

ซึ่งใครดูตัวอย่างแล้วชอบก็ไปดูเถอะ เพราะมันก็ให้อารมณ์ตามตัวอย่างจริงๆ หนังก็เป็นสไตล์เล่าเรื่องเบื้องหลังของชีวิตเหล่าตัวละครที่คอนเนคกับสังคมมนุษย์แต่เราอาจไม่รู้เรื่องของมัน คล้ายๆ Toy Story หรือ Finding Nemo แม้จะคล้าย Toy Story ในเรื่องของความผูกพันระหว่างเจ้าของด้วย แต่ก็ไม่ต้องเทียบหรอก อนิเมเรื่องนี้ก็มีความสนุกเรื่องราวและรสชาติเฉพาะตัวใช้ได้ทีเดียว ซึ่งแม้โครงอาจจะไม่เหนือคาด(ดูตัวอย่างเอาเลย) แต่การผจญภัยและคาแรคเตอร์ของแต่ละตัวก็ได้ใจและสนุกสนานกันดีทีเดียวเจียว แม้ว่าเหตุการณ์ความลึกอะไรต่างๆอาจจะมีส่วนที่ดูง่ายไปบ้างตามสไตล์การ์ตูน แต่มันก็สามารถทดแทนได้ด้วยคาแรคเตอร์และความกวนของแต่ละตัวแทน คือพอมาคิดจริงๆโครงมันก็ไม่ได้ซับซ้อนนี่หว่า? แถมความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครก็ไม่ใช่จะมีพัฒนามากมายแฮะ? (คือไอที่ต่อกันติดก็ง่ายกันเหลือเกิน) แต่ เฮ้ย คาแรคเตอร์แต่ละตัวโดยเฉพาะที่แสบๆมันชัดดี แถมแม้จะยิงมุกถี่ (ซึ่งมักมีมุกห่ามๆปนอยู่กว่าสไตล์ Pixar อยู่แล้ว - เป็นแทบทุกค่าย - ขนาดแฮงค์ตัวละครใหม่ มาเล่นใหญ่ใน Finding Dory เรายังรู้สึกว่ามันเว่อวังมากแต่ก็ไม่ห่ามอยู่ดี) แต่มันก็ต่อเนื่องลื่นไหลและเข้าเป้า คือสนุกอ่ะ แค่คาแรคเตอร์ กับการผจญภัยของตัวแสบๆพวกนี้ก็สนุกแล้ว เช่น เจ้าแมวตัวแสบ ที่แม้บทไม่ไรมาก แต่คาแรคเตอร์กะนิสัยเจ๊นี่แสบดี รึไอตัวขนฟูหูยาวที่มาดมาตรงข้ามกะคาแรคเตอร์ได้น่าเตะมาก รึคุณเป็ดขโมยซีน และทั้งอนิเมชั่นของตัวละครรึจะเสียงพากย์(ผมดู OST นะ)ก็น่ารักน่าชัง โดยเฉพาะกิดเจ็ตนี่ชอบมาก (ชอบตั้งแต่ตัวอย่างแล้วนะเนี่ย)

เพราะงั้นใครชอบแนวนี้ บรรดาสารพัดสัตว์ไรงี้ ก็ไปดูเถอะ เป็นอนิเมชั่นที่สนุกดี ในบ้านเกิดอเมกาก็เป็นหนังฮิตมากกว่าที่คาด(มัง?)ไปแล้ว

ความจริงหนังก็สอดแทรกประเด็นเรื่องของ สัตว์(ที่มนุษย์เอามา)เลี้ยง ซึ่งก็อาจเป็นอะไรก็แล้วแต่ตามแต่ละคน จะเป็นเพื่อนคลายเหงา เหมือนลูกตัวน้อย งานอดิเรกแก้เบื่อ หรือแสดงสถานะ ฯลฯ ความจริงในเรื่องนี้เราก็ไม่ได้จะเห็นโลกของคนเลี้ยงมากเท่าไหร่ แต่ก็มีทั้งเจ้าหมาเฒ่า (ในตัวอย่าง) ที่แม้จะแก่และมีปัญหาสุขภาพแต่เจ้าของก็ยังเลี้ยงดูมีเครื่องอำนวยความสะดวกมาช่วย หรือก็มีสัตว์หลาย ('หลาย'จริงๆ) ตัว ที่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ถูกทอดทิ้งไปและ ในเรื่องนี้ก็มี 'หลาย' สัตว์ที่เราบางคนก็คงยังสงสัยว่า เขาจะเอามาเลี้ยงกันทำไม๊? นี่เลี้ยงแล้วได้เอาแก้มถูกันทุกวันรึเปล่า? อะไรแบบนี้ ซึ่งก็อย่างที่ว่าทำให้มันเป็นการผจญภัยที่อลังการพอดู ราว อินเดียน่า โจนส์ แบบโลกสรรพสัตว์ทีเดียว แต่เรื่องก็ไม่ได้ดูจะทำให้รู้สึกหรือตั้งคำถามตรงจุดนี้มากเท่าไหร่เมื่อดูไปจนจบ เพราะคงทำให้เราได้รู้สึกถึงความสนุกสนานมากกว่า เผลอๆจะมีคนสนใจอยากเลี้ยงโน้นอยากเลี้ยงนี่มากกว่าด้วยซ้ำเพราะมันน่ารักกันจริงๆ (ซึ่งอันนี้ก็คงโทษกันยาก เพราะเรื่องที่ครองใจผู้ชมก็คงให้ผลในลักษณะนี้ เช่น Finding Nemo นี่ก็ทำให้คนบ้าเลี้ยงปลาการ์ตูนเหมือนกัน อะไรแบบนั้นไปซะงั้น... - ดูขัดประเด็นในหนังชอบก๊ล...) ต่างไปจากหนังอย่าง White God ที่ดูจะพอยท์ตรงประเด็นนั้นมากกว่า (แม้มันจะมีความเป็น 'หนัง' อยู่มากก็ตาม - แต่มันก็มีพาร์ทที่จริงจังกว่าด้วย)

อีกอย่างคือ มุมนิวยอร์คในอนิเมเรื่องนี้มันดู 'ใหญ่' และ 'ซับซ้อน' มาก ราวกับเป็นตัวละครสำคัญตัวนึง แม้จะโผล่มาไม่มาก แม้จะ 'สวย' มากในเวลาเดียวกัน และก็เป็นภาพที่รู้สึกดียามที่เหล่าเจ้าของมานั่งคู่กับเหล่าสัตว์เลี้ยงของตัวเองมองดูนิวยอร์ค แต่ในขณะเดียวกันมันก็ให้ความรู้สึกว่ามันเป็นพื้นที่และโลกใบเล็กๆท่ามกลางเมืองใหญ่ ที่ใหญ่โตและวุ่นวายซัึบซ้อน จนมีความรู้สึกอีกแบบปะปนมาด้วยอย่างบอกไม่ถูก... เป็นหน้าที่ของหนังหรือการ์ตูนหรอกหรือที่จะทำให้มันดูสุขสดใสและน่าสนุกสนานมากขึ้น?...

ถ้าไม่ไปไกลขนาดนั้น เอาแค่สนุกหรือเปล่า? สดใส สวย แสบ และสนุกครับ 7.8 คะแนน ไม่ได้ชอบมากกว่าสนูปี้ แต่...ก็สนุกอ่ะ ชอบกิดเจ็ท (พูดซ้ำอีกแล้ว) ทั้งมุกและฉากแอ็คชั่นนี่มากันเยอะ บางฉากนี่ระดับ Indiana Jones, JP: The Lost Word, Terminator : Genisys (ฮ่ะ อะไรนะ? ไม่ชอบเรอะ? เฮ้ย แต่เราว่ามันโอเคนะ สนุกดีออก... T T) รึ Rise of Planet of the Apes เลยทีเดียวนะ ไม่ได้โม้(จึ๋งนึง...)!

ส่วนตัวคิดว่าสนุกกว่าหนังเจ้าตัวเหลืองเป็นตัวนำนะ เพราะเรื่องนั้นแม้จะเปิดมาสนุกดี แต่ครึ่งค่อนหลังๆมันดันรู้สึกเฉื่อยลงซะงั้น แม้จะดูไม่ได้พลาดอะไรมากมายก็เถอะ (ส่วนนึงอาจเพราะตัวอย่างมันดันตัดเรียกความสนใจไปเยอะแล้วก็ได้ - เยอะไป - แต่ใครเป็นแฟนเจ้าตัวเหลืองแค่นั้นก็คงไม่บ่นกันหรอก...ยังไงก็มีเรื่องสั้นๆมาแปะหน้าเรื่องนี้นะอย่างที่บอก) อันนี้เราว่าสนุกดีตั้งแต่ต้นจนจบน่ะนะ แถม อนิเมค่ายนี้ของปีนี้ก็ยังมีมาอีกนะเออ... ซึ่งถ้ามันสนุกดีก็ทำมาเถอะ เพราะเจ้าตัวเหลืองที่ประสบความสำเร็จน่าอุ่นใจไปแล้ว ก็ลองไปทำอย่างอื่นบ้าง ออกมาน่าสนใจเราก็พร้อมไปพิสูจน์นะ (ถ้าโอกาสเหมาะ...) 



แบบยาวๆ

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] A HOLOGRAM FOR THE KING ผู้ชายหัวใจไม่หยุดฝัน : ไปแก้ปมชีวิต ณ ตะวันออกกลาง...


แบบสั้นๆ
หนังทีกำกับโดย ทอม ทีกเวอร์ และนำแสดงโดย ทอม แฮงค์ ที่สร้างจากนิยายชื่อเดียวกัน

ทอม ทีกเวอร์ สร้างชื่อมาจาก Run Lola Run หนังเฟี้ยวฟ้าวเอาการที่หลายคนชอบหลายคนก็ไม่ชอบ โครงหลักของเรื่องอาจไม่มีอะไร แต่แนวทางการเล่าของมัน (ซึ่งบางคนบอกทำให้หนังเหมือนวิดีโอเกม - วัฒนธรรมป๊อบ) ก็เป็นสิ่งที่ทำให้หนังสนุกดี พอดีว่าผมก็อยู่ฝ่ายชอบ

หลังจากนั้น ทอม ทีกเวอร์ ก็กำกับหนังอีกหลายเรื่อง ซึ่งหลายเรื่องก็โอเค บางเรื่องก็สนุกดี แต่ผมก็ไม่ได้ชอบเท่า Run Lola Run เพราะยังคิดว่าเรื่องนั้นสนุกกว่า เช่น Perfume นี่ก็ค่อนไปทางเฉยๆ ชอบฉบับนิยายต้นฉบับมากกว่า แต่บางเรื่องก็ยังไม่ได้ดู เช่น Heaven แต่ก็เพิ่งรู้ว่า ทอม ทีกเวอร์ เป็นหนึ่งในผู้กำกับ Cloud Atlas ด้วย ทีแรกนึกว่าผู้กำกับมีแค่ พี่น้อง วาชอว์สกี้ ซะอีก ซึ่งจริงๆเรื่องนี้ก็ชอบเหมือนกันนะ สนุกดี แถม'เยอะ'ดี

ทีแรกกับเรื่องนี้รู้สึกเฉยๆว่าชื่อมันประหลาดๆ แต่เห็น ทอม แฮงค์ แสดง สร้างจากนิยายชื่อเดียวกัน (รู้สึกมีแปลไทยออกมาแล้ว) มี ทอม ทีกเวอร์ กำกับ ก็ไปดูซะหน่อย

หนังออกแนว dramedy (อีกแล้วแฮะ) ซึ่งเปิดเรื่องมาด้วยเทคนิคการเล่าเรื่องที่มีลูกเล่นพอควร ทั้งที่จริงๆเรื่องที่เล่ามันก็หนักนี่หว่า และ ทอม แฮงค์ ก็ยังน่าเครียดพอควร แต่มันก็เซตอารมณ์หนังช่วงเริ่มนี้ได้สนุกพอควร หลังจากนั้นหนังก็เล่าเรื่องของพนักงานขายจำเป็นที่ต้องไปปฏิบัติภารกิจในตะวันออกกลาง เพื่อขายเทคโนโลยีให้ราชาแห่งประเทศตะวันออกกลางให้ได้ ทั้งที่ชีวิตเขาก็ปั่นป่วนอยู่แล้ว... ยังไปเจอสถานการณ์ไม่คาดคิดพร้อมแท็กซี่ท้องถิ่นสุดกวนที่ไม่รู้ตั้งใจจะกวนจริงไม่จริงซะอีก...

เรื่องราวในช่วงต้นของหนังสนุกดีทีเดียว แม้ว่าพอดูไปซักพักพอรู้เรื่องของหนังพอควรแล้วเราก็รู้สึกว่าเรื่องธรรมดากว่าที่คิด เรื่องราวของหนังที่พาเอาพระเอกของเราล้มลุดคลุกคลานออกมาจากชีวิตที่เคยรู้จัก มาเผชิญกับปัญหาในประเทศห่างไกล ต่างวัฒนธรรมจนบางครั้งก็ยากจะเข้าใจ และปัญหาทั้งส่วนตัวส่วนงานที่ไม่รู้จะจัดการยังไง ได้มองชีวิตต่างไปจากมุมเดิม และพยายามมองหาว่าชีวิตตอนนี้จะยังไง ต่อจากนี้จะยังไง แม้จะธรรมดากว่าที่คิด แต่เรื่องก็มีเหตุการณ์และลูกเล่นสนุกๆให้เรื่องราวของหนังน่าสนใจ หนังมีเหตุการณ์และช่วงที่สนุกและน่าสนใจอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งก็ทำให้เราติดตามเพื่ออยากรู้เรื่องราวต่อไปได้ดีทีเดียว

มีสองสามอย่างที่ทำให้หนังไม่ได้กลายเป็นหนังเล็กๆรสชาติแปลกๆที่น่าจะชอบได้มากกว่านี้ในท้ายที่สุด แม้จะเริ่มได้สนุก และมีสีสัน หนังมีพลังน่าติดตามไปในช่วงครึ่งแรกค่อนข้างดีทีเดียว แต่เมื่อผ่านวิกฤติของตัวเอกในช่วงนึงไป และมุ่งเข้าสู่บทสรุปของหนัง รู้สึกว่าเหตุการณ์ที่ปูมาเพื่อเข้าสู่เหตุการณ์และการตัดสินใจสำคัญ มันไม่พอให้เราเชื่อ การพยายมเน้นย้ำในส่วนนี้ของหนังจึงเป็นเหมือนเหตุการณ์ที่เหตุและพยายามจะให้น่าประทับใจ แต่เราก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ซึ่งก็น่าเสียดายที่หนังลดระดับความน่าสนุกของหนังลง ตัวละครบางตัวก็เหมือนถูกใช้เพื่อ'งาน'เฉพาะแล้วก็หายไปเลย และหนังก็ไม่มีรายละเอียดมาหล่อเลี้ยงให้คนดู 'เชื่อ' ในส่วนสำคัญในช่วงท้ายของหนังได้ แม้นักแสดงจะพยายามแสดงให้มีความเป็นธรรมชาติ และใส่บุคลิกความสนุกไปตามบทแล้วก็ตาม กับอีกเรื่องที่ออกจะเหมือนส่วนตัวหน่อย และเป็นกรณีคล้ายๆ Demolition เลย คือ อืม...เอาน่ะ ผมเข้าใจว่าเฮียมีปัญหาชีวิต เรื่องก็หนักหนา แต่เอาจริงๆ ตอนเฮียเดินเข้าเต๊นท์ไป... ผมดันเห็นใจทีมติดตั้งมากกว่าว่ะ... ซะงั้น... (นี่ตรูไม่ใช่กลุ่มลูกค้าอีกแล้วเรอะ?! - มันก็ต้องเห็นใจทีมปฏิบัติการหัวอกเดียวกันมากกว่าป่าวหว่า? - ไม่แยกแยะเลย แย่จริง...)

หนังอาจมีช่วงเนือยบ้าง และไม่ได้เป็นหนังตั้งใจตื่นเต้นตกใจมาก หนังก็พยายามให้ข้อคิดน่าสนใจ และมีเรื่องราวที่สนุกดี ประเด็นด้านวัฒนธรรมที่ถูกใช้แม้จะมีรูปรอยแปลกน่าสนใจดี แต่แก่นของมันก็ไม่ไดู้แปลกมากและบางเรื่องของมันก็มีเรื่องราวรองรับน้อยไปซะหน่อย ยังเป็นอีกเรื่องที่เรื่องราวของประเทศมหาอำนาจใหม่ที่ส่งอิทธิพลด้านการผลิตทั่วโลกอย่างสำคัญเสริมเข้ามา และเป็นเรื่องราวที่ดูจริงอย่างประหลาด (ซึ่งจริงๆอันนี้มันก็จริงน่ะแหละ) ทำให้เรื่องของที่เป็นของอเมริกาย้ายไปเป็นของที่อื่นเอาง่ายๆ ซึ่งเรื่องราวนี้ก็ทำให้ประเด็นของมันใส่เข้ามาในเรื่องได้อย่างดูสมจริงและน่าสนใจไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้

เอาเป็นว่า... หนังก็เป็นหนังติดจะฟีลกู๊ดชื่อแปลก ที่ก็มีเรื่องราวและการเล่าที่มีกลิ่นแปลกแตกต่างให้ได้สัมผัส แม้จะสลักความรู้สึกลงในใจผู้ชมอย่างผมไม่ได้ แต่หนังก็ถือเป็นหนังดูสนุกใช้ได้ ชอบหนังฟีลกู๊ด ไม่หนักมาก พอมีข้อคิดติดใจ แบบมีองค์ประกอบแปลกๆหน่อย (แบบไม่ได้จะแปลกมากๆ) ก็หาดูได้ครับ คุณอาจจะชอบเรื่องนี้ก็ได้นะ 7.6 คะแนน ที่ได้เยอะกว่าหน่อยนึงเพราะแค่รู้สึกว่ามันไม่ดู 'เกินไป๊' เหมือน Demolition คืออันนี้ไม่เกิน แต่มันก็ดันขาดอะไรบางอย่างไปมากกว่าแฮะ...


ทำไม... คะแนนเท่าเรื่องที่แล้วเลยหว่า??... แถม... เป็นหนังท่ามกลางทะเลทรายอีกต่างหาก??!!!...
ตั้งใจป่ะเนี่ย?!

จะอะไรก็ช่างมันเฮอะ... จบนะ.


แบบยาวๆ

[ภาพยนตร์] QUEEN OF THE DESERT ตำนานรัก แผ่นดินร้อน : ชีวิตเบื้องหลังฉายา...



แบบสั้นๆ
สนใจไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะชื่อของ เวอร์เนอร์ เฮอร์ซ๊อก ผู้กำกับชาวเยอรมันครับ ความจริงหนังของผู้กำกับก็หลุดเข้ามาฉายในบ้านเราเรื่อยๆ และหลายเรื่องก็น่าจะไม่ใช่หนังดูยากอะไร แต่ก็ไม่เคยได้ดูซักที เท่าที่พอจำได้ก็มี Grizzly Man รึ Rescue Dawn จนเรื่องนี้ เห็นเป็นชื่อผู้กำกับ เวอร์เนอร์ เฮอร์ซ๊อก แถมมีดาราอย่าง นิโคล คิดแมน แสดงเป็นราชินีแห่งทะเลทราย, เจมส์ ฟรังโก รึจะ โรเบิร์ต แพตตินสัน แสดงเป็น ที.อี. ลอเรนซ์

โดยเฉพาะเป็นหนังในแนวทางหนังที่ส้รางจากเรื่องจริง เรื่องราวของ เกอร์ทรูด เบลล์ เธอเป็นทั้ง นักเขียน นักสำรวจ นักการเมือง นักโบราณคดี ผู้แหวกขนบของ 'อะไรที่ผู้หญิงจะทำได้' และเป็นนักภูมิศาสตร์ผู้สานสัมพันธ์กับชนเผ่าตะวันออกกลางจำนวนมากที่กระจัดกระจายใช้ชีวิตและเป็นแหล่งอำนาจอยู่ในทะเลทราย และเป็นผู้นำเอาเรื่องราวของพวกเขามาสู่การรับรู้ของตะวันตก อย่างประเทศอังกฤษ และทำให้เธอได้รับฉายาราชินีแห่งทะเลทราย

หลังจากเปิดตัว เกอร์ทรูด แล้ว และทำให้ผู้ชมได้รับรู้ถึงความ ขบถ และ ความแกร่ง ของเธอ เรื่องราวที่เหลือแม้จะพาผู้ชมไปผ่านการเดินทางของเธอในที่ต่างๆจนเป็นเหตุให้เธอได้ท่องไปและใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทราย เราจะได้เห็นว่าด้วยเสน่ห์ของเกอร์ทรูด ทั้งรูปโฉม และความแกร่ง ไม่ยอมใครง่ายๆ ทำให้เธอใช้ชีวิตผ่านทะเลทราย การรู้จักกับคนมากมาย ที่ยินดีให้ความเป็นมิตรและช่วยเหลือเธอ โดยเฉพาะเหล่าบุรุษหลายคนที่มีอิทธิพลกับชีวิตของเธอ รวมทั้งหลายบุรูษผู้ทรงอำนาจที่ทั้งชอบพอหรือไม่ชอบหน้าเธอ เธอรอดพ้นมาได้ด้วยทั้งไหวพริบ ความกล้า และการช่วยเหลือจากคนที่เธอผ่านพบมา

หนังต่างไปจากที่คาดพอสมควรเมื่อดูเหมือนว่าในขณะที่หนังดำเนินไป ขณะที่ความคาดหวังของผมอาจเป็นไปในลักษณะที่อยากสัมผัสกับ เกอร์ทรูด ในฐานะ หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ในงานด้านภูมิศาสตร์ของเธอ อย่างที่แสดงไว้ในชื่อเรื่อง เพื่อจะรู้จักการทำงานของเธอมากขึ้น รวมถึงรายละเอียดของสิ่งที่ทำให้เธอได้รับฉายานี้ หนังกลับพาเราไปสัมผัสกับเรื่องราวชีวิตของเธอโดยเรื่องราวของการเป็นนักภูมิศาสตร์ของเธอเป็นเพียงส่วนหนึ่งในฉากหลัง โดยเฉพาะกับชายหนุ่มหลายคนที่เธอพบพาน และชีวิตรักของเธอ

นิโคล คิดแมน สวยสง่า มีมาดเป็นผู้มีการศึกษาในตระกูลสูง และจะว่าไปแล้วก็นึกไปถึง เคท วินสเลต ในบทช่างเสื้อนางพญา ที่เธอต้องมาเข้าคู่กับหนุ่มๆนักแสดงวัยละอ่อนกว่า ซึ่งเธอก็แสดงบทบาทเหล่านั้นได้ดี (ชนิดที่บางทีก็ติดจะไปล้ำๆบทชาวบ้านเขาทีเดียว - แม้ว่ากรอบของเรื่องราวอาจไม่ทำให้การแสดงของเธอดู แซ่บ เท่า เคท วินสเลต ในบทช่างเสื้อฯก็ตาม - แม้ว่าก็ยังสงสัยอยู่ดีว่า เออ แล้วเอาดาราแบบว่า ตามวัยมาเล่นไม่ได้เลยหรือ? แต่ก็ต้องยอมรับว่า นิโคล ก็ทำได้ดี โดยเฉพาะในมาดสวยสง่า - แม้บางทีจะรู้สึกว่าเป็นความสวยสง่าที่อาจจะเกินไปนิดในบางความรู้สึกก็ตาม - แต่หนังทั่วไปก็เป็นอย่างนี้) แต่ดาราที่จับคู่กับเธอก็แสดงโดยมีมาดและบุคลิกเฉพาะตัวที่ชัดเจนดี และในหลายช่วงที่ถือเป็นการจับคู่ที่ดี ถือว่า เจมส์ ฟรังโก กับ เดเมี่ยน ลูอิส ทำได้ดีในช่วงสำคัญของเกอร์ทรูด

ความจริงแล้ว เมื่อไม่คิดถึงที่มาหรือความคาดหวังก่อนชม หนังเล่าเรื่องได้น่าติดตามดีทีเดียว และอดทำให้รู้สึกว่าความรู้สึกของหนังเป็นไปในทางติดจะเป็นหนังรักเมโลดราม่าไม่ได้ การเล่าในทำนองนี้แม้ไม่ได้ถึงขั้นยอดเยี่ยมแต่หนังก็เล่าเรื่องได้ลื่นไหล แม้ว่าในหลายสถานการณ์จะอดคิดไม่ได้ว่าแม้จะมีความกดดันแต่เหตุการณ์บางอย่างกลับดูคลี่คลายง่ายไปซะหน่อย ซึ่งในจุดนี้ไม่รู้ว่าเรื่องราวจริงๆเป็นอย่างไร? เกอร์ทรูดมีชีวิตที่โลดโผนซึ่งหนังก็ดูจะพยายามสื่อแสดงออกมาให้ครบถ้วนแม้จะดูเน้นที่ความสัมพันธ์พิเศษกับชายบางคนในชีวิตของเธอ หนังเล่าเรื่องได้ดีและน่าติดตามทีเดียวในทางที่หนังเลือกเล่านี้ แต่กราฟชีวิตและเหตุการณืที่ประดังเข้ามาซึ่งทำให้ชีวิตของเกอร์ทรูดผกผันนั้นก็ดูจะทำให้เส้นกราฟของการเล่าเรื่องขึ้นลงหลายครั้ง ซึ่งทำให้อารมณ์หนังเปลี่ยนไปมามากครั้งพอควร ขณะเดียวกันหลายครั้งหนังก็ดูจะอ่อนความกดดันไปอย่างที่ว่าในหลายจุด อารมณ์ของหนังทั้งเรื่องจึงมีจังหวะที่แปลก คือมีอารมณ์ขึ้น-ลงหลายครั้งในขณะที่อารมณ์เหล่านั้นก็ไปไม่ถึงกับสุด และในระหว่างนั้นเรื่องราวที่ดำเนินต่อก็อาจพาความรู้สึกในรู้สึกว่าเรื่องเนิบนาบไปพอควร

ซึ่งก็เป็นชอยส์ที่ว่าไปก็แปลกกับการเลือกเล่าเรื่องของ ราชินีแห่งทะเลทราย ในลักษณะนี้?

อย่างไรก็ดีผมอาจจะชิงด่วนตีความเนื้อหาและบรรยากาศที่จะได้จากหนังจากชื่อเรื่องผิดไปซะก็ได้ ในเมื่อชีวิตของผู้หญิงอย่างเกอร์ทรูดไม่น่าจะเป็นชีวิตที่ง่ายดาย ความเก่งกาจและความผิดหวังเป็นตัวผสมรวมกันผลักดันให้เธอออกสู่ทะเลทราย เธอทำหน้าที่อย่างแข็งขัน อดทน หลงใหล แต่ขณะเดียวกันแม้จะ 'แกร่ง' ก็ใช้ว่าเธอจะไม่มีความเปราะบาง ชีวิตของเธอแม้จะสูงศักดิ์และได้ทำสิ่งที่มีชื่อระบือ แต่สิ่งที่จะช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตท่ามกลางทะเลทรายนั้นจะต้องการอะไร? หรือแม้เมื่อในวันวานที่ผ่านมาเธออาจไม่ต้องการหยาดน้ำชะโลมใจ จะเมื่อใดที่ลมทะเลทรายพัดให้ปากคอแห้งผากและต้องการหยาดน้ำมาเติมความสดชื่นให้แก่ชีวิต? แม้ว่าถ้าอ่อนแออาจต้องเพลี้ยงพล้ำถูกทำร้ายก็ตาม...

แม้ว่าหนังจะผิดไปจากที่คาด และอาจไม่ทำให้รู้จัก เกอร์ทรูด ในมุมที่อยากรู้จัก จึงรู้สึกเหมือนรู้จัก    เกอร์ทรูด แค่เพียงในมุมจำกัด แต่หนังก็เล่าได้ดีพอควรในทางที่เลือกเล่า หนังจึงให้ความรู้สึกเหมือนหนังรัก ติดกลิ่นเมโลดราม่า ที่มีการแสดงที่แข็งแรงตามแนวทางนี้ บางทีความสวยสง่าของ นิโคล คิดแมน อาจเป็นการจงใจที่หนังเลือกก็ได้ ใครที่ชอบหนังในแนวทางนี้และอาจไม่ชอบหนังที่มีบรรยากาศหนักๆหรือรายละเอียดมากในแนวทางหนังประวัติศาตร์ น่าจะดูหนังเรื่องนี้ได้สนุกเหมือนกัน นอกจากนั้น หนังมีภาพในทะเลทรายที่สวยมากทีเดียว 7.6 คะแนน



แบบยาวๆ

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] THE CONJURING 2 คนเรียกผี 2 : สามี-ภรรยา ขอกลับมาเผชิญผีร้าย



แบบสั้นๆ 
จากภาคแรกที่ประสบความสำเร็จเกินคาด ด้วยบรรยากาศและจังหวะหนังที่กำกับเพื่อเลี้ยงความหวาดหวั่นและกระตุกขวัญผู้ชมได้ดี หนังหลอนหลอกยี่ห้อ เจมส์ วาน ยังคงติดตามเรื่องราวของสองสามีภรรยานักล่าผี ที่คราวนี้ต้องไปข้องเกี่ยวกับ 'บ้าน' ที่มีสิ่งลึกลับคุกคาม และดูเหมือนว่าสาวน้อยคนหนึ่งในบ้านจะเป็นเป้นประสงค์ของสิ่งลึกลีบที่ดูชั่วร้ายนี้มากเป็นพิเศษ นอกจากนั้นภัยดำมือดังกล่าวยังไม่เพียงคุกคามครอบครัวนี้เท่านั้น แต่ดูสิ่งลึกลับที่ว่าจะส่งความอาฆาตมาที่สามี-ภรรยานักปราบผีนี้ด้วย  อะไรที่อยู้เบื้องหลังสิ่งชั่วร้ายในความมือนี้ ภาคต่อยังมีลูกล่อลูกชนและบรรยากาศที่จะมาสะดุ้งประสาทผู้ชมได้ไม่แพ้ภาคแรกเลย 8.3 คะแนน สำหรับคอหนังผี เขย่าขวัญสั่นประสาท


แบบยาวๆ

ความจริงหนังผีเรื่องนี้ก็มีประเด็นพ้องกับหลายๆเรื่อง แต่ก็มีรสชาติเฉพาะตัวและจังหวะกระตุกขวัญที่แม่นยำดีในสไตล์ เจมส์ วาน ก็มีเรื่องน่าพูดอยู่นะ...

[ภาพยนตร์] NOW YOU SEE ME 2 อาชญากลปล้นโลก 2 : เอา มายา กล มาปล้นอีกซักทีดิ๊





แบบสั้นๆ
ภาคต่อหนังฮิต(เซอไพรส์)สไตล์รวมดาว ขนนักแสดงมาเป็นทีม หนังรวมทีมอาชญากลที่ใครชอบสไตล์เป็นทีมเยอะๆ มีการวางแผนซ้อนกลอะไรแบบนี้ ก็ยังถือว่าเป็นหนังบันเทิงที่ดูสนุกนะครับ สมาชิกหญิงที่มาใหม่ในทีมก็มีเคมีเข้ากับทีมและสร้างสีสันได้ดี ใครชอบภาคแรกก็ยังน่าจะดูภาคนี้ได้สนุกนะครับ แม้ประเด็นอาจดูไม่ใหญ่เท่าภาคแรก และอะไรๆก็ดูไม่เยอะเท่าภาคแรก (และถ้าเทียบกับภาคแรกมันอาจจะดูมีลูกกั๊ก ที่ไม่ค่อยจะบอกจะเคลียร์บ้าง กว่าภาคแรก - ถึงภาคแรกก็ใช่ว่าจะเคลียร์ก็เถอะ) แต่ปฏิบัติการทีมอัพ ของอาชญากลชุดนี้ยังดูได้สนุกบันเทิงดี แถมฉากปฏิบัติการยาวๆที่มีก็ดูโม้สนุกอยู่นะ ส่วนตัวก็คิดว่าสนุกพอๆกะภาคแรกน่ะแหละ 7.6 คะแนน


แบบยาวๆ

ไว้เผื่อว่างๆ จะมาเขียนล่ะกัน... 

[ภาพยนตร์] DEMOLITION : ประกอบชีวิต



แบบสั้นๆ
หนังจากผู้กำกับ Jean-Marc Vallée ผู้กำกับหนังอย่าง Dallas Buyers Club (ซึ่งเป็นหนังชิงออสการ์ปีนั้นที่น่าจะชอบที่สุดในบรรดาหนังเข้าชิง) และหนังอย่าง Wild ที่มี รีส วิทเทอร์สปูน แสดงนำ ข่าวว่าเป็นหนึ่งในบทหนังน่าสร้างอะไรทำนองนั้นที่วนเวียนในฮอลลีวู้ดมาซักพัก เมื่อมาอยู่ในมือของผู้กำกับหนังดราม่าระดับรางวัล จึงดูน่าคาดหวังทีเดียว แถมยังมีนักแสดงทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นละอ่อน(กว่า) อย่าง เจค จิลเลนฮาน (ที่หลังๆก็เล่นในหนังมันๆหลายเรื่อง) นาโอมิ วัตส์ หรือ คริส คูเปอร์

หนังน่าสนใจทีเดียว เมื่อมันพูดถึงชีวิตของคนเมือง ที่อาจไม่ได้คิดอะไรนอกจากการมองไปที่ทางชีวิตซึ่งดูจะชัดเจน งาน เงิน บ้าน ครอบครัว พาหนะ สถานะ ฯลฯ และอะไรก็ได้ที่พยายามจะรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ ซึ่งถ้ารักษาได้ ว่าไปชีวิตแบบนี้ก็ดูจะ 'เพอเฟ็คท์' ดีไม่น้อย? แต่ว่าชีวิตนั้นประกอบด้วยอะไรบ้างล่ะถึงจะเรียกว่าชีวิต? สำหรับชายหนุ่มในเรื่องเมื่อมีเหตุการณ์ร้ายแรงเข้ามากระทบชีวิตจังใหญ่ ดูเหมือนมันทำให้เขาต้องกลับไปตั้งคำถามกับเรื่องที่ว่า และดูเหมือนเขาจะมีบางคำถามที่ 'สงสัย' เกี่ยวกับตัวเขา แต่ภายใต้ความมึนงง เขาควรจะเริ่มจากตรงไหน? และตัวเขาที่มาจนถึงจุดนี้ จริงๆแล้วเขาควรจะพอใจ และแน่ใจ ในสิ่งเหล่านี้จริงๆหรือ?...

เรื่องราวของหนังดู 'ใหญ่' และมีเรื่องราวที่น่าสนใจดี โดยเฉพาะเมื่อมันย้อนมาตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องราวการดำเนินชีวิต และการให้ค่ากับสิ่งต่างๆรอบๆตัวในระหว่างชีวิต หนังมีเรื่องราวที่ดึงเราเข้าสู่เนื้อหาของมันได้อย่างชวนช๊อค และเมื่อเรื่องราวเริ่มขึ้น ก็มีความพิสดารบางอย่างที่กระตุกความสนใจ เพิ่มความลึกลับและน่าค้นหา เพื่อไปถึงบทสรุปของเรื่องราว และหนังก็เติมตัวละครของ นาโอมิ วัตส์ เข้ามาเพื่อดึงตัวละครออกจากมุมมองเดิม สถานะและสิ่งแวดล้อมเดิม พร้อมกับลูกของเธอ ที่ก็กำลังเติบโตเปลี่ยนวัยและดูจะกำลังค้นหาเรื่องราวของชีวิต ขณะเดียวกัน ตัวละครของ คริส คูเปอร์ ก็มีตัวตนความคิดและชีวิตที่ถูกหล่อมหลอมมาจากอีกรูปแบบและสถานะหนึ่ง หนังจึงให้มุมมองและคำถามหลากหลายเกี่ยวกับชีวิต และเป็นภาพที่ทำให้หนังน่าสนใจ

ขณะเดียวกันนักแสดงทั้ง เจค จิลเลนฮาน, นาโอมิ วัตส์, คริส คูเปอร์ และ จูดาฮ์ เลวิส (แสดงเป็นลูกของ นาโอมิ วัตส์ ในเรื่อง) รวมถึงนักแสดงในบทสมทบอื่นๆก็แสดงได้ดี มีเสน่ห์ และความเข้มข้นตามบท ทั้งยังมีเคมีระหว่างกัน(ทั้งดีและร้าย)ในฉากในระดับที่น่าพอใจด้วย ซึ่งก็เพิ่มน้ำหนักให้ความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องราวเหล่านี้ได้ดี

 เรื่องราวของหนังมีรายละเอียด ความพลิกผัน ลูกล่อลูกชน การดำเนินเรื่อง และจังหวะของเรื่องราวที่น่าสนใจ มันยังประกอบไปด้วยฉากกระตุกความสนใจและรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่น่าสนใจไปตามรายทาง ซึ่งก็ดูจะทำให้เรื่องราวของหนุ่มรายนี้นำไปถึงบมสรุปที่กระทบใจในท้ายที่สุด

แต่ทว่าก็หนังก็ดูจะไปไม่ถึงจุดนั้น แม้การกำกับของ ฌอง-มาร์ค ฯ จะดูพยายามรักษาความราบเรียบของการเล่าเรื่องเอาไว้ ไม่ให้มันดูจะล้นหรือมากไปในการแสดงอารมณ์หรือปล่อยให้ถูกเมื่อมาถึง และความจริงหนังยังมีจังหวะดีๆหลายฉาก แต่ว่าไปดูเหมือนสิ่งที่ล้นเกินดูจะเป็นรายละเอียดของเรื่องราวที่แม้จะดูพยายามกล่อมเกลาร้อยเรียงด้วยรายละเอียดแล้ว มันก็ยังอดคิดไม่ได้ว่ามันดู 'เว่อ' และ 'จงใจ' ทั้งแม้จะมีเรื่องราวแปลกประหลาดที่น่าจะเป็นส่วนที่น่าติดตามของหนัง (แม้จะเว่อ) มันก็ยังมีหลายส่วนที่ดู 'สูตร' อย่าง 'จงใจ' อย่างไม่น่าเชื่อ (คือถ้าสูตรบ้างแต่ดูเป็นธรรมชาติมันจะไม่ค่อยรู้สึก เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวไปแล้วอย่างเหมาะสมก็ได้) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรื่องราวเลือกเอาชีวิตของชายหนุ่มในวงการเงินที่ประสบความสำเร็จมาเล่า แม้จะพยายามโน้มน้าวผู้ชมให้รู้สึกไปกับเรื่องราวของเขา แต่หลายๆอย่างที่นำเสนอบางทีก็น่าสงสัยเหมือนกันว่า กลุ่มผู้ชม ที่น่าจะอินไปกับเรื่องราวแบบนี้ น่าจะเป็นผู้ชมกลุ่มไหนดี? เพราะหลายๆครั้งมันทำให้รู้สึกว่าหลายๆอย่างมันดูเป็นการ 'ละเล่นของคนมีตังค์' ไปแบบแปลกๆด้วย (ซึ่งอันนี้อาจจะผิดที่ผมเอง ที่ไม่เข้าใจโลกแบบนั้นเท่าไหร่ - ซึ่งก็อาจแปลว่า ผมไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของหนังเรื่องนี้) แถมเมื่อตัวละครดูจะอยู่ระหว่างรื้อชีวิต แต่ยังไม่รู้จะประกอบอะไรขึ้นมายังไงดี ปรัชญามองโลกในแง่ดีของตัวละครก็ยังดู 'จงใจ' จะ 'ไนซ์และน่าประทับใจเกินไป' แบบงงๆอีก ซึ่งก็ทำให้หนังดูจะไปไม่ถึงจุดหมายที่จะเป็นหนังดราม่า ขายความประทับใจ ที่มาพร้อมข้อคิดที่ฝังลึกในใจผู้ชม ไปอย่างน่าเสียดายด้วยจังหวะงงๆ

หรืออาจเป็นเพราะท่าทีของหนังด้วย? ที่ดูๆไปแล้วก็ไม่แน่ใจว่าหนังพยายามจะเป็น ดรามิดี้ ที่เป็นเรื่องราวชีวิตหนักๆที่เจืออารมณ์ขันรึเปล่า? รูปรอบของหนังจึงดูครึ่งๆในหลายช่วง แต่รวมๆถ้าจะคอมเมดี้ มันก็ดูจะมีเรื่องราวที่หนักเกินไป และเราก็ขำกับหลายๆอย่างขนจอไม่ไหว (ขำแบบดาร์คก็ไม่ไหว) ขณะเดียวกันมันก็เลยมี 'พฤติกรรม' แปลกๆเข้ามาซึ่งอาจเป็นระดับที่ เกินไป ของหนังอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนตัวคิดว่าหนังเป็นดราม่าเรื่องราวค่อนข้างหนัก ที่มีองค์ประกอบบางอย่างมาช่วยผ่อนคลายอารมณ์ของหนังมากกว่า

อย่างไรก็ดี หนังก็มีการแสดงจากตัวละครนำที่น่าประทับใจ (คือถึงพวกเขาจะพยายามและเล่นได้ดีแล้ว และมีจังหวะน่าประทับใจในหลายฉาก แต่มันก็กลบความ 'เกินไป' ของหนังไม่ได้) โดยเฉพาะดีใจมากที่เห็น นาโอมิ วัตส์ ในเรื่องนี้ แม้อาจไม่ใช่ผลงานระดับสุดยอดของเธอ แต่เธอก็ให้การแสดงที่ดี (โดยเฉพาะในฉากขำกลางงานเลี้ยงหรู - ซึ่งเป็นจังหวะ และประเด็นที่คิดว่าดีมากของหนัง - เป็นธรรมชาติกว่าประเด็นใหญ่ๆของทั้งเรื่อง ซึ่งก็ทำให้มันดูน่าสนใจตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้) และหนังก็พยายามจะนำเสนอเรื่องของ ชีวิต ที่บางครั้งเมื่อมันดูจะ ไม่ทำงาน แม้จะดู สวย เราอาจต้องการลอง รื้อมันออก เพื่อ ทำความเข้าใจมันดู เผื่อว่าเราจะเข้าใจมันมากขึ้น อย่างไรก็ดีถ้าเพียงแต่รื้อโดยไม่รู้ว่าจะประกอบมันขึ้นใหม่ยังไง... ถ้าประกอบคืนให้ ใช้งานต่อไปได้ ไม่ได้ล่ะก็... ที่เหลือก็เป็นเพียงแต่ซากรอวันผุพังเท่านั้นเอง...

ก็นี่ล่ะครับ จริงๆหนังมีประเด็นที่น่าสนใจ มีเรื่องราวและจังหวะที่ก็น่าสนใจ และมีนักแสดงและการแสดงที่ดี แต่มันก็ดู เกินไป และ จงใจ มากไป อย่างช่วยไม่ได้จริงๆ แต่ใครที่สนใจหนังเรื่องราวทำนองนี้ นี่ก็เป็นหนังน่าสนใจที่มีการแสดงดีๆ ใครที่ชอบนักแสดงคนไหนในเรื่องก็ลองเอาเรื่องนี้ไปดูได้ ที่ให้รสชาติแปลกดี มีเครื่องปรุงเครื่องเคียงบางอย่างที่อร่อยดี แม้ทั้งจานจะไม่อร่อยล้ำลึกในท้ายที่สุดก็ตาม 7.5 คะแนน ให้คะแนนการแสดง และจังหวะดีๆของหนัง รวมถึง นาโอมิ วัตส์ (ลำเอียงบ้างก็คงทำได้แค่ขออภัย)


แบบยาวๆ

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2559

กระแส Pokemon Go กำลังแรง! ใคร OS ไม่ถึง! เรามาชวนไปเล่นโปเกมอนในแบบคลาสสิคกันดีกั่ว!

ตามประสาคนไม่เข้ากระแสครับ (แค่เขียนถึงหนังให้ทันที่ไปดูมาก็ไม่ทัน... - แต่คือไว้บทจะเข้ากระแสก็ค่อยเข้าครับ - ส่วนใหญ่เขาก็จะออกจากกระแสกันไปแล้ว...)

จะดราม่าทำไม เอ้า หลายคนที่มือถือ OS อัพไม่ได้แล้ว โหลด Pokemon Go ไม่ได้ก็ช่างมัน ชีวิตยังมีอะไรอีกเยอะ หุ้นนินเทนโดก็ขึ้นไปแล้วอย่างไวก็ตกลงมาแล้ว (นึกถึงฉากนึงใน Money Monster แท๊กทีม 3 ดาราบิ๊กเนม ที่...ยังไม่ได้เขียนถึง (จะลืมหมดแล้วเนี่ย)) เพราะงั้นเรามาชวนกันไปลองเล่น โปเกมอน ปิกาจู เวอชั่น ในแบบคลาสสิคแบบอัพเกรดกราฟฟิกดีกั่ว!

แต่...มันเล่นบน PC นะ เกี่ยวไรกับมือถือฟะ?!

เอาน่ะ มันก็ต้องมีเหตุผลให้ลากเข้าเรื่องมั่งซิ...

เข้าเรื่องนะครับ อันนี้ไปเห็นมาจาก baagames.com ก็เลยเอามาแปะต่อ เอาว่าก่อนที่หลายคนจะรู้จัก โปเกมอน จาก ตุ๊กตุ่นตุ๊กตา สินค้ามากมาย อนิเม การ์ตูน โน่นนี่ แรกเริ่มเดิมที มันถือกำเนิดมาเป็นเกม RPG (ที่หลายคนเรียกเกมภาษา) ใต้ชายคา Nintendo (บิดาแห่ง มาริโอ เมทรอยด์ เซลด้า เคอร์บี้ เอฟซีโร่ ฯลฯ ใหม่ๆหน่อยก็ สปลาทูน อะไรนะ? ไม่รู้จัก? เฮ้ย เกมฮิตน่า (จริงๆ - แต่เราก็ไม่ได้เล่นหรอกนะ)) โดย Gamefreak บนเครื่อง GameBoy โน่นแหนะครับ โดยคราที่ออกมาทีแรกในเวอชั่นญี่ปุ่น ใช้ชื่อเกมว่า Pocket Monster แต่พอเวอชั่นฝรั่งตามมาใช้ชื่อเป็น Pokemon (ซึ่งก็ย่อมาจากชื่อเดิมน่ะแหละ) ภายหลังชื่อนี้ก็เป็นที่ติดหูกว่า และในคราวแรกๆนั้น Nintendo ออกวางตลาด Pokemon มา 3 เวอชั่น คือ Red กับ Green โดยมี Blue ตามมาทีหลัง และไม่ว่าจะในเวอชั่นไหนก็ไม่มีเจ้า ปิกะจู ที่ทุกคนรู้จักกันดี  (ข้อมูลผิดอย่างไม่น่าให้อภัย Pikachu มีปรากฏในทั้ง 3 เวอชั่นแรกนี้แล้ว) จน(ไม่)แทบจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของ Pokemon ไปแล้ว

เพราะหลังจากนั้น ที่ที่เจ้าปิกะจูปรากฏตัวเป็นที่แรก (ดูหลังขีดฆ่าด้านบน - เก็บไว้ดูความไม่รอบคอบของตัวเอง - ขออภัย) นั้นคือเวอชั่นอนิเมของ Pokemon ที่ฮิตระเบิดเมืองต่างหาก (ซึ่งภายหลังก็ตามไปฮิตกันอีกหลายๆที่ในสากลโลก กระทั่งโลกตะวันตกเด็กๆก็ยังคลั่งไคล้โปเกมอน (ก็ดูตอนนี้ซิ - อันนี้รู้จักไม่รู้จักก็ขอตามจับโปเกมอนไว้ก่อนล่ะฟระ - ก็คงเป็นเช่นนั้นก็เป็นได) มีภาคมูฟวี่ตามออกมาอีกมากมาย นินเทนโดก็ยังปั๊มเกมออกภาคใหม่มาเรื่อยๆจนทุกวันนี้ ซึ่งก็ฮิตทุกภาค (แต่ที่ถล่มจริงๆก็คืออี Pokemon Go ที่ Nintendo แม้มีส่วนแต่ก็ไม่ได้ทำเองนี่แหละ - ตอนนี้พอฮิตเขาก็มีแย่งชิงลิขสิทธิ์สร้างหนังโปเกมอนในฮอลลีวู๊ดกันต่อ บรื๊อออ การ์ตูนญี่ปุ่นขึ้นจอหนังฮอลลีวู้ด ลุ้นกันต่อไป...) กลับมาที่ ปิกะจู

เพราะงั้นพออนิเมที่มีปิกะจูฮิตขนาด Nintendo ก็เลยกลับไปออก Pokemon ภาค ปิกะจู เป็น Yellow Edition ตามมาซะเลย ซึ่งจะได้เลือก Pikachu เป็นโปเกมอน Starter โดยเนื้อเรื่องก็จะมีการปรับไปตามอนิเมด้วย (ไม่ได้เล่นเอง เขาว่ามา)

ภาพหน้ากล่อง Pokemon : Yellow (Special Pikachu Edition) จาก baagames.com


นี่ยังไม่ได้เข้าเรื่องเลย...

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] SUICIDE SQUAD ทีมพลีชีพมหาวายร้าย : จะวายร้ายก็มีหัวจัย...



แบบสั้นๆ
หมากตาที่ 2 ของวอร์เนอร์และค่าย DC ประจำปีนี้ต่อจาก BvS อย่าไปพล่ามมากเลยละกัน ตอนไปดูยังวิ่งกันลิ้นห้อยเพราะไปจวนเจียนเวลา ผ่านทางเขาสร้างรถไฟฟ้ากันอยู่ก็ไม่รู้จักเผื่อจังหวะการเดินทางไว้... 

นอกเรื่องอีกละ เข้าเรื่องฉับพลัน

นี่เป็นหนังที่ว่าไปวอร์เนอร์ก็โปรโมทมานานมาก และจริงๆมันก็เป็นหนังที่ดูมีท่าทีและสีสันน่าคาดหวังดีเหมือนกันเพราะมันก็ดูจะมาในทางที่แตกต่างจากหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ผ่านตาไปแล้วในตลาดขณะนี้อยู่ แบบว่าพอมีอะไรๆเด่นๆไม่เหมือนชาวบ้านให้ได้ตื่นเต้นกันมั่ง 

ตัวอย่างก็ทำออกมาได้ดีนะครับ คือทีแรกๆก็ไม่อะไรเท่าไหร่ แต่พอดูไปนานๆก็เหมือนถูกสะกดจิต (โอเค ตกลงว่าดีนะ แบบนี้) จากที่แรกๆจำได้แต่ มาร์โกต์ รอบบี๊ ก็พอจะสังเกตได้ว่า เฮ้ย นั่นเฮีย วิล สมิธ นี่หว่า (...) และก็พอจะคุ้นๆเคยๆ (ดูไปประมาณแสนกว่ารอบ จากการดูหนังเรื่อยๆและเห็นตัวอย่างไปตลอดเวลาที่ผ่านมา มันก็ต้องจำได้มั้งแหละ - อันนี้พี่ก็พูดเว่อไปมากนะครับ) กับเหล่า 'วายร้าย' ที่จะมาลุยกันให้แปลกลิ่นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ผ่านๆมามั้ง (โอเคนะ แม้ว่าจนถึงตอนนี้เราจะไม่ได้จะแปลกใจอะไรมากมาย) นอกนั้นก็มีข่าวของ จาเรด เลโต ที่แสดงเป็น โจ๊กเกอร์ ที่มีพฤติกรรมเฮี้ยนๆ เพื่อเข้าถึงจิตใจตัวละคร (มั้ง?) เอาเป็นว่าจากตัวอย่างที่ตัดโน่นนี่ใส่เพลง เห็นรถม่วงๆ เห็นเงาพี่มนุษย์ค้างคาว ฯลฯ มา เราดูไปดูมาก็ (โดนสะกดจิต) คิดไปว่า เออ มันก็มีท่วงทำนองต่างไปจากซูเปอร์ฮีโร่ทีมอื่นๆดีเหมือนกัน รู้สึกว่ามันมีบรรยากาศ เฮี้ยนๆ เพี้ยนๆ โหดๆ หวานๆ เปรี้ยวๆ แปร่งๆ อยู่ ซึ่งท่าทางจะดี (โอเค ดีนะ แบบนี้)

เอาเข้าจริงหนังมาเราก็ถึงกับต้องวิ่งลิ้นห้อยไปดูทีเดียว แต่ทว่า... ดูจบแล้วก็รู้สึกว่า...ทำไม บรรยากาศพี่ไม่ค่อยเหมือนตัวอย่างเลยครับฟระ

จริงๆแล้วก็อย่างที่เคยบอกไปใน BvS ว่าแม้ไม่ชอบหนังมาก แต่ก็คิดว่าการเดินหมากแบบนี้ของวอร์เนอร์ (กับ DC) ก็น่าสนุกดี เราก็โอเคนะ คิดว่ามาแบบนี้ในเรื่องนี้ก็ยังน่าสนุกดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามันจะออกมา เฮี้ยนๆ เพี้ยนๆ โหดๆ หวานๆ เปรี้ยวๆ แปร่งๆ เหมือนที่รู้สึกในตัวอย่าง อันนี้ก็ไม่รู้ว่าเพราะมีข่าวทำให้แฟนๆเสียวไส้มาก่อนหน้านี้แล้วว่าจากที่คาดว่าหน้าหนังเนื้อเรื่องประมาณ Suicide Squad นี่ต้องได้เรต R แหงๆ (นึกถึงใครในชุดแดงเมื่อต้นปีกันรึเปล่า?) แต่ทำไปทำมาค่ายดันประกาศเรตมาเหลือแค่ PG-13 ซะงั้นน่ะ เอาเป็นว่าจริงๆแล้วโครงเรื่องใช้ได้นะครับกับการที่เอาเหล่าวายร้ายมารวมกัน บุคลิกแต่ละคนก็ใช้ได้ มีเรื่องราวของแต่ละคนมาเล่าพอสมควร ส่วนคนที่ไม่ค่อยมีนี่ก็... ช่วงเริ่มเรื่องคิดว่าหนังดำเนินเรื่องได้สนุกดีและน่าสนใจทีเดียว มีกลิ่น เฮี้ยนๆ เพี้ยนๆ ให้ได้สัมผัสบ้าง เรื่องตัวร้ายในเรื่องก็โอเคนะ คนที่ได้รับบทเด่นเราก็รู้อยู่แล้วว่าใครบ้าง ซึ่งแต่ละคนก็จัดบุคลิกมาใส่ในตัวละครได้ดี อย่าง มาร์โกต์ ร๊อบบี้ ก็ถือว่าเธอก็ใส่มาพอสมควร กับตัวละคร ฮาเล่ย์ ควิน จริงๆคิดว่าในบทที่ได้ก็ถือว่าเธอทำได้ดีทีเดียว ส่วนเฮีย วิล ของเรา เอาจริงๆรู้สึกว่าแกออกจะสูตรๆไปนิด แต่จากการไล่เรียงเรื่องราวและบุคลิก เดดช๊อต มาแบบนี้ เราก็คิดว่าพอใช้ได้ ก็เข้าดี (คือก็ดี ถ้าไม่คิดว่าติดจะรู้สึกสูตรอยู่หน่อย) ตัวละครอื่นทั้งแคสและการแสดงก็จัดว่าดี แต่ว่า...มันแปลกๆที่พอดูจากตัวอย่างอย่างที่บอกว่าภาพที่เราคิดไว้(เมื่อดูประกอบเพลง + จังหวะตัดต่อในตัวอย่าง) เราคาดหวังว่ามันจะ 'เฮี้ยน' กว่านี้ ทั้งการแสดงออกและจังหวะของหนัง (เรื่องราวโอเคนะ ไม่อะไร) มันมีฉากที่สนุกดีก็จริง การดำเนินเรื่องอะไรก็พอใช้ได้ แต่มันเหมือนขาดจังหวะเรียกความสนใจไปแทบจะทุกจังหวะเลยแบบแปลกๆ เช่น ตอนที่เหล่าพลพรรควายร้ายมาเห็นการแผลงฤิทธิ์ของวายร้ายบอสใหญ่ ถ้าจะให้รู้สึกว่ากลัว จะเว่อๆซูมฉากหน้านิ่งอ้าปากค้าง ประโยคกลัวๆแบบเท่ๆซักหน่อยก็ได้ ไม่ต้องไปคิดมากว่าเดี๋ยวบิ๊วด์เกิน มาแนวนี้แล้วก็บิ๊วด์กันหน่อยก็ได้ รึอย่างตอน เดดช๊อต เล่นหัว เดียโบล ก็ให้มันแรงๆเว่อๆเข้าไว้เฉียดๆเสียวไส้ๆหน่อยก็ได้ ไม่มีผลกับเรทหรอกแค่เนี้ย (นี่ก็เอาแต่ใจ จะให้เขาตีกันอย่างเดียว) แต่พอตอนเลือกจะบิ๊วด์ขึ้นมา แล้วหลายๆช่วงๆมันดูขาดๆอะไรๆไปซักอย่างสองอย่าง อารมร์มันเลยไม่ค่อยเพี้ยนและไม่ค่อยพีคนักอย่างน่าเสียดาย เพราะแต่ละคนก็อุตส่าห์จัดบุคลิกมาเต็มใช้ได้แล้ว แล้วก็คิดว่าจริงๆพอดูจบแล้วก็จะรู้สึกว่า ไอพวกนี้ทำไมมันดูไม่ค่อย 'มหาวายร้าย' เลยฟระ คือบางคนก็พอจะเข้าใจได้ เรื่องราวก็พอเข้าใจได้บ้างว่ามีดราม่าในชีวิต มันก็ไม่ได้ง่ายๆ บางทีวายร้ายก็อาจมีความรู้สึกของการเดินอยู่บนโลกนี้ไม่ต่างจากคนทั่วไปเท่าไหร่ เพียงแต่มันมีบางเหตุที่ทำให้เขาเป็นวายร้ายเท่านั้นเอง อะไรแบบนี้ ซึ่งก็โอเค แต่...ก็พี่ดูชื่อหนัง (ทั้งอังกิด และไทย) โปสเตอร์ ตัวอย่าง ฯลฯ ซิ ผมว่ามีมาทางนี้แล้วก็ต้องร้ายให้ถึงกันหน่อยนึงอ่ะ (ไม่งั้นดูพี่เกรียนชิหายชุดแดงที่พาดพิงไปแล้วซิครับ นั่นผมอาจจะโทษโครงเรื่องเขาได้บ้าง แต่ว่าตัวพี่เขาเองผมก็ไม่กล้าว่า เพราะเขาก็กะมาเกรียนเพี้ยนบ้าตามคอนเซ็ฟท์จริงๆ) ก็เลยไม่รู้จริงๆว่าเพราะต้องการหลีกเลี่ยงความแรงอะไรไปรึเปล่า เลยต้องไปตัดไปหั่นโน่นนี่ออกบ้าง มันเลยดูพร่องๆไปแบบแปลกๆในความรู้สึก คือคิดว่าเนื้อเรื่องแบ็คกราวด์ตัวละครโน่นนี่น่ะใช้ได้แล้ว แต่มันร้ายไม่ค่อยถึงน่ะ ทุกคนเลย 

ยิ่งพอมา จาเรด เลโต ในบทโจ๊กเกอร์นี่ คือ เรื่องแสดงมันก็พอได้นะ แต่บทแกจะแปลกๆ เหมือนเอามาแปะไว้นิดๆ น่าจะผูกเรื่องแสดงความร้ายแกไว้อีกนิด ก็ไม่รู้ว่าไอที่อาจมีถ่ายไว้ มันทำยังไงก็ยัดมาเป็น PG-13 ไม่ได้รึเปล่ามันเลยแปลกๆพิกลๆแบบนี้ (แต่ว่าบางฉากที่เห็นในตัวอย่างยังถูกตัดไปโต้งๆเฉยเลยนะ) กลายเป็นว่าแม้การแสดงของแกจะร้ายและเพี้ยนใช้ได้ แต่เราก็เห็นแค่ภาพน่ะ ก็เลย...ตกกระทงเดียวกะคนอื่นๆแหละ คือ คิดว่าไอพฤติกรรมเฮี้ยนๆในกองถ่ายที่มีข่าวมาก่อนนี่ ทำให้ดูเฮี้ยนกว่าบนจออีก (รึเป็นแผนสร้างพฤติกรรมความเฮี้ยนแทรกซึ่มให้สัมผัสแทนภาพล่วงหน้า?! - แต่...มันก็ไม่ค่อยโอนะแบบนี้...) ก็กลายเป็นว่ารวมๆแล้วทีมมหาวายร้ายนี่ ตกที่นั่งเดียวกันหมด เหมือนข้างนอกมันร้าย แต่เราไม่ค่อยรู้สึกไปถึงข้างในว่าร้ายจริงๆ แค่แต่งหน้าเอาน่ะ มันก็เลยไม่มันส์อย่างที่น่าจะเป็น ซึ่ง...ก็คอ่นข้างน่าเสียดาย...

แต่วิธีการแบบนี้ของวอร์เนอร์ ที่พยายามผูกเรื่องมาตั้งแต่ Man of Steel ก็คิดว่าสนุกดี (ซึ่งก็มีข้อเสียว่า ถ้ารู้หรือดูไล่มาก่อน(ชอบไม่ชอบก็อีกเรื่อง) ก็น่าจะได้อรรถรสกว่าไม่เคยดู - แต่เรื่องนี้ก็ไม่เท่าไหร่นัก ก็ดูได้แม้ไม่ได้ดูเรื่องอื่นมาก่อน แต่ก็จะมีจุดที่อินน้อยกว่าชาวบ้านเขาบ้าง) และจริงๆเนื้อเรื่องก็สนุกดี ใช้ได้อยู่ (แม้สุดท้ายจะหนีสูตรไปไม่พ้นเหมือนกัน ปีนี้หนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ผ่านมาที่หนีสูตรทั่วๆไปได้หน่อยก็น่าจะมีแต่ Cap3 : Civil War - คือก็ต้องรอดูด๊อกเตอร์ประหลาดปลายปีอีกเรื่อง - ปีนี้ยังไม่หมดนะบอกก่อน) ที่เขากันว่า Cara Delevingne นี่ดี (แสดงเป็นใครยังไงก็ไปดูกันเอาเอง) ก็โอเคนะครับ จริงๆก็สนุกดีใช้ได้  มีข้อน่าสงสัยบ้าง แต่ก็ไม่อะไรมาก เรื่องแถม(ที่นิยมๆกันในหมู่หนังซูเปอร์ฮีโร่ยุคนี้)ก็ไม่ตื่นเต้นอะไรมาก(พอดีก็ไม่ใช่แฟนคอมมิคซะด้วย) แต่ก็โอเคครับ เด็กปั้นในกลุ่มมหาวายร้ายก็พอรู้อยู่ว่าใครเป็นใคร ก็มีท่าทางน่าจะมีโอกาสมีหนังแยกของตัวเองต่อไปในอนาคต แต่ก็ต้องจบเฟสที่เขาจัดมาต่อเนื่องในปีสองปีนี้ก่อนละมัง ก็เอาเป็นว่า...เป็นอีกเรื่องของวอร์เนอร์ที่รอดตัวไปหวุดหวิดนะครับ (แต่ในยูเอสบ้านเกิดนั้นเปิดมาปังมากนะ ร้ายสมตัวทีเดียว) ถือว่าใช้ได้ ก็สนุกดี เสียแต่ไม่ถึงใจ(ตามชื่อเรื่องและตัวอย่างไปนิด ขนาดโจ๊กเกอร์ยังไม่ค่อยมีอะไรให้พูดเลย - ใครแฟนพี่เกรียนชุดแดง ด้านความเฮี้ยนพี่เขากินนะครับ อย่างน้อยก็บ้า(บอ)ถึงใจกว่า(ในกรอบความเป็นพี่เขานะ - อนึ่ง เขาเรท R ด้วยนะ)) และ...ก็เป็นอีกครั้งที่ หนังซูเปอร์ฮีโร่ค่ายวอร์เนอร์+DC อันเต็มไปด้วยตัวละครชายตันๆ(บ้างไม่ตันบ้าง)แมนๆ ได้พลังหญิงช่วยไว้ด้วยนะ หุหุ ไม่แซ่บเท่าเกรียนชุดแดง แต่ถ้ารวมกับโครงเรื่อง คะแนนพิเศษบางส่วน กับทิศทางการซุยของวอร์เนอร์แล้ว ก็สูสีนะครับ 7.7 คะแนนละกัน เห็นแก่ความทุมเทของ มาร์โก ร๊อบบี๊ ครับ (ไม่เกี่ยวกับคอสตูมนะบอกก่อน(หนักแน่น-ตอนดูไม่รู้สึกเลยว่ากล้องตั้งใจซูมมามากๆๆๆอย่างที่แว่วมาด้วยซ้ำ - แต่ก็นะ มันก็หวาดเสียวกว่าคนอื่นเป็นธรรมดา ก็ชุดมันมาซะแบบนั้นแล้วหนิ - ยืนยันอีกครั้งว่าไม่เกี่ยว - หนักแน่น)) 


แบบยาวๆ 

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์, สารคดี] CREATURE DESIGNERS - THE FRANKENSTEIN COMPLEX มอนสเตอร์เนรมิตร : มหากาพย์ฉบับย่อผู้เนรมิตรมอนสเตอร์!


ในภาพโปสเตอร์ไม่แน่ใจว่าเป็นทีมของ ฟีล ทิฟเปต ทดสอบ Go Motion เพื่อใช้ใน Jurassic Park (ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆเรื่องที่สารคดีกล่าวถึงและพาไปพูดคุย) อยู่รึเปล่านะครับ? (พอดีจำหน้า ฟีล ทิฟเปต แม่นๆไม่ได้ด้วย... - -") แม้จะปรับมาใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกแทน แต่ก็มีส่วนที่เป็นหุ่นกลไก และเทคนิคการแต่งเอ็ฟเฟ็คท์แบบเดิมอยู่นะ

ถ้าเอาสั้นๆก็คือนี่เป็นสารคดีที่จะพาไปสัมผัสเบื้องหลังเวทีของการทำเทคนิคสเปเชี่ยลเอ็ฟเฟ็คท์ และการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของการใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิก สำหรับเดี๋ยวนี้ที่เห็นอะไรๆ เราก็อาจทึกทักเอาว่ามันเป็นคอมพิวเตอร์กราฟฟิก โดยเฉพาะหนังหลายเรื่องในยุคเปลี่ยนผ่าน บางอย่างอาจทำให้คุณทึ่งเมื่อพบว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่!

เราจะได้เห็นระดับ 'ตำนาน' หลายคน (แม้ไม่ทุกคน) ทั้งมือสเปเชี่ยลเอ็ฟเฟ็คท์ ทั้งสายแต่งหน้าเทคนิคพิเศษ กลไก เทคนิค STOP-MOTION ฯลฯ มาพูดคุยให้เราฟังถึงเรื่องราวที่เป็นแรงบันดาลใจของพวกเขา เรื่องราวอันน่าประทับใจ การเปลี่ยนผ่าน และพูดคุยกันอย่างชื่ชมถึง 'ตำนาน' ในยุคก่อนหน้า (และใครสงสัยว่า แฟรงเก้นสไตน์ มาเกี่ยวอะไร? บอกได้แค่ ดูแล้วจะรู้ มันเป็นสิ่งที่ครอบงำเหล่าตำนานหลายๆคนนั้นเอาไว้ฮะ!)

ใครที่สนใจ คลั่งไคล้ ชอบเหลือเกิน หรือหลงรักอะไรแบบนี้ บอกได้แค่ว่าไม่ควรพลาด และมันจะทำให้คุณเพลิดเพลินตลอดเวลาการฉาย (ชนิดที่แม้ไม่บ่อย แต่รอบที่ผมดู ตอนเริ่มต้นเรื่อง (ซึ่งเขาก็เริ่มสนทนากันแล้ว) เสียงไม่ออก ถึงกับเคืองพนักงานเลยทีเดียว (ปกติไม่เคืองขนาดนี้) จะให้ลุกก็ไม่เอา เดี๋ยวไม่ได้ดูภาพ ไม่ได้อ่านซับฯ (แต่เสียสมาธิ - -) เพราะตอนนั้นคิดว่าน่าจะมาดูได้รอบนี้รอบเดียว - ก่อนท่าทางคนจะมาดูกันเยอะพอควรจนได้ขยายเวลาเพิ่มอีกหน่อย - แต่ก็ไม่ว่างแล้ว...) แถมเมื่อหนังจบลงบางคนอาจจะคิดด้วยซ้ำว่า ยังไม่จุใจเลยยย

และอาจจะอยากกลับไปหาหนังที่ถูกพูดถึงมาดูกันใหม่ให้ชัดๆอีกรอบ หรืออยากหาดูเรื่องที่ไม่เคยดู จะได้มาดูกันชัดๆว่าผลงานของปรมาจารย์นั้น มันเจ๋งแค่ไหน!?

ไม่รู้จะให้คะแนนยังไงดี เพราะรู้สึกเป็นความสนใจความชอบส่วนตัวอยู่เหมือนกัน จะให้คะแนนเยอะก็กลัวลำเอียงจะให้น้อยก็เพราะยังไม่จุใจ (อ่าว!) เอาเป็นว่า ใครชอบอะไรแบบนี้ ไม่ควรพลาด!


หนังขยายรอบจน มาสุดแค่ เสาร์-อาทิตย์ นี้(ก็คือวันนี้กับพรุ่งนี้... - -) รอบเดียว 20:00 SF สาขา Central World ลองเช็ครอบกันดู

อะไรนะ? นี่ก็ยาวอยู่นะ? เฮ้ย เดี๋ยวมาเขียนเพิ่มอีก ยาวกว่านี้ได้อยู่แล้ว...



แปะแถมไว้


เนี่ย ใครชอบอะไรประมาณนี้ คือ เข้าไปดูเถอะ จากทีวีแชมเปี้ยน ช่างแต่งหน้าเอ็ฟเฟ็คท์ จริงๆหาอันที่อยากแปะยังไม่เจอ ไว้ถ้าลองหาเจอจะเอามาแปะใหม่

[ภาพยนตร์] JASON BOURNE เจสัน บอร์น ยอดจารชนคนอันตราย : กูชื่อ เจสัน บอร์น! *




* เอามาจากชื่อเรื่องภาษาไทย ของฉบับแปลภาษาไทยของนิยาย The Bourne Identity เล่มแรกในชุด แปลโดยคุณ ธนิต ธรรมสุคติ (แต่เขาไม่มีเครื่องหมาย '!' นะ)


แบบสั้นๆ
ตั้งแต่เห็นโปสเตอร์เวอชั่นนี้ ความรู้สึกแรกของผมก็คือ ผมก็เป็นห่วง จูเลีย สไตลส์ ขึ้นมาทันที แต่ก็จะทำยังไงได้ เพราะ อลิเชีย วิกันเดอร์ ดาราสาวนัยน์ตาโศกที่เพิ่งคว้าออสการ์สมทบหญิงยอดเยิ่ยมไปจากหนังเรื่อง The Danish Girl นั้น ใช่ว่าผมจะรังเกียจรังงอนอะไรเธอเสียเมื่อไหร่ ส่วนจริงๆจะเป็นยังไงก็ไว้ว่ากันอีกที

ผมชอบหนัง Bourne ทุกภาคที แมท เดมอน แสดงเป็นบอร์น และคิดว่า Bourne Legacy ก็ยังสนุกดี ทั้งไม่ได้แปลกใจอะไรมากกับการกลับมาแท็คทีมกันของผู้กำกับ พอล กรีนกราส และเจ้าของบทบอร์น แมท เดมอน (ต่างฝ่ายต่างบอกว่าถ้าอีกคนไม่มาทำ Bourne ก็จะไม่มาด้วย - พอดูภาคนี้ก็พอเข้าใจเหมือนกันว่ามีก็มีความกดดันมหาศาลของมันอยู่)

ถ้าแบบสั้นๆ Bourne ภาคนี้ยังสนุก แม้จะรู้สึกว่ามันอยู่ในร่องรอยเดิมไปซะหน่อยแม้ว่า บอร์น จะได้ชื่อของเขาคืนมาแล้ว (อย่างที่แปะไว้เป็นชื่อเรื่องซะเลย) และเรื่องราวของบอร์นภาคนี้มีประเด็นน่าสนใจหลายอย่าง โดยเป็นประเด็นในปัจจุบัน เช่น การสอดส่องโดยรัฐ ซึ่งพูดให้เป็นเนื้อของหนังได้มากกว่าในหนัง Bond ภาคล่า หรือจะเป็นประเด็นเดิมเรื่องโครงการลับของรัฐบาล ที่ก็ยังใส่ความเข้มข้นซับซ้อนให้ประเด็นที่ยกมาได้พอควร เว้นเรื่องร่องรอยที่อยู่ในรูปแบบเดิมมากอยู่ ฉากแอ็คชั่น ความเข้มข้นก็ยังอยู่ในมาตรฐานของบอร์น ซึ่งแปลว่าอยู่ในระดับสูงสำหรับหนังแนวนี้ และเราก็จะได้เห็นกล้องเหวี่ยงเหมือนเดิม จากที่นิ่งๆไปใน Bourne Legacy (อันนี้ไม่ได้บอกว่าเป็นข้อดีข้อเสีย แค่เป็นข้อเท็จจริง) เรื่องราวมีรายละเอียดและความซับซ้อนในตัวเอง แม้โครงจะคล้ายเดิม แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับรู้สึกว่าแม้รายละเอียดจะค่อนข้างเยอะ และการผูกเรื่องก็ทำได้ดีอยู่ แต่ความเข้มข้นซับซ้อนในเนื้อหนังตัวเรื่องมันดูจะมีอะไรพร่องไป? และก็รู้สึกว่าคราวนี้มันมีบางจุดที่รู้สึกมีข้อสงสัยแว่บมาบ้างเป็นพักๆ (จากที่คราวก่อนๆ บางครั้งมันอาจจะมีก็ได้? แต่เราจับไม่ได้ไล่ไม่ทันเอง...) นอกนั้นหนังแม้จะเข้มข้น แต่มันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกขั้นพีค ซึ่งคิดนิดๆว่าถ้าไม่ได้ปล่อยเวลานานขนาดนี้จึงจะมีภาคต่อ ความรู้สึกแบบนี้อาจไม่เกิดมากเท่าไหร่ก็ได้?

ตัวละครของ อลิเชีย วิกันเดอร์ ซึ่งถูกเติมเข้ามามีการแสดงที่มั่นอกมั่นใจ และเพิ่มองค์ประกอบให้เนื้อเรื่องได้น่าสนใจดี แม้ไม่ได้ท๊อปความคาดหวังขึ้นไป แต่คิดว่าบอร์นภาคนี้ก็ยังมีความสนุกและเข้มข้น แถมฉากไลล่าบนถนนยังจัดมา 'ใหญ่' รวมๆแล้วก็สนุกดี ไม่ได้ผิดหวังอะไรหนักๆ และก็ไม่อะไรถ้าจะมีภาคต่อ (แต่ก็ไม่น่าจะรอนานขนาดนี้นะ) 8.2 คะแนน ครับ  และจะน่าสนใจถ้ามีภาคต่อแล้ววิธีการหรือรูปรอยของเรื่องถูกพลิกแพลงไปทางอื่นดูจากการที่สถานะของบอร์นเองก็เปลี่ยนไปแล้ว (อย่างที่หนังก็พอจะปูไว้ให้มีทางอยู่ได้เหมือนกัน)


แบบยาวๆ

คงมีพูดอะไรเพิ่มๆนิดหน่อย...


นึกถึง
จริงๆ อย่างที่ว่าว่าไม่ได้ยี้ Bourne Legacy ซึ่งขณะเดียวกันก็โอเคถ้า Bourne จะมีภาคต่อ หรือจะเอาเส้นเรื่องมารวมกันซะเลยก็ยังโอเคเหมือนกัน ก็ไม่รู้ว่าเขาจะยังไงอะไรกันต่อ แต่ว่าพอดีตอนหาข้อมูลก็ไปเจอใน imdb ว่ามี จัสติน ลิน (แห่ง Star Trek : Beyond หมาดๆ) เข้าชื่อผู้อำนวยการสร้างแถมผู้กำกับ ให้กับภาคต่อบอร์นของ เจเรมี เรนเนอร์ ใน Bourne Legacy แฮะ?! ก็ดูกันต่อไป...

[ภาพยนตร์] EVERYBODY WANTS SOME!! อยากได้มั้ย...ใครสักคน : รำลึกวัย(อเมริกัน)ทีน โดย ริชาร์ด ลิงเลเตอร์



ไปดูเรื่องนี้เพราะ กำกับโดย ริชาร์ด ลิงเลเตอร์ ครับ (ก็พูดถึงเฮียประปรายมาบ้าง) แถมเห็นคะแนนวิจารณ์ก็ดี นี่ก็ยังเสียดายแทน Boyhood อยู่เลย ผมเป็นแฟนหนัง ริชาร์ด ลิงเลเตอร์ เพราะชอบหนังที่เขากำกับหลายเรื่อง และยังได้ยินว่าหนังเรื่องนี้มีบรรยากาศเหมือนเป็นภาคต่อของ Dazed and Confused ของผู้กำกับคนนี้เหมือนกันซึ่งเป็นหนังวัยรุ่นที่ได้รับคำชื่นชมเรื่องนึง และป่านนี้ก็ยังไม่เคยดู แต่จะไปหามาดูก่อนมันก็ไม่ทัน Everybody Wants Some!! เข้าแล้วก็ไปดูก่อนละฟระ

ซึ่ง...ทีแรกก็ตกใจว่า เย้ยย ไหงรอบมันน้อยจุงเบย! แต่ก็อยากดูน่ะ ก็หารอบไปดูให้ได้ล่ะฟระ

ผมรู้อะไรเกี่ยวกับหนังแต่คร่าวๆ รู้แค่ว่าเป็นหนังวัยรุ่นราวๆยุค 80 (มัง?) แต่แค่นั้นก็พอ ดูก่อนค่อยว่ากัน ว่าไปตอนไปดูนี่แม้จะรอบน้อยแต่ก็คงมีคนสนใจอยากดูเรื่องนี้เยอะเหมือนกันเพราะรอบที่ดูก็ดูจะเกือบเต็ม ยังไงผมก็ดูของผมไปล่ะ

พอได้เห็นตัวอย่างหนังมาก่อนบ้าง และเห็นคำบรรยายสรรพคุณ ว่า ภาคต่อ Dazed and Confused (ประมาณนั้น - ซึ่งเราก็ยังไม่ได้ดู) ยิ้มไม่หุบ อะไรประมาณนี้ก็เดาๆตัวหนังไว้บ้าง แต่ก็ไม่แน่ใจหรอกว่ามันเกี่ยวกับอะไร พอดูไปจริงๆ ก็พอเข้าใจแฮะ หนังเกี่ยวกับชีวิตวับรุ่นจริงๆครับ เปิดมาด้วยเพลง My Sharona (ที่คุ้นๆว่ามีเพลงนี้ใน Super 8 ที่กำกับโดย เจ.เจ.อับรามส์ ด้วย? เพราะเรื่องก็เล่าถึงยุคเก่าตอนยังมีกล้อง Super 8) ในรถของหนุ่มคนนึงที่ขับไปเพื่อจะเตรียมตัวเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาลัย ซึ่ง...หลังพบปะเพื่อนฝูงแล้ว...ก็เต็มไปด้วยเรื่องบ้าบอเพี้ยนฮาวายป่วงมากมาย ก่อนการเปอดภาคการศึกษาจะเริ่มขึ้นในไม่กี่วันนี่แหละ

[ภาพยนตร์] LIGHTS OUT ไลท์เอาท์ มันออกมาขย้ำ : เวลานอนตอนกลางคืนเปิดไฟกันรึเปล่า?...



แบบสั้นๆ
เป็นหนังเขย่าขวัญที่สร้างพัฒนาจากหนังสั้น ซึ่งอำนวยการสร้างโดย เจมส์ วาน (ที่ก็เพิ่งกล่าวถึงแกไปเอง) ที่หลังจากแกไปขอซิ่งทุนสูงเก้าอี้ 4DX สะเทือนกับ FF7 แล้ว แกก็ไปกำกับ The Conjuring 2  อีกหนึ่งหนังผีเขย่าขวัญที่ได้รับคำชม (ซึ่ง...ก็ยังไม่ได้เขียนถึง...อีกแล้ว) แกก็ยังสนใจจะอำนาวยการสร้างหนังสไตล์นี้อีก ซึ่งก็น่าสนใจเพราะลองพะชื่อ เจมส์ วาน เครดิตของผู้กำกับที่เคยกำกับหนังอย่าง Saw, Insidious และ The Conjuring น่าจะสนใจอะไรซักอย่างในเรื่องราวของหนังเรื่องนี้

Lights Out สร้างความน่าสนใจให้กับคอเขย่าขวัญได้ตั้งแต่ตัวอย่างหนัง และบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองได้ทันที เมื่อพนักงานในร้านที่เต็มไปด้วยหุ่นโชว์เสื้อปิดไฟเพื่อเตรียมออกจากสำนักงานแล้วพบว่ามีเงาดำรูปร่างคล้ายมนุษย์ปรากฏอยู่ตรงกรอบประตู พอเธอเปิดไฟกลับไม่เห็นอะไร? แต่พอปิดไฟอีกกลับพบเงาดำที่ว่าอีก และเมื่อปิดไฟอีกครั้งคราวนี้เงาดำกลับขยับเข้ามาทางเธอ เป็นใครก็ต้องผวา

Lights Out จัดเป็นหนังที่ชูรูปลักษณืการปรากฏตัวของสิ่งคุกคามเป็นจุดสนใจและความน่าสะพรึงของหนัง ซึ่งก็ทำให้นึกไปถึงหนังอย่าง It Follows ที่เป็นหนังเขย่าขวัญที่ได้รับเสียงชื่นชมในปีที่ผ่านมาอยู่ เทียบกันแล้วแม้ It Follows จะดูมีประเด็นกว้างๆที่ทำให้ไปคิดต่อได้มากกว่า แต่ว่า Lights Out ก็นำเอาจุดขายในเรื่องของเงาดำในความมืดมาเล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตาม และน่าสะพรึง

ในหนังทำนองนี้ก็น่าสนใจว่าส่วนใหญ่มักสร้างเรื่องราวให้อยู่รายรอบตัวละครที่เป็นเด็ก หรือเป็นผู้หญิง (It Follows ก็ใช่) ในเรื่องนี้ตัวละครที่ต้องไปเกี่ยวข้องซึ่งมีทั้งเด็ก หญิงสาว แฟนของเธอ และแม่ของสองพี่น้องซึ่งดูจะเป็นส่วนสำคัญของเรื่องราวที่เกิด เป็นกลุ่มตัวละครที่เป็นตัวเดินเรื่อง ซึ่งเป็นจุดสนใจของผู้ชม และต่้องเผชิญกับเรื่องราวน่าสะพรึงที่ต้องพยายามค้นหาต้นตอว่ามันมาจากไหน และจะเอาตัวรอดจากมันได้ยังไง นั้นทำได้สนุกสนานน่าติดตาม ตัวละครแต่ละตัวมีเบื้องหลังปัญหาที่เกี่ยวข้องกันซึ่งเล่าได้ดี การดำเนินเรื่องเพื่อต่อกรกับเงามืดดำที่คุกคามนั้นก็มีลูกล่อลูกชนที่วางเหตุการณ์เงื่อนไขได้ดี ตัวละครนำก็มีความเข้มแข็งในตัวและมีส่วนที่น่าเห็นใจ ทั้งมีความมั่นอกมั่นใจ พยายามแก้ปัญหาและก็ไม่ได้แก้แบบดูโง่ๆจนไม่น่าเอาใจช่วย น่าติดตาม และแม้มันจะไม่ได้เคลียร์ทุกอย่างในตอนจบ แต่ความน่าสะพรึง และจุดขายในเรื่องของ ไฟที่ถูกปิด-เปิด ก็นำมาเล่าได้อย่างมีลูกเล่น มีความกดดัน น่าสะพรึง หายใจหายคอไม่ทั่วไปกับตัวละครในหลายตอนเลยทีเดียว

เป็นหนังสยองขวัญชูไอเดีย ที่นำเรื่องของการปิด-เปิดไฟมาเล่นได้อย่างสนุก มีจังหวะลุ้นระทึก น่ากลัว ไปกลับกลุ่มตัวละครนำที่น่าเอาใจช่วย แม้เป็นหนังเล็กๆ แต่ถือเป็นหนังเขย่าขวัญที่ตอบโจทย์ทีเดียว ตัวหนังว่าไปก็ทำให้นึกไปถึงหนังที่ กิลเลอโม่ เดลโตโร่ อำนวยการสร้างอย่าง Don't be Afraid of the Dark (ที่คุ้นๆว่าเอาของเก่ามาสร้างใหม่) ที่น่าสนใจในเรื่องสไตล์มากกว่าความน่ากลัวซึ่งทำได้ไม่ถึงนัก แต่สำหรับ Lights Out ถือว่าในเรื่องของความน่ากลัว ถือว่าทำได้ถึง และสนุก ตัวละครและการแสดงอาจไม่ได้เหนือมาตรฐาน แต่ก็มีเสน่ห์พอให้อยากติดตามเอาใจช่วย 7.7 คะแนน สำหรับหนังทางเขย่าขวัญ



ว่าแต่...เวลานอนตอนกลางตืนปิดไฟกันรึเปล่า? คนที่ไปดูมาแล้วน่ะ...

[ภาพยนตร์] STAR TREK : BEYOND - สตาร์ เทรค ข้ามขอบจักรวาล : จัสติน ลิน พาซิ่งอวกาศ!



แบบสั้นๆ
เมื่อผู้รีบูท Star Trek ยุคใหม่อย่าง เจ.เจ. อับรามส์ โยกไปกำกับอภิมหาโค-ตะ-ระสงครามอวกาศภาคล่าไปแล้ว ภาคต่อของ Star Trek จึงตกมาอยู่ในการกำกับของ จัสติน ลิน (โดน เจ.เจ.ฯ ก็ไปเป็นผู้อำนวยการส้รางแทน) ผู้เคยพาผู้ชมอย่างเราๆซิ่งชนิดมันส์ลืม(ไปเลยว่ามันส์โม้จะ)ตาย แถมคืนชีพให้แฟรนไชส์อย่าง Fast and Furious (ทีภาคแรกๆใช้ชื่อยาวกว่าอีกว่า The Fast and the Furious) ได้หน้าตาเฉย หลังแกซึ่งเป็นผู้กำกับเชื้อสายไต้หวัน กำกับ FF ให้มันส์กันไปมาตั้ง 4 ภาค ก็ส่งไม้ต่อให้ผู้กำกับเชื้อสายมาเลเซียซึ่งโด่งดังมาจากหนังเขย่าขวัญอย่าง Saw, Insidious และ The Conjuring อย่าง เจมส์ วาน กำกับ FF ภาค 7 ภาคล่า ที่มีดาราบู๊ไทยที่มีชื่อระดับสากลอย่าง จา พนม (หรือ โทนี่ จา ในชื่อแบบตะวันตก) ให้มันส์กันต่อ

ส่วน จัสติน ลิน ก็ผละจากพวงมาลัยรถซิ่งระเบิดมาขอควบคุมแผงบังคับยานไปซิ่งต่อในอวกาศกันซะเลย ใน Star Trek ภาคล่าสุดในชื่อ Star Trek : Beyond

ตอนดูตัวอย่างหนังเวอชั่นที่มีเพลง Sledgehammer ประกอบนี่ ไม่รู้ทำไมอยากดูมากเลย (แถมทำให้คิดไปถึงเกม Gradius หน่อยๆด้วย) และเอาจริงๆสำหรับมหกรรมบันเทิงผมก็ค่อนข้างเชื่อมือ จัสติน ลิน พอควร ซึ่งก็ลุ้นให้ออกมาดีนะ

พอไปดู... เฮ้ย! สนุก

ในเรื่องความบันเทิงนี่เอาไปเลยครับ และ จัสติน ลิน ก็ยังเล่าเรื่องโดยเอาความสัมพันธ์ของเหล่าลูกเรือ โดยมีความสัมพันธ์ของ 3 คู่หู อย่าง กัปตันเคร์ก สป๊อก และ หมดโบนส์ เป็นฉากหน้า ได้ลื่นมาก เรื่องเล่าอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุดพัก ใส่เหตุการณ์เข้ามาเป็นชุดๆ อารมณ์ขัน ความตื่นตา เหตุการณ์หวาดหวั่น พลิกผัน แผน แอ็คชั่น อะไรต่ออะไรคือได้หมด เนื้อเรื่องก็เปิดไปสู่อันตรายของ ยูเอส เอนเตอร์ไพรส์ ได้อย่างเฉียบพลัน การออกแบบอะไรต่างๆก็ดี และตัวละครใหม่อย่าง เจลาย์ ที่แสดงโดย Sofia Boutella ก็เป็นตัวละครที่ยิ่งเพิ่มเอเนอจี้ให้กับหนัง มั่นใจ ปราดเปรียว ซึ่งยิ่งเป็นสีสันให้กับหนีงและทีมลูกเรือที่ต้องเผชิญภัยได้อย่างสนุก (ขนาดว่าโปสเตอร์ก็ต้องเลือกเวอชั่นนี้! - ซึ่งเขาก็ใช้เวอชั่นนี้กันเยอะน่ะแหละ - -) บรรยากาศหนังในสไตล์ จัสติน ลิน น่าจะยิ่งฉึบฉับกว่าจังหวะของ เจ.เจ.ฯ ซะอีก เรียกว่าไม่มีให้พักกันเลย แถมหนังยังยิงอารมณ์ขันโปรยไว้ทั่ว ซึ่งหลายจุดก็ดีมาก แม้จะไม่ถึงกับมีอะไรใหม่ในระดับที่เป็นปรากฏการณ์ แต่หนังก็เอเนอจี้มาก คือชอบมาก (แถมยังแอบคิดว่า ไซมอน เพกก์ เจ้าของบท สก๊อตตี้ วิศวกรประจำยาน ที่มาร่วมเขียนบทภาคนี้ด้วย ซึ่งบทเฮียก็ดูเด่นมากในภาคนี้นี่แอบเติมบทให้ตัวเองป่าวน้า? เฮ้ย เฮ้ย แต่เราก็ไม่ได้ขัดอะไรนะ... เพราะมันก็สนุก)

อาจไม่ได้พูดถึงเนื้อเรื่องเท่าไหร่ แต่เนื้อเรื่องก็เติมแบ็คกราวด์ให้กับปัญหาและปมของตัวละครได้น่าสนใจดี และมันก็ยังเป็นน้ำหนักให้ซีนแอ็คชั่นที่จัดกันมาต่อเนื่องในภาคนี้ได้ดี แม้มันอาจจะถอยไปเป็นแบ็คกราวด์ให้ฉากแอ็คชั่นก็ตาม จะมีข้อติอยู่บ้างก็ตรงที่เมื่อถึงการเฉลยเรื่องสำคัญในช่วงท้าย ถ้ามาคิดกันจริงๆ มันก็ทำให้เรื่องดูมีข้อน่าสงสัยอยู่หลายจุด และก็อาจหลุดบางอย่างในจุดเล็กๆน้อยๆไปบ้าง แต่เอาจริงๆคือตอนที่ดูอยู่ผมก็ไม่ได้จับจุดพวกนี้ให้ทันอะไร เพราะกะลังบันเทิงอยู่เต็มที่ มาคิดได้เอาตอนดูผ่านมาแล้วซะมาก - -

ดูจากข้อหาที่ 2 ภาคแรกเวอชั่นรีบูทได้รับ ว่าแม้จะมีคุณภาพสูงและดูสนุก บันเทิง สดใหม่ แต่ก็อาจมีข้อครหาจากเทรกกี้ ผู้เป็นแฟนๆ Star Trek ชนิดเข้าเส้นบ้างว่ามันอาจเด่นด้านแอ็คชั่น และเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครได้สนุก แต่มันก็อาจพร่องบางอย่างที่ Star Trek ยุคเก่า (ซึ่งมีทั้งหนังหลายภาค และซีรี่ส์หลายชุด กว่าหลายร้อยตอน... - หมดแรงตามดูได้ง่ายๆ...) มีไป ซึ่งคิดว่าภาคนี้ก็ยังอยู่ในรูปรอยนั้นอยู่ แม้ว่าจะเอาเรื่องของอุปกรณ์อะไรต่ออะไรมาเล่นได้อย่างสนุกและบันเทิงก็ตาม แต่สำหรับผมแล้ว (ซึ่งก็ไม่ได้ถึงขั้นเป็นเทรกกี้) ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การพาซิ่งอวกาศของ จัสติน ลิน ใน Star Trek : Beyond นี่ไม่สนุก ซิ่งมาก บันเทิงจริงๆ จนหยดสุดท้าย (ทำเอาจับข้อบกพร่องตอนดูไม่ทันเลย...ก็ต้องสนุกกันไปอย่างช่วยไม่ได้ - จะโทษใคร?) ชนิดที่คิดว่าถ้ากัดฟันไปดู 4DX ( SF ก็มีโรงใหม่ระบบทำนองนี้แล้วนะเออ ที่ SFW ) ก็คงเหวี่ยงกันมันส์ แม้ไม่น่าจะคิดว่าจะเหวี่ยงแว่นแทบหลุดสุดคุ้มเท่า Fastฯ ภาคหลังๆ (ที่กัดฟันไปดู 4DX) ก็คงไม่แพ้กันมาก! จัสติน ลิน ซะอย่าง! (ขนาดนั้น!?)

แม้อาจไม่ใช่ Star Trek ภาคที่สมบูรณ์สุดขีด แต่สนุกบันเทิงมาก ซิ่งมาก ตัวละครใหม่ก็มีสีสัน เอาไปเลย 8.5 คะแนน จัสติน ลิน พาซิ่งอวกาศได้จริงๆ นี่ถ้าเนื้อเรื่องไม่พร่องตรงที่สำคัญไปหน่อยล่ะก็ยังเพิ่มได้อีก...



แบบยาวๆ

ไม่แน่อาจมี...

ปล. ภาคนี้ก็เป็นการอาลัย ลีโอนาร์ด นีมอย ผู้แสดงบท สป็อค และเป็นหนึ่งตำนานในเวอชั่นเก่า (รวมถึงได้มาปรากฏตัวในภาครีบูทด้วย) และ แอนตัน เยลชิล ดาราหนุ่มที่ประสบอุบัติเหตุอย่างน่าเศร้า...





วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] CAFE SOCIETY ณ ที่นั่นเรารักกัน : แย่แล้ว! คริสเตน สจ๊วต สวยเจี๊ยบลุคย้อนยุค ในหนังฟอร์มดีของ วูดดี้ อัลเลน




แบบสั้นๆ
คือ...ที่พาดหัวแบบนี้ บอกก่อนไม่ได้เป็นแฟนๆของ คริสเตน สจ๊วต เลยนะครับ แต่โอเคแหละ ผมยังไม่ได้ถือตัวเป็นแฟนหนัง วูดี้ อัลเลน ถนัดๆแต่หลังๆ เรื่องของแกเข้าฉายโรงในไทยก็ดูมา(น่าจะ)หมด แถมส่วนใหญ่ก็ชอบซะด้วย เพราะงั้นจริงๆจะว่าเป็นก็เป็นนั่นแหละ (ตกลงเอ็งต้องการอะไร?!) ยอมรับว่าที่สนใจหนังเรื่องนี้ ก็เพราะ ใช่ครับ เป็นหนัง วูดดี้ อัลเลน และเห็นมี เจสซี่ ไอเซนเบิร์ก (ที่แสดงใน BvS น่ะหละ แถมยัง Now You See Me 2 (ที่...ก็ยังไม่ได้เขียนถึง แม้จะสั้นๆ...), คริสเตน สจ๊วต, สตีฟ คาเรล แถมยัง เบล๊ค ไลฟ์ลี่ย์ (สาวสวย ที่เพิ่งหนีฉลามมา) อีก เพราะงั้น... จริงๆแค่มีชื่อ วูดดีี้ อัลเลน กำกับก็ไปดูเหมือนเดิมแหละ (อ่าว...)

วูดดี้ อัลเลน อาจจะเป็นคนทำหนังที่ยังคงใช้สไตล์เก่าๆของตัวเองเล่าหนังอย่างเหนียวแน่น แต่ไม่ได้กลวง ฝีไม้ลายมือของทั้งการเขียนบทและดำดับของวูดี้อัลเลนจึงยังคงมี 'เรื่องราว' มาเล่าให้เราฟัง(ดู)อย่างน่าสนใจอยู่เสมอ แม้ท่วงทำนองอาจดูธรรมดาไม่หวือหวา แต่ความช่ำชองในการเล่าของ วูดดี้ อัลเลน ก็ยังทำให้เรื่องทั้ง น่าสนใจ และ ดูสนุก โดยเฉพาะในเรื่องนี้เมื่อมันกล่าวถึงเรื่องราว 'ความรัก' ใน 'แดนฝันฮอลลีวู้ดยุคเก่า' และ 'เสน่ห์นิวยอร์ค' ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา และเป็นที่ที่เขาสร้างเรื่องราวจากหนังมาเล่าถึงมากที่สุด หนังเรื่องนี้ยังคงมอบความพึงพอใจและส่งผมเดินออกจากโรงอย่างรู้สึกคุ้มค่า

และเซอไพรส์หนักเรื่องนึงก็คือ... อย่างที่บอกไปแล้วว่าผมไม่ใช่แควนๆของ คริสเตน สจ๊วต (แม้จะชอบหนัง Panic Room ที่เธอแสดงตั้งแต่วัยเด็ก หรือดู Twighlight กะเขาเหมือนกัน (ตามกระแส...แต่ก็ดูทุกภาค - -) หรือแม้จะมีคำชื่นชมถึงการแสดงของเธอใน Still Alice แต่ผมก็รู้สึกครึ่งๆ (แต่คิดว่าเข้ากับบทดี)) แถมไม่ได้ติดใจลุคเธอไรมาก เอาเป็นว่าผมไม่ค่อยไปดูหนังเพราะว่าเห็นชื่อเธอเป็นเหตุผลหลักละกัน แต่ในเรื่องนี้คือ อย่างที่บอกครับ สวยเจี๊ยบ และทั้งลุคกับการแสดงก็เหมาะไว้โปรยเสน่ห์ใส่พ่อพระเอกของเราจริงๆ นี่คือเซอไพรส์เลยครับ - - ผมยอม

นี่ยังไม่ได้พูดถึงนักแสดงคนอื่นเลย นี่อาจไม่ถึงกับเป็นหนัง วูดดีี้ อัลเลน ที่ผมชอบที่สุดในช่วงหลังๆมานี้ และยังอาจไม่ใช่เรื่องที่คิดว่าสนุกที่สุด แต่ก็อย่างที่บอก โดยเฉพาะในเรื่องนี้เมื่อมันกล่าวถึงเรื่องราว 'ความรัก' ใน 'แดนฝันฮอลลีวู้ดยุคเก่า' และ 'เสน่ห์นิวยอร์ค' วูดดี้ยังมีเรื่องราวจะมาเล่าให้ฟัง พร้อมอารมณ์ขันติดจะประชดประชันที่เขามักใส่ไว้เสมอ ดูสนุก พอใจ มีเซอไพรส์จาก คริสเตน สจ๊วต อีกต่างหาก เพราะงั้นใครเป็นแฟนๆ คริสเตน สจ๊วต นี่ยิ่งไม่ควรพลาดนะ น่าไปลองดู แม้หนังอาจจะดู 'เรียบ' ในความรู้สึกของหลายคน แต่อย่างที่บอก วูดดี้ อัลเลน มี 'เรื่อง' จะมาเล่า และความรู้สึกในตอนจบ เป็นพาร์ทหนึ่งที่ผมชอบมากในหนังเรื่องนี้ 8.3 คะแนน

ยังพอมีรอบนะ แฟนๆ คริสเตน สจ๊วต ลองหาดูกันครับ


แบบยาวๆ

น่าจะได้เขียนครับ มีเรื่อง(ที่ถ้าไม่ดอง)ก็ยังอยากเล่า...

[ภาพยนตร์, อนิเม] ICE AGE : COLLISION COURSE ไอซ์เอจ ผจญอุกาบาตสุดอลเวง : เอาอีกแล้ว สแครชขอป่วนจากอวกาศ ยังไม่พ้นยุคน้ำแข็งซักทีเอย!



แบบสั้นๆ
ว่าไป Ice Age คงต้องถือเป็น อนิเนชั่น ขายคาแรคเตอร์ เรื่องแรกๆ ที่เป็นจุดขายแทบจะล้ำหน้าตัวหนัง (แถมทำให้ Blue Sky Studio มีที่ทางในโลกอนิเมชั่นมาจนทุกวันนี้) เพราะทำให้หลายๆคนสนใจเจ้าสแครชไล่เก็บลูกนัทมากกว่าตัวหนังทั้งเรื่องซะอีก!

แต่จริงๆถ้าย้อนไปดู Ice Age ภาคแรก หนังก็มีเนื้อเรื่องและคาแรคเตอร์ดีๆที่ทำให้คนดูติดตาม รู้สึกถึงปัญหาของพวกเขา และเอาใจช่วย โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่พวกเขาเผชิญนั้นคือ การสูญพันธุ์จากภัยพิบัติ (พร้อมความหนุกหนานฮาบ้าบอไปตามทางแล้วแต่คาแรคเตอร์) และภาพที่อาจไม่เนี๊ยบกริ๊บอย่างอนิเมชั่นของ Pixar แต่ก็สวยงามและมีสไตล์เฉพาะตัว

ภาคต่อๆมาทำไปทำมากลายเป็นว่าคนดูตามดูเจ้าสแครชเก็บลูกนัทไปเฉยเลย ซึ่งก็ทำให้ยิ่งมีการสร้างสรรค์การเก็บลูกนัทของเจ้าสแครชกันไปใหญ่ มาซึ่งความฮาและความนิยมในเจ้านี้เพิ่มขึ้น ขณะที่แม้ภาคต่อจะหาเรื่องหรือตัวการก่อภัยที่น่าสนใจมาใส่เพิ่มไว้ ขณะเดียวกันก็ยังมีประเด็นเกี่ยวกับชีวิตของแต่ละตัวละครหลักใส่ไว้ได้ แต่อาจจะเพราะมันก็ยังขาดทีเด็ดทีขาด ความใหญ่ในความรู้สึก หรือวิกฤติที่ทำให้ได้รู้สึกอย่างภาคแรก ขณะที่เจ้าสแครชเด่นขึ้น เรื่องราวและตัวละครที่เหลือก็กลายเป็นเหมือนตัวประกอบคั่นฉากเจ้าสแครชหาลูกนัทไปเฉยเลย (ทั้งที่จริงๆอีเจ้าสแครชนี่หรอกที่มาคั่นฉาก) และก็ต้องยอมรับว่าเป็นเจ้าสแครชนี่เช่นกันที่ยังดันให้ความนิยมในซีรี่ส์ Ice Age รอดวิกฤติมาได้โดยตลอด

จนกระทั่ง คาแรคเตอร์นำเรื่องตัวสีเหลืองที่พูดอะไรก็ไม่รู้ปรากฎขึ้น...

ตั้งแต่นั้นความนิยมในตัวเจ้าตัวเหลืองมีเนี่ยนก็พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ทีม Ice Age ระหว่างนั้นก็คงรู้เหมือนกันว่าแม้จะรอดมาได้ (จริงๆการ์ตูนเรื่องนึงก็ใช่จะทำกันง่ายๆแหละ) แต่มันก็ขาดพลังบางอย่างไป (เหลือแต่เจ้าสแครชแหละ - กลายเป็นดาบสองคมไปซะงั้น) จึงหายไปนานเอาการ ก่อนที่ทำไปทำมาเขาก็ดำริจะกลับไปสำรวจสิ่งที่เคยมีใน Ice Age ภาคแรก แถมเอาเรื่องราวของเจ้าสแครชไปตัดทำเป็นอนิเมชั่นสั้นในชื่อ Cosmic Scrat-tastrophe ฉายปะหัว The Peanuts Movie  (ที่ชอบเอาเรื่องเลย) ให้ได้หนุกหนานกันไปก่อน

[ภาพยนตร์] GHOSTBUSTERS บริษัทกำจัดผี : บริษัทใหม่พลังหญิง(ฮา)ในชื่อ(ตำนาน)บริษัทเดิมว์



แบบสั้นๆ
จากโครงการที่ไปๆถอยๆมานาน สุดท้ายโปรเจ็คท์ก็ตกมาอยู่ในมือ พอล ฟิก ผู้กำกับหนังพลังหญิงเอาฮาประสบความสำเร็จมาหลายเรื่่องต่อเนื่อง แม้ว่าอาจจะทำให้หลายคนโดยเฉพาะที่เป็นแฟนเก่าๆงุงงนสงสัยอยู่บ้าง มีกระทั่งแคมเปญ(?)กระแสยี้ตัวอย่างหนังถล่ม จนน่าครุ่นคิดว่าจริงๆมันจะน่าเป็นห่วงรึเปล่าหว่ากระแสมาขนาดนี้? แถมแม้ พอล ฟีก จะกำกับหนังได้ตังค์มาต่อเนื่อง แต่ดูๆไปเฮียก็ไม่น่าจะเคยเล่นกับหนังอุดมเอ็ฟเฟ็คท์ขนาดนี้

แม้ว่ารีบูทเปลี่ยนใหม่ไหนๆก็ไหนๆเปลี่ยนทีมเป็นพลังหญิง พร้อมเอา คริส เฮมสเวิร์ท มาเป็นพลังชายทำหน้าหล่อตลกบ้าบอใส่ซะเลย เรื่องนี้คงไม่สามารถมีสถานะก้าวไปอยู่ในขอบเขตของหนังคลาสสิคได้อย่างที่ Ghostbusters ต้นฉบับเป็น แต่จริงๆคือหนังสนุกดีมากนะ

ท่าทีของหนังอาจจะเปลี่ยนไปเอาการจากต้นฉบับ (ที่ผมก็จำได้แค่ลางๆแล้ว จากการดูดีวีดีรึอะไรอะไรซักอย่างเนี่ยแหละ) ที่อาจจะเป็นมุกพลังฮานิ่งๆเพี้ยนๆ แม้สาวๆทีมใหม่จะเพี้ยน แต่เอาฮาเถิดเทิงกว่ามากซึ่งแต่ละคนก็พกความมั่นใจมาฮาในแบบฉบับของตัวเองอย่างดี บริษัทกำจัดผีฉบับนี้จึงดำเนินเรื่องอย่างมีเอเนอจี้ด้วยพวกเธอแต่ละคนนี่เอง หนังอาจเล่นมุกทะลึ่งตึงตังเยอะ แต่ก็เล่าเรื่องไปเรื่อยได้อย่างสนุกตามสไตล์ พอล ฟิก จิกกัดกันเองบ้าบอโน่นนี่ไปตลอดทาง ซึ่งเฮียก็เล่าได้ลื่นมาก ทั้งเอาฮา แอ็คชั่น และเอ็ฟเฟ็คท์ และใครที่ชอบ เมลิสซา แมคคาร์ธี่ย์ จากหนังสายลับเอาฮาของปีก่อนอย่าง Spy ก็ไม่ควรพลาด (โรส เบิร์น , จู๊ด ลอว์ , เจสัน สเตแธม ทุกคนฮาคุ้มค่าหมด เจสัน นี่เฮียเกินคุ้มอีกมัง - ใครไม่ดูหาดูซะ) และอย่างในวงเล็บ แม้จะเน้นหนังพลังหญิง แต่ พอล ฟีก ก็เอาฮากับตัวละครชายได้ด้วยน่ะแหละ เพราะงั้นน้องคริส ก็ถือว่าผ่านเช่นกัน แม้ว่าเทียบกันแล้ว Ghostbusters ดูน่าจะหลุดโลก แต่เอาจริงๆรู้สึกว่ามุกใน Spy มันดูหลุดกว่านะ Ghostbusters จึงอาจจะดูอยู่ในร่องในรอยกว่า แต่แต่ละคาแรคเตอร์ในทีมก็เล่นกันได้อย่างลื่นไหล รับส่งมุกคาแรคเตอร์กันได้เป็นอย่างดี คือ เฮ้ย สนุกดีอ่ะ

เนื้อเรื่องช่างมัน ยังไงก็ต้องมีผีอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้แม้จะมีอะไรแหวะ มีจังหวะพองขนบ้างนิดหน่อย แต่มันก็เป็นหนังเน้นบันเทิงหนุกหนานมากกว่า (ก็คือเหมือนกับที่ต้นฉบับเป็นแหละ) แถม พอล ฟีก ที่มารับมือกับเอ็ฟเฟ็คท์มากมายในเรื่องนี้ก็ถือว่าเอาอยู่ มีฉากน่าตื่นตาพอควร ฉากใหญ่ก็จัดมาใหญ่ แม้อาจไม่ทำให้ประทับใจเท่าที่เคยเห็นจากต้นฉบับในสมัยโน้นเป็นครั้งแรกแล้ว แต่ก็อีรุงตุงนังและทำได้ดี และยังหยอดโน่นนี่ไว้ให้แฟนๆได้รำลึก ได้นึกถึง ได้ยิ้ม ได้ฮากันอีก ทั้งผี และไม่ผี อีกหลายอย่าง รวมถึงแขกรับเชิญด้วย แถมยังมีอะไรให้คิดถึง...

เพราะงั้นแฟนเก่าที่ลังเล ถ้าคิดว่าลองไปดูหนังบันเทิงๆซักเรื่องโดยไม่เตรียมยี้ไว้ก่อนก็จะได้เจออะไรสนุกๆในเรื่องนี้นะ แถมซาวด์แทร็กที่คิดถึงก็ยังมาด้วย (ไม่มาซิคงโดน) ซึ่งก็ยังหนุกหนานดีจริงๆ เพราะงั้นเชิญลองได้ทั้งแฟนต้นฉบับและเพิ่งผ่านมารู้จัก สนุกดีจริงๆ กระทั่งมุกไปไว้เป็นเครดิตโน่น เอาไปเลย 8.0 คะแนน สนุกสนานกับทีมพลังหญิง 4 กะ 1 หนุ่มนะ หนุกคุ้มค่าตั๋ว!


แบบยาวๆ

จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรให้พูดเพิ่มไหมนะ... ดูก่อน...

[ภาพยนตร์] ขุนพันธ์ : เข้มข้น แต่สับสนและไม่ชัดเจน


แบบสั้นๆ
ขุนพันธ์เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นผสมเอ็ฟเฟ็คท์ที่มีนักแสดงฝีมือดีร่วมทีมมากมาย ซึ่งตัวหนังยังคงมีความขึงขังและเข้มข้นตามแบบของผู้กำกับ ก้องเกียรติ โขมศิริ แอ็คชั่นในหลายฉากรวดเร็วรุนแรง และยังออกแบบหลายๆอย่างได้ดี นักแสดงหลายคนทำหน้าที่ได้ดี เอ็ฟเฟ็คท์ในหลายฉากเองทำได้น่าตื่นตาในสเกลของตัวเอง แต่ก็น่าเสียดายที่ดูเหมือนหนังจะเล่าเรื่องอย่างค่อนข้างสับสน และพยายามสอดแทรกเรื่องราวของตัวละครมากมายไว้ ขณะเดียวกับที่เก็บงำไว้อย่างดูจะไม่พอดีก็เผยมันออกมาในเวลาที่ดูจะไม่พอเหมาะและอาจจะมากเกินพอดี ขณะเดียวกันคนดูก็กลับไม่ค่อยรู้เรื่องที่น่าจะเผยให้ได้รู้หรือควรรู้อย่างเช่นตัวของขุนพันธ์เอง ตัวเรื่องเองก็มีความไม่ลงตัวหรือความสมเหตุสมผลที่ดูไม่พอดีในหลายจุด ขณะที่ในด้านของประเด็นที่สอดแทรกในเรื่องหลายอย่างก็ดูจะเล่าแบบเกาะไว้แค่เพียงผิวเผินในท้ายที่สุด แม้ว่าความเข้มข้นขึงขังจะนำให้ขุนพันธ์พาคนดูไปถึงขณะที่หนังจบลงได้ ขุนพันธ์จึงเป็นงานกำกับที่ดูกระจัดกระจายและดูไม่ค่อยจะลงตัวเท่าไหร่นักในบรรดาหนังของ ก้องเกียรติ โขมศิริ ที่เคยได้ดูมา ความไม่ลงตัวเหล่านี้ก็รั้งให้ขุนพันธ์ไม่ได้กลายไปเป็นหนังแอ็คชั่นเอ็ฟเฟ็คท์ชั้นดีที่พูดได้เต็มปากว่าสนุกมากหรือยอดเยี่ยมมากเช่นกัน ซึ่งก็น่าเสียดายอยู่ เพราะหนังมีองค์ประกอบขึงขังและบรรยากาศเข้มข้นในหลายช่วงตอน 7.2 คะแนน



แบบยาวๆ
ว่าจะมาคุยเรื่องหนังของ ก้องเกียรติ โขมศิริ และหนังแอ็คชั่นไทยเพิ่มนะฮะ

ปล. ชอบ อันธพาล มาก

[ภาพยนตร์] A BIGGER SPLASH ซัมเมอร์ร้อนรัก : แผนหยอกหลอกใจตน...


แบบสั้นๆ
A BIGGER SPLASH เป็นหนังที่จะว่าเป็นหนังรัก ขมๆ เปรี้ยวๆ แปร่งๆ ก็ได้ มันเป็นเรื่องราวที่ดูจะเต็มไปด้วยตัวละครที่มีปัญหา (คือเป็นคนที่มีปัญหา) แม้จะเฉิดฉายในทางของตัวเอง แต่แต่ละคนก็มีเรื่องราวและปัญหา และหลบมาพักร้อนในที่ห่างไกลโลกเดิมและผู้คน แต่บางคนก็อาจมาโดยมีความตั้งใจอื่น ตัวละครหลายคนจึงแสดงช่วงเวลาส่วนตัวของออกมา และบางครั้งอาจเข้าข่ายน่ารำคาญ แต่ในการติดตามชีวิตของแต่ละตัวละครที่ต่างก็มี 'แผน' ของตัวเอง เมื่อมันไม่เป็นไปตาม 'แผน' ที่ว่ามันจะนำมาซึ่งอะไรได้บ้าง

นักแสดงทุกคนให้การแสดงที่เข้มข้น แม้อาจจะโดดเด้งต่างกันไปบ้าง (ผมรวม ดาโกต้า จอห์นสัน ด้วยครับ คิดว่าเธอก็แสดงดีโอเคนะในบทบาทที่ได้ แม้ดีกรีจะไปสู้รุ่นใหญ่ไม่ได้ก็ตาม) เรื่องราวอาจจะติดตามยากซักหน่อย เพราะตัวละครในเรื่องนี้มารวมกันโดยไม่ได้กะจะมาเอาใจใคร มาทำตามใจ พวกเขาและเธอจึงทำอะไรๆหลายอย่างที่ทำให้คนดูอย่างเรารำคาญ (ตรงนี้แต่ละคนอาจจะมีตัวละครที่เอาใจช่วย เห็นใจ หรือหมั่นไส้ ต่างกันไป - หรืออาจเกลียดทุกคน - ซึ่งอาจเป็นส่วนใหญ่ก็ได้ที่รู้สึกแบบนั้น - ฮา) เราจึงจะได้เห็นว่าเมื่อมีคนหงุดหงิด หรือมีคนตั้งใจซ่อนเร้นอะไรไว้ มันจึงทั้งเพิ่มความรำคาญและทิศทางที่ไม่ควรจะไปมากขึ้นๆทุกที ในช่วงท้ายทิศทางของมันจึงหักเหเข้าสู่...ตูมใหญ่ อย่างที่ชื่อเรื่องบอกไว้ แม้อาจไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน แต่ที่ไปดูก็นับว่าน่าสนใจนะ 7.7 คะแนน คะแนนให้จากช่วงท้ายๆของหนังพอควรครับ


แบบยาวๆ

ก็น่ามาเขียนไว้หน่อยเหมือนกันนะ...

[ภาพยนตร์] THE PURGE - ELECTION YEAR คืนอำมหิต ปีเลือกตั้งโหด : ขอโหวตหยุดคืนโหด


แบบสั้นๆ
ภาคที่ 3 ของ The Purge ใครที่เป็นแฟนๆ(?) หรือติดตามดูมาตลอดก็คงรู้ว่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร ใครที่ไม่เคยดูก็ลองดูโปสเตอร์ดูครับ ก็คงพอได้บรรยากาศคร่าวๆ

The Purge เป็นหนังในกลุ่มที่ ถึงจะรู้ว่าจุดประสงค์ของมันนั้นเพื่อเป็นหนังสยองขวัญ ท่ามกลางการเอาชีวิตรอด แต่ด้วยคอนเซ็ฟท์มันจึงให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากความสยองขวัญที่เกิดจาก กลุ่มโจร สัตว์ประหลาด หรือฆาตกรต่อเนื่องไล่ฆ่าคน (หรือผี) ฯลฯ อย่างแปลกประหลาด(และว่าไปแล้วก็น่ากลัว) แม้โดยภาพเอง The Purge อาจไม่ได้โหดสุดขีดขั้น แต่ด้วยสาเหตุของความโหดมันก็ให้ความรู้สึกที่ต่างไปจากความสยองขวัญในหนังอื่นๆ และมันก็มีประเด็นมาเล่าพอสมควร ตั้งแต่ภาคแรกๆ มันจึงเป็นหนังที่อาจไม่ถึงกับเป็นหนังชั้นดี แต่ก็มีหลายๆอย่างเฉพาะตัวที่น่าสนใจ

ในภาคนี้ สิ่งที่ถูกเอามาเล่นก็คือเรื่องของการ 'เลือก' ว่าจะให้กฎนี้มีอยู่ต่อไปหรือไม่ และหนังก็ได้สร้างตัวละครรายรอบในหลายกลุ่มหลายสถานะมาให้ผู้ชมติดตามคล้ายๆกับภาคก่อน โดยรวมเรื่องของความรู้สึกจากตัวหนังไม่คิดว่าต่างจากภาคก่อนมาก ตัวละครอาจจะอยู่ในร่องรอยของหนังประเภทนี้ แต่ด้วยเรื่องราวเฉพาะของมันเอง ก็มีความรู้สึกต่างออกไปจากการดูการไลล่าในหนังเรื่องอื่นพอควร ซึ่งคงมีในเฉพาะ The Purge และในภาคนี้ก็ยังหาประเด็นที่ต่างจากภาคก่อนๆมาเล่าได้ ซึ่งน่าสนใจพอสมควร (แม้ว่าไอที่เตะตาและความรู้สึกหนักหน่อยในหนังจะเป็น วายร้ายและรูปลักษณ์ของเหล่าวายร้ายก็เหอะ... - -) แม้จะเสียดายอยู่บ้างว่า ประเด็นที่ดูน่าสนใจที่เอามาร่วมขายอย่างนักท่องเที่ยว ก็ดูเหมือนไม่ได้ถูกใช้อะไรเท่าไหร่ (ไม่รู้เพราะทุนมันก็ใช่จะมากมาย สโคปเลยถูกจำกัดรึเปล่า) และแม้จะไม่ได้คิดว่าเป็นภาคที่ดีที่สุดหรืออะไร และก็ไม่รู้ว่าจะมีต่อหรือไม่ แต่กับภาคนี้ก็คิดว่ายังเป็นภาคที่โอเค 7.3 คะแนน (หรือเขาเก็บประเด็นไว้เผื่อทางเลือกทำภาคต่อฟระ?!)

 
แบบยาวๆ

คงมีมาเติมนิดๆหน่อยๆ แต่ไม่ยาวนักมัง?...

[ภาพยนตร์] INDEPENDENCE DAY : RESURGENCE - สงครามใหม่วันบดโลก : มาอีกแล้วจนได้ ไอตัวถล่มโลก!



ย้อนกลับไปหลายปี (กี่ปีก็อย่าไปรู้เลย - ไปลองนับกันเอาเองดีก่าเนาะ) Independence Day หรือที่มักเรียกย่อๆว่า ID4 ถือเป็นหนังบล๊อกบัสเตอร์ที่อยู่ในใจของหลายคน ค่าที่แม้บทอาจจะพร่องโน่นนี่ไปบ้าง แต่มันก็เป็นความตื่นตาด้านภาพ และเป็นประสบการณ์บันเทิงในโรงภาพยนตร์ (และหน้าจอทีวี คอม ฯลฯ ต่อมาอีกในเวลาต่อมา) เชื่อว่าหลายคนก็ยังอาจกลับไปดู Independence Day อยู่ (และบางช่องก็อาจยังวนมาฉายอยู่มัง?)

จริงๆผู้กำกับ โรแลนด์ เอเมอริช (กะคู่หู ดีน เดิฟลิน) ก็ดูจะโด่งดังจากหนังแนวหายนะประมาณนี้และทำหนังในแนวนี้ออกมาเยอะอยู่ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จต่างกันไป โดนด่าบ้าง ได้ตังค์บ้าง อะไรบ้าง อย่างเช่น Godzilla กลิ่นฝรั่งตัวแรกที่ได้ตังค์พอใช้แต่โดนด่าเยอะ ซึ่งจริงๆก็คิดว่ามันสนุกดี ดีไซน์ก็แหวกดี แต่ก็ยอมรับแหละว่ามันไม่เหมือน Godzilla ต้นฉบับเลย (ผมชอบเรียก Godzilla หน้าคางคก - ซึ่งก็เรียกเอามันส์ไปงั้น) คือจริงๆก็บันเทิงดี และก็หนังอย่าง The Patriot หนังในช่วงสงครามกลางเมืองของอเมริกาที่มี เมล กิ๊บสัน แสดงนำ ซึ่งตอนนั้นจำได้ลางๆว่าแม้จะบิ๊วด์ไปเยอะบ้างไรบ้างแต่ก็ดูสนุกดี เมล กิ๊บ สัน ก็เท่ดี นอกนั้นก็เป็นหนังหายนะอย่าง The Day after Tomorrow ที่มี เจค จิลเลนฮาน, เดนนิส เควด, เอมมี่ รอสซัม แสดง หรือจะ 2012 หนังหายนะตามตำนานมายาที่ตอนนี้โลกก็ผ่านปี 2012 มาแล้วอย่างสวยงาม(? - แต่ก็น่าสนใจดีว่าในตอนจบนั้นมันดูน่าเชื่อดีเหมือนกันที่ทางแก้วิกฤติจะ เป็นไปแบบนั้น - อย่างน้อยตอนนี้ที่นั้นก็เป็นร่มชูชีพของฮอลลีวู้ดไปหลายเรื่องล่ะนะ) ที่มี จอห์น คูแซค, อแมนด้า พีท ฯลฯ นอกนั้นก็เป็นหนังย้อนอดีตไปไกลอย่าง 10,000 B.C. ที่มีสาวตาสีฟ้าคมอย่าง คามิลล่า เบล หรือ White House Down ที่แกกลับไปถล่มทำเนียบขาวอีกที (ยังไม่ได้ดูนะ - แต่ไม่ได้มียานบินยักษ์แล้วนะ - เออ จริงๆสวมรอยสวมเรื่องไปพลิกเป็น Independent Day ซะเลยตอนนั้นก็สิ้นเรื่อง...) กับเฮีย แชนนิ่ง ทาทัม และ เจมี่ ฟ๊อกซ์ พอบางคราแกจะเลิกวินาศสันตะโรให้มันเพลาๆลงบ้าง วนมาสายดราม่าอย่าง Anonymous ที่เกี่ยวกับเรื่องของ เชค สเปียร์ กลับแป๊ก... (จริงๆก็อยากหามาดูนะ อยากรู้ว่าแกทำออกมายังไง) ทำไปทำมา จู่ๆ Independence Day ก็กลับมาขึ้นจอกะเขาเฉยเลย

หลายคนก็คง เข้าไปดูด้วยความรู้สึกและความคาดหวังต่างกัน เวลาก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว เฮีย วิล ก็เรียกค่าตัวแพงไป มากกว่าเดิมตั้ง 10 เท่า เขาก็เลยต้องปล่อยเฮียไป ก็คงเดาๆกันไปว่า Resurgence (ย่อๆก็เลยเป็น IDR) นี่จะมาท่าไหน? ตัวอย่างหนังก็มีฉากที่ดูน่าตื่นตาดี (ชื่อไทยนี่ก็ตั้งซะแบบ... (ภาคก่อนใช้ชื่อไทยว่า ไอดี4 : สงครามวันดับโลก))

และ...จริงๆ เขาก็คงรู้กันไปหมดแล้ว เพราะหนังลาโรงไปซักพักแล้วแหละ (นี่ก็ดองตามเคย...)

จริงๆ หนังเริ่มได้น่าสนใจดีนะครับ การวางบทวางอะไรของตัวละครเก่าก็ใช้ได้ หลายตัวก็วางมาน่าสนใจดีครับ ตัวละครใหม่ก็โอเค เหตุการณ์ลึกลับที่ฐานบนดวงจันทร์ก็โอเค เริ่มเรื่องได้น่าสนใจดี

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์, สารคดี] WHERE TO INVADE NEXT - บุกให้แหลก แหกตาดูโลก!! : นี่แหกตาตรูรึเปล่า?!! แต่สนุกเป็นบ้า!! และคิดถึง ไมเคิล มัวร์!!!



ไมเคิล มัวร์ เป็นนักทำหนังสารคดีที่ชอบทำสารคดีด่าบ้านเกิดอเมริกา มีหลายคนกล่าวว่าสารคดีของเขาไม่เป็นกลาง (ซึ่งต้องเป็นกลางไหม? หรือกลางจริงๆคือแค่ไหน? แปลว่าออกความเห็นไม่ได้เลยไหม?  - อันนั้นก็ไปว่ากันอีกทีนะครับ) แต่ก็มีอีกหลายคนบอกว่าสารคดีของเขานั้นสนุกมาก แตกต่างจากลีลาของสารคดีทั่วไป 

เขายังมีหลายอย่างที่ควรทราบ(และเท่าที่ผมทราบ) เช่น 

เขาเคยทำสารคดีได้ออสการ์ เรื่อง Bowling for Columbine ซึ่งเป็นเรื่องของการสังหารหมู่ในโรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์โดยนักเรียนถือปืนสองคน ลีลาการเล่าของ ไมเคิล มัวร์ ยังทำให้เราตกใจ ตกตะลึง และหลุดหัวเราะขำในหลายเรื่องซึ่งเกี่ยวกับ ปืน ในอเมริกา แต่เมื่อมาถึงภาพจากกล้องวงจรปิดในโรงเรียน มันก็ยังถูกปล่อยให้เราได้สัมผัสกับความความกลัวและน่าเศร้า... ชนิดที่ความขำจากลีลาของ ไมเคิล มัวร์ ในช่วงก่อนก็ไม่สามารถกลบได้

เขาเคยทำสารคดีที่ได้ตังค์เกินร้อยล้านเหรียญในอเมริกา คือ Fahrenheit 9/11 (และยังพานักแสดงในวงการเมืองอเมริกาที่เล่น(?)เป็น 'ตัวจริง' ในสารคดีเรื่องนี้เข้าชิง Razzies Award (ในไทยมีคนแปลว่าราซเบอรี่เน่า) อีกด้วย และชนะไปหลายคนอีกต่างหาก ลองค้นดูข้อมูลหนุกๆกันเอาเองนะ

แถม Fahrenheit 9/11 ยังเคยมาฉายโรงบ้านเราด้วยนะ 

หนังสารคดีของ ไมเคิล มัวร์ อย่างที่ว่าถึงจะด่าอเมริกา ก็ไม่ได้สักแต่ด่าอย่างไร้เหตุผล (แบบ อีบ้า ไรงี้...) มันจึงมักมีประเด็นซีเรียสแฝงอยู่เสมอ ขณะเดียวกันเขาก็มักเล่ามันออกมาด้วยลีลาตลกร้ายเสมอๆ ทำให้มันดูสนุกมีเอเนอจี้ และบางครั้งเราอาจหัวเราะทั้งน้ำตาหรือหัวเราะไปแล้วกลับมานั่งเคาะหัวตัวเองว่าจริงๆแล้วมันตลกเหรอวะ? (เช่น ฉาก เลือกนิ้วไหนดี ในสารคดีระบบประกันสุขภาพของอเมริกาใน Sicko) และเขาก็มักเอาตัวเองมาเล่าสารคดีอยู่เสมอ ใครอยากรู้ว่า ไมเคิล มัวร์ คือใคร หน้าตาแบบไหนฟระ จึงดูได้จากโปสเตอร์เลย WHERE TO INVADE NEXT  นี่ก็มี ชายท้วมๆ(?)ใส่แว่นกลางโปสเตอร์น่ะแหละ แต่รวมๆเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้เราดูสารคดีไปได้ตลอดอย่างมีเอเนอจี้ แถมบางฉากยังทำให้เราจำฝังใจได้อีก

[ภาพยนตร์] SING STREET รักใครให้ร้องเพลงรัก : หนัง เพลง ตัวละคร ที่ทำให้เราหลงรัก...



จอห์น คาร์นี่ เป็นผู้กำกับหนังเรื่อง Once และผมชอบ Once มาก ทั้งตัวหนัง ตัวละครในเรื่อง และเพลง 

Once เป็นหนังที่มีดนตรีเป็นหัวใจ เรื่องของคนกับเพลง ครั้งนึงตอนที่มีข่าวว่าผู้กำกับ Once มีหนังใหม่เข้าฉาย เรื่อง Begin Again และก็พอรู้ว่าเป็นหนังเกี่ยวกับเพลงอีก พอเห็นโปสเตอร์หนัง นักแสดง ดูตัวอย่างผ่านๆโน่นนี่ แถมยังมีเพลงดังตั้งแต่หนังยังไม่ฉาย ทำไปทำมาผมดันเกิด กลัว ว่าหนังมันจะ ป๊อบ เกินไป ไม่เหมือนความรู้สึกตอนดู Once ทีแรกจึงคิดว่าจะข้ามเรื่องนี้ไป แต่ตอนหนังเข้าฉายจริงก็มีกระแสเสียงชื่นชมให้ได้ยิน สุดท้ายก็กลับใจไปดูจนได้... และก็พบว่า แม้ผมอาจจะไม่ได้ชอบเรื่อง Begin Again มากเท่ากับ Once แต่หนังเกี่ยวกับเพลงเรื่องนี้ก็ยังน่าประทับใจ ดูสนุก มีเอกลักษณ์ที่ทำให้มันไม่ซ้ำใครและน่าตื่นเต้น และยังมีประเด็นดีๆมานำเสนอ นอกนั้นมันยังมีสิ่งที่มีใน Once นั่นคือความขมบางอย่างอยู่ในหนังเกี่ยวกับเพลงอยู่ในหนังที่ทั้งน่าประทับใจ กินใจ และสร้างแรงบันดาลใจทั้ง 2 เรื่อง ทั้งยังมีเสน่ห์ให้หลงรัก ประมาณว่ารู้สึกผิดเลยทีเดียวที่ดันไปปรามาสหนังไว้ว่ามันคงป๊อบจนไม่น่าประทับใจเท่ากับ Once

เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลาของ Sing Street แค่รู้ว่าเป็นหนังเกี่ยวกับเพลง โดยผู้กำกับ Once และ Begin Again ก็ทำให้ตั้งตาตั้งใจรออย่างใจจดใจจ่อได้แล้ว

พอเห็นโปสเตอร์แปะตามโรงหนังก็ดีใจ เมื่อได้เห็นตัวอย่างหนังก็ตื่นเต้น 

คงไม่ต้องบอกว่าหนังเข้าแล้วผมจะไปดูหรือไม่ไป

เป็นหนังที่เชียร์ให้ไปดูกันครับ นี่ไม่ใช่แค่หนังเกี่ยวกับเพลง หนังรัก หนังสนุก หนังระลึกวันวาน หรือหนังสร้างแรงบันดาลใจ... มันเป็นหนังที่ หนังที่... ยังไงดี? มันเป็นหนังที่ทำให้เรารู้สึกรัก 
ยิ่งชอบ Once หรือ Begin Again มาก่อน หรือชอบทั้งสองเรื่อง ยิ่งไม่ควรพลาด (แต่ถ้าขนาดนั้น เขาคงไปดูกันมาหมดแล้วมัง...)