วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

BOND ภาคใหม่ มาอีกแหล่ว (ก็แหง)

ในที่สุด เฮีย Bond, James Bond ก็จะกลับมาอีกแล้ว

ซึ่งนับไปนับมาก็เป็น Bond ปาไปตอนที่ 25 เข้าไปแล้ว และแม้ยังไม่มีการประกาศปฏิเสธ ตอบรับ อะไรยังไงว่า แดเนี่ยล เครก จะกลับมารับบทสายลับ 007 บอนด์ เต๊ะท่าซดมาตินี่ร์อีกหรือไม่? แถมจริงๆแกก็ยังเคยให้สัมภาษณ์ประมาณว่า "ถ้าผมต้องมารับบทบอนด์อีก ผมจะเจี๋ยนข้อมือตัวเองเลยซะดีกว่า" (ประมาณนะ ปัดเศษด้วย เท่าไหร่ก็ไม่รู้?) ตั้งแต่เมื่อช่วงก่อน Spectre จะเข้าฉายเมื่อ 2 ปีที่แล้วโน่น แต่หลายเสียงก็กล่าวว่ามันก็ดูเป็นอะไรที่ดีนะถ้า เครก จะกลับมารับบทบอนด์อีกซักตอน




สำหรับผมเองก็คิดว่าก็รับๆไปเถอะ เพราะด้านนึงเฮียก็ดูเข้ากับบทดี ส่วนใครที่ยังอาจจะชอบ บอนด์ มาดสำอางค์เนี๊ยบๆแบบ เพียซ บรอสแนนท์ ก็ช่างมัน บทนี้เขามาเป็นแบบนี้แล้ว เน้นถึก หน้าบึ๊ก ก็ให้ลุคนี้ไปก่อน
อีกด้านนึง แม้ผมจะไม่ชอบภาคที่แล้ว ดีที่มีนางเอกสุดสวยช่วยไว้ แต่ก็คิดว่าไหนๆ บอนด์ รีลุคครั้งล่าสุดนี้ก็ดูจะยังมีความเชื่อมโยงอะไรในชะตากรรมของ บอนด์ มาตั้งแต่ Casino Royale (ไล่มา Quantum of Solace, SkyFall และ Spectre ที่บอกว่าไม่ชอบ) เพราะงั้นไหนๆก็น่าจะพาบอนด์ไปเจอบทสรุปอะไรบางอย่างก็น่าจะดี ไหนๆก็เล่นใหญ่กันมาขนาดนี้แล้ว
นางเอกคนเดิมก็ดีฮะ แต่คิดว่าเขาก็คงไม่ทำแบบนั้น ยังไงก็ขอระดับทัดเทียมกันไว้ เผื่อกันคะแนนให้นางเอกได้ถ้ามันดันพลาดดูไม่หนุกขึ้นมาอีกก็แล้วกันฮะ (ใครเขาจะสนใจที่เอ็งพูด)

ระหว่างนี้ Metro-Goldwyn-Mayer กับ Eon Productions ก็คงยังมองหาสตูดิโอเจ้าใหญ่เงินหนาที่จะมาจัดจำหน่ายทำมาร์เก็ตติ้งกันไปก่อน ซึ่งสตูดิโอที่แสดงความสนใจก็มีทั้ง Warner Bros., Fox, Sony และก็ Universal แต่ก็มีวงในออกมาบอกว่า  Warner Bros. อาจจะมีภาษีกว่าชาวบ้านเขาอยู่หน่อยนึงในตอนนี้
แต่ยังไงซะ Metro-Goldwyn-Mayer กับ Eon Productions ก็ประกาศกร้าววันฉายไปก่อนแล้วว่าจะเป็น 8 พฤศจิกายน ค.ศ.2019 (อีก 2 ปีโน่น)

วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

The Rock vs Siri !!!

ไหนๆก็ไหนๆ  Nolan ก็ปะทะ Netflix ไปแล้วหมาดๆ
เรามาดู The Rock ปะทะ Siri กันมั้งดีกว่า (ความจริงน่าจะเรียกว่า featuring กันมากกว่า ปะทะ นา?)

ใน The Rock X Siri 

ใครสงสัยว่า Siri เป็นใคร และอยากรู้ก่อนจะดู ให้ลองถามโทรศัพท์ Android ของคุณดูครับ " Hey Google. Who is Siri?" ประมาณนี้ (ใครจะถาม Windows Phone ก็ไม่ผิดกติกา) ได้คำตอบแล้ว ก็เตรียมตัวไปดู The Rock X Siri  ได้เลยฮะ 



ภาพจาก Tweeter ของ Dwayne Johnson
(https://twitter.com/TheRock/status/889187172905103360)

แม้ทีมสร้าง Fast and Furious จะยืนยันว่า จะไม่พาแก๊งซิ่งไปอวกาศแน่นอน และทำให้แฟนๆหลายคนผิดหวัง (?) แต่! The Rock กับ Siri จะแท็คทีมกันไปได้ถึงไหน? ไปอวกาศได้หรือไม่??

เชิญติดตามชม



N vs N : Nolan vs Netflix กับอนาคตของสื่อชื่อ ภาพยนตร์

หลังจากที่ Netflix สร้างแรงสะเทือนให้วงการด้วยการให้ทุนสร้างภาพยนตร์แก่ผู้กำกับหลายคน กำกับงานที่น่าสนใจออกมา แต่จะฉายเฉพาะในบริการของ Netflix เท่านั้น ไม่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์หรือช่องทางอื่น

ซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมแก่วงการภาพยนตร์เมื่อหนังที่สร้างด้วยโมเดลนี้ ได้มีชื่อร่วมประกวดในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งแรงกระเพื่อมดังกล่าวก็ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับหลายฝ่ายมากมาย มีทั้งฝ่ายที่ตอบรับอย่างกระตือรือร้น และฝ่ายที่ออกมาแสดงท่าทีต่อต้าน ไม่เห็นด้วย อย่างเช่น ผู้กำกับ เปโดร อัลโมโดวาร์ (Pedro Almodóvar) (All about my Mother, Talk to Her, Bad Education, The Skin I Live in, I'm So Excited, Julieta เป็นต้น) ที่ออกมาคัดค้านเสียงแข็ง จนต้องมีการเขียนกติกาของภาพยนตร์ที่จะเข้าประกวดให้รัดกุมขึ้นในครั้งต่อๆไป (อย่างที่ได้เคยพล่ามไว้อีกที่ไปแล้ว)

Pedro Almodóvar


คนหนึ่งที่ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ ผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) ผู้กำกับขวัญใจของหลายๆคน นั่นเอง

Christopher Nolan

โดยเขาแสดงทรรศนะว่าการที่ภาพยนตร์มีฉายเฉพาะช่องทางของ Netflix เท่านั้น จะทำให้อรรถรสของการรับชมบนจอภาพยนตร์ใหญ่ๆลดลงไป ซึ่งแม้ไม่ได้เป็นความเห็นที่เกรี้ยวกราดอะไร แต่ก็อาจจะอย่างที่ข่าวที่ไปเห็นมาจาก Blognone กล่าวไว้ ว่าคงไม่มีชื่อ คริสโตเฟอร์ โนแลน ร่วมงานกับ Netflix แน่ๆ อย่างน้อยก็ในระยะอันใกล้นี้...

(ซึ่งจะว่าไปผู้กำกับอย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลน คงไม่เดือดร้อนอะไร จากสถานะของภาพยนตร์ที่เขากำกับ โดยเฉพาะเรื่องหลังๆที่แม้จะทุนสูง แต่ก็ทำรายได้สูงด้วย ขณะที่ผู้กำกับหลายคนก็ให้ความสนใจกับ Netflix ที่เป็นโอกาสและช่องทางหนึ่งที่จะแสดงวิสัยทัศน์และความคิดของเขาผ่านการออกมาเป็นภาพยนตร์ได้)

[ภาพยนตร์] THE GIRL ON THE TRAIN ปมหลอน รางมรณะ : รางหลอกหลอน



แบบสั้นๆ
เป็นอีกหนึ่งหนังที่แนะนำไว้ใน ป้ายหน้าหนังสยอง ครั้งก่อน (ซึ่งเพราะเขียนไว้นาน แล้วไม่ได้เขียนให้จบ ณ ตอนนี้ ครั้งก่อนก็มีความหมายประมาณอตีตกาล โบร่ำโบราณ ประมาณนั้น... ซึ่ง...ก็มีอีกทำนองนี้เก็บไว้อีกเพียบใช้ได้เหมือนกัน... จะดองอะไรไปถึงไหน) ซึ่งที่น่าสนใจมาก่อนก็คือนักแสดงนำอย่าง เอมีลี่ บลันต์ ตัวหนังเองมีต้นฉบับเป็นหนังสือฮิตในชื่อเดียวกัน ประพันธ์โดย พอลล่า ฮอว์กินส์ (Paula Hawkins) ในไทยก็มีฉบับแปลมาพักใหญ่ๆแล้ว โดย สนพ.โพสท์บุ๊ค

เมื่อได้ดูตัวอย่างหนังผ่านตา ก็คิดว่ายังน่าสนใจจะไปดู เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่ในขณะนั่งรถไฟ เธอเห็นอะไรบางอย่างที่ส่งผลให้เธอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่น่ากลัวเกิดขึ้น สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับทั้งอดีตสามีเธอกับครอบครัวปัจจุบันทั้งภรรยาและลูก ผู้หญิงที่เธอเห็นผ่านหน้าต่างรถไฟกับผู้ชายของเธอ เรื่องราวและปมชีวิตในอดีตของเธอที่ดูเหมือนเธอไม่อาจสลัดทิ้งได้ รวมไปถึง เรื่องราวดำมือน่ากลัวที่ดูจะกลายไปเป็นการฆาตกรรม...

เนื่องจากไม่เคยอ่านต้นฉบับ เลยไม่รู้ว่าเรื่องที่เลือกมาเล่าหรือปมและการคลี่คลายในหนังสือต่างจากในหนังบังไงบ้าง? และสำหรับเรื่องราวแบบรหัสคดีแบบใครกันที่ทำ?ที่ต้องยอมรับกันประมาณนึงว่าการเอาล่อเอาเถิดกับคนดูมีผลกับความน่าติดตามของเรื่อง และการเฉลยปมก็อาจต้องอาศัยทั้งความหนักแน่นน่าเชื่อถือและการช๊อคคนอ่านหรือคนดู

คิดว่า Girl on the Train เล่าเรื่องได้น่าติดตามพอสมควร โดยมีการแสดงที่แข็งแรงจาก เอมิลี่ บลันท์ สร้างตัวละครของเธอได้น่าสนใจ หนังเล่าตัดสลับเหตุการณ์หลายช่วง ซึ่งในด้่านหนึ่งก็ทำให้เรื่องน่าสนใจขึ้น ให้เราได้รู้จักตัวละครแต่ละคน ไปพร้อมๆกับการเปิดเผยเรื่องราวให้ผู้ชมรับรู้มากขึ้นๆ แม้จะรู้สึกอยู่บ้างว่า ส่วนนี้ในทางหนึ่งก็ทำให้หนังน่าสนใจ น่าติดตาม และในขณะเดียวกันก็เป็นการล่อหลอกคนดูไปด้วย แต่การตัดสลับก็ทำให้เนื้อเรื่องหลายส่วนติดตามยากขึ้นพอสมควร (เพราะหนังจะแสดงชัดเจนว่าเป็นเรื่องราวในอดีตช่วงไหน แต่ขณะที่ตัดกลับมายังเหตุการณ์ปัจจุบันหนังจะไม่ได้บอก ซึ่งบางครั้งก็ทำให้อารมณ์สะดุดบ้างเหมือนกัน แต่ถ้าจะต้องบอกกันทุกครั้งที่ตัดสลับก็ไม่แน่ว่าจะดี เพราะถ้ามากไปหรือจังหวะไม่โอเคอาจจะกลายเป็นน่ารำคาญไปได้เหมือนกัน) แต่เท่าที่หนังเล่า ถือว่าโอเคนะ แม้จะต้องจดจ่อกับเรื่องราวอยู่ซักหน่อย ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าวิธึการดำเนินเรื่องแบบนี้ต่างจากหนังสือไหม?

วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

In the place of 'George A. Romero'

แม้จะไม่ใช่คนที่สร้างคำว่า ซอมบี้ ขึ้นมา หรือกระทั่งไม่ใช่คนแรกที่นำเอาซอมบี้มาปรากฏตัวบนจอหนัง แต่ George A. Romero ก็ถูกนับถือเป็นประหนึ่งบิดาของหนังซอมบี้ ที่สร้างภาพของซอมบี้ให้มีรูปลักษณ์ที่ยังส่งอิทธิพลมาถึงหนังซอมบี้ยุคหลังๆ แม้หนังเรื่องแรกในไตรภาคตายแต่เป็น คือ Night of the Living Dead จะไม่ได้มีคำว่า ซอมบี้ หลุดออกมาด้วยซ้ำ หนังก็ประสบความสำเร็จ กลายเป็นหนังคัลท์ทันที และส่งอิทธิพลจนมีคนเรียกขานสิ่งที่ George A. Romero นำเสนอในภาพยนตร์เรื่องนั้นว่า ซอมบี้ ไปเองในตอนแรกๆ




เรื่องนึงที่จำได้ และก็เป็นสิ่งที่ยืนยัน ความมีอิทธิพล กับความเป็นซอมบี้ ที่มักปรากฏตัวในภาพยนตร์ก็คือ การที่ Capcom เลือก George A. Romero มากำกับภาพยนตร์โฆษณาของเกม Biohazard 2 (ชื่อดั้งเดิมของฉบับญี่ปุ่น) หรือ Resident Evil 2 (สำหรับชื่อของฝั่งยุโรป อเมริกา) ซึ่งผู้สร้างก็บอกไว้ว่า ภาพยนตร์ซอมบี้ของ George A. Romero เป็นแรงบันดาลใจของเกม Biohazard ซึ่งหลังออกวางจำหน่ายในยุคเครื่อง PlayStation เกมก็กลายเป็นปรากฏการณ์ (แม้ในตอนที่มีการผลักดันเกมเป็นภาพยนตร์ ดูเหมือนว่า Capcom จะปฏิเสธ script ของ George A. Romero เพราะมีรายละเอียดและภาพลักษณ์ต่างจากตัวเกม และ Capcom กลัวว่าจะไม่ดึงดูดผู้ชมและอาจทำให้แฟนเกมถอยห่าง - ซึ่งก็ให้สงสัยอยู่บ้างว่าตกลง หนัง Resident Evil ภาคแรกนี่ ก็คือเหมือนเกมขนาดนั้นเลยนะนี่?)

อย่างไรผมก็อยากดูภาพยนตร์ซอมบี้ที่ George A. Romero จะกำกับอยู่ดี แม้จะไม่ได้ผ่านตาหนังทุกเรื่องของ George A. Romero กระทั่งในตระกูลหนังซอมบี้ก็ตาม และแม้ทุกวันนี้หนังซอมบี้ของ George A. Romero จะไม่ได้เป็นหนังซอมบี้ที่ทำเงินในระดับหัวแถว แต่เท่าที่ได้ดูมาผมก็มักมีองค์ประกอบที่รู้สึกทึ่งในหนังซอมบี้ของ George A. Romero ทุกเรื่องที่ได้ดู ผมจึงรอคอยหนังซอมบี้ของ George A. Romero อยู่เสมอ

จนกระทั่งวันนี้...

ผมเองแม้จะได้รับรู้เสียงเล่าลือถึงกำเนิดตระกูลหนังซอมบี้ ถึง Night of the Living Dead มาบ้าง ตั้งแต่นมนานมาแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ดู ครั้งแรกที่ได้ดูหนังที่เกี่ยวข้อง คือ ได้ดู Night of the Living Dead ฉบับรึเมก ของปี ค.ศ.1990 กำกับโดย Tom Savini ครั้งแรกที่ซื้อมาก็คิดเอาว่าเป็นฉบับที่ George A. Romero กำกับ พอเปิดดูเห็นเป็นภาพสี ด้วยความที่รู้มาว่า Night of the Living Dead ฉบับ George A. Romero นั้นยังเป็นหนัง ขาว-ดำ อยู่เลย (และส่วนหนึ่งที่ภาพยนตร์สั้นๆนำเรื่องใน Biohazard ภาคแรก เป็นขาว-ดำก็เพราะต้องการสื่ออิทธิพลจากหนังเรื่องนี้ด้วย) ก็คิดว่า เอ๊ะ ไม่ใช่ละ เสร็จล่ะตรู แต่ก็นั่งดูไป จนจบ ก็พบว่า เฮ้ย นี่มันเจ๋งดีนี่ คือแม้หนังจะไม่ได้มีสตอรี่หรือโครงเรื่องที่ซับซ้อน แต่ก็รู้สึกว่ามันวางแต่ละอย่างมาดีมาก รู้สึกว่ามันอิมแพ็คได้ทั้งที่ซอมบี้ก็ไม่ได้วิ่งเร็วปรูดปราดอย่างใน 28 Days Later ด้วยซ้ำ (ตอนนั้นเป็นสมัยหลังจากที่ได้ดู 28 Days Later ตอนเข้าโรงไปแล้ว แม้จะมีภาพซอมบี้จากหนังเรื่องอื่นๆมาบ้าง แต่ 28 Days Later ก็ได้รับคำชื่นชมในแง่ที่นอกจากสามารถถ่ายภาพลอนดอนร้างได้ (ทั้งที่ไม่ได้สั่งปิดเมืองเขา) ด้วยเทคโนโลยีดิจิตอลที่เพิ่งเริ่มมีบทบาทอย่างสำคัญทั้งในด้านของทุนหรือการถ่ายทำ แล้ว อีกเรื่องที่ได้รับคำชื่นชมคือการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของซอมบี้ มาเป็นวิ่งเร็วปรูดปราด - ซึ่งด้วยเหตุผลบางอย่าง ผมไม่ได้ชอบ 28 Days Later เท่าไหร่ - ชอบ 28 Weeks Later มากกว่าซะอีก) ตอนนั้นก็คิดว่ามันเจ๋ง จนสงสัยใคร่รู้ว่าหนังต้นฉบับที่เขาว่ากันว่า คลาสสิค นั้นจะดีขนาดไหน ก่อนจะพบในเวลาต่อมาว่า เฮ้ย ฉบับรีเมกที่กำกับโดย Tom Savini มือเอ็ฟเฟ็คท์ในหนังหลายเรื่องของ George A. Romero ที่เราได้ดูเป็นหนังที่ได้รับคำวิจารณ์ไม่ดีนัก ทั้งที่เราคิดว่ามันเจ๋งมาก คำวิจารณ์บ้างก็กล่าวว่า มันดู'คล้าย'กับต้นฉบับซะจนถ้าจะต้องดูทำไมต้องดูมันทั้งสองเวอชั่นล่ะ? จนทำให้ยิ่งอยากดู Night of the Living Dead ต้นฉบับปี ค.ศ.1968 มากขึ้นไปอีก

Night of the Living Dead รีเมก ค.ศ.1990 กำกับโดย Tom Savini

Night of the Living Dead (ค.ศ.1968)

แต่ Night of the Living Dead ก็ไม่ใช่หนังหาดูง่ายนักในตอนนั้น (สำหรับผม)

แม้ด้วยเนื่อเรื่องที่ดำเนินในพื้นที่จำกัด ทั้งยังไม่มีการอธิบายต้นสายปลายเหตุของเหตุการณ์ 'ระบาด' ชัดเจน แต่ Night of the Living Dead ยังสามารถใช้พื้นที่เหล่านี้แสดงศักยภาพออกมาได้อย่างน่าตื่นเต้น
ในสมัยหลังออกฉาย Night of the Living Dead กลายไปเป็นทั้งหนังคัลท์ และหนังคลาสสิค ส่งอิทธิพลแก่โลกภาพยนตร์มากมายและกว้างไกล แต่หนังเรื่องนี้ยังมีปัญหาด้านลิขสิทธิ์ที่ไม่ชัดเจน จนทำให้ลิขสิทธิ์เปลี่ยนมือ และหนังแตกออกเป็น 2 สาย ในหนังซอมบี้เรื่องต่อมาของ George A. Romero ไม่ได้ใช้คำว่า Living Dead ในชื่อภาพยนตร์ได้ และอีกด้านหนังตระกูล The Return of the Living  Dead ที่มีโทนไปเป็น Horror Comedy (ทั้งยังสร้าง Gimmick ให้ตระกูลหนังซอมบี้เช่นกัน) ก็มีภาคต่อตามมาอีกหลายภาค

ทั้งในเรื่องของลิขสิทธิ์  Night of the Living Dead ด้วยปัญหาแต่แรกเริ่มในการแสดงลิขสิทธิ์ของผู้จัดจำหน่าย ทำให้สุดท้ายหนังก็กลายมามีสถานะเป็น public domain (แบบเป็นของสาธารณะ ใครก็สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้) ทำให้ Night of the Living Dead  เป็นหนังที่ถูก remade ใหม่มากมายหลายรูปแบบและหลายเวอชั่น ทั้งใส่สี ทำเป็น 3D (น่าจะแบบแว่น น้ำเงิน-แดง) ตัดต่อใหม่อีกไม่รู้กี่สิบเวอชั่น เป็นต้น

ถึงมีคราวที่เฉียดๆจะได้ดู แม้ปัจจุบันผมก็ยังไม่ได้ดู Night of the Living Dead ต้นฉบับ อย่างที่ตั้งใจ
แต่หนัง Night of the Living Dead ก็กระจายอยู่ทั่วไปตาม internet

ผมก็ยังตั้งใจจะนั่งดูมันอย่างตั้งใจซักครั้ง

วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

30ปี METAL GEAR




เกมในตำนานตระกูลหนึ่งที่สร้างตำนานมากมาย ทั้งเกี่ยวกับตัวเกมและไม่เกี่ยว Metal Gear ภาคแรกออกวางตลาดในปี ค.ศ.1987 โดยค่าย Konami สำหรับเครื่อง MSX2 โฮมคอมพิวเตอร์โดยไมโครซอฟท์ที่ค่อนข้างได้รับความนิยมในญี่ปุ่นในยุคสมัยนั้น



ตัวเกมอาจจะต่างจากแอ็คชั่นสะบั้นแหลก ซึ่งมีอยู่ทั่วไป ตรงที่เป็นเกมแบบลอบเข้าไปปฏิบัติภารกิจ stleath action แม้ Metal Gear จะไม่ใช่เกมแรกที่มีลักษณะการเล่นในแบบ ลอบปฏิบัติการ แต่มันก็เป็นเกมที่มีคอนเซปท์และดีไซน์เด่นชัดที่สุดในแนวทาง stleath action ในยุคสมัยของมัน เกมออกแบบและกำกับโดย ตำนานเมพ ฮิเดโอะ โคจิม่า เกมถูกพอร์ทมาบนเครื่อง Famicom และ NES ในปีเดียวกัน เกมที่ออกวางจำหน่ายบนแต่ละเครื่องมีผลตอบรับที่ดีจนมีการวางจำหน่อยภาคต่อของทั้งสองสาย ในปี ค.ศ.1990 Metal Gear 2: Solid Snake บน MSX2  ถูกนับว่าเป็นภาคต่ออย่างเป็นทางการของ Metal Gear ภาคแรก ตัวเกมยังมี ฮิเดโอะ โคจิม่า เป็นผู้กำกับ ในขณะที่ Snake's Revenge ฮิเดโอะ โคจิม่า ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงแต่อย่างใด แม้จะพัฒนาโดยทีมงานญี่ปุ่น แต่ตัวเกมออกวางจำหน่ายเพียงโซนอเมริกาและยุโรปบน NES เท่านั้น

หลังจากนั้นซีรี่ส์ Metal Gear ก็หายตัว stleath ไปร่วม 8ปี...
ไม่มีโผล่แม้กระทั่งบนเครื่องเกมยอดฮิตของยุคสมัยนั้นอย่าง Super Famicom / SNES

จนการมาถึงของเครื่องเกมสุดฮิตของ Sony นามว่า PlayStation
Metal Gear ก็กลับมาโดยผู้ออกแบบ/กำกับคนเดิม ฮิเดโอะ โคจิม่า ใน Metal Gear Solid ซึ่งออกวางจำหน่ายในปี ค.ศ.1998

วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

[ภาพยนตร์] PIRATE OF THE CARIBBEAN - DEAD MAN TELL NO TALES สงครามแค้นโจรสลัดไร้ชีพ : ใครๆก็ไม่รัก แจ็ค (สแปโรว์) แมร่งแค้นกันอย่างเดียว!



แบบสั้นๆ

เมื่อก่อนนั้นผมเคยคิดว่าแบบนี้ "ไตรภาค The Matrix เป็น ภาพยนตร์ไตรภาคที่เจ๋งดีมาก แม้จะไม่ค่อยเชื่อว่า พี่น้องผู้กำกับจะตั้งใจทำเป็นไตรภาคแต่แรก และแม้มันจะมันส์และเท่ไม่เท่ากัน แต่ความแตกต่างในแต่ละภาคทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็นภาพยนตร์ไตรภาคที่น่าสนใจและกล้าหาญ อย่างไรก็ตามผมก็ค่อนข้างพอใจแล้วที่เรื่องราวของหนังจบลงตรงแถวๆนี้ คือถ้ามี The Matrix ภาคใหม่ออกมาอีกก็ไม่อยากจะดูแล้ว ในขณะเดียวกันภาพยนตร์อีกไตรภาคที่นึกไปถึงพอนึกถึง The Matrix ที่สนุก เอนเตอร์เทน ได้ใจอีกหนึ่งนั้น คือ การผจญภัยของพ่อกัปตันบ้าๆยวนๆ แจ็ค สแปโรว์  ใน Pirates of the Caribbean นั้นแม้ไตรภาคที่จบไปนี้ก็ดูมีเรื่องราวสมบูรณ์ลงตัวในแบบของมันแล้ว แต่ถ้าจู่ๆเขาจะยังทำการผจญภัยของพ่อบ้าบอกัปตัน แจ็ค สแปโรว์ ออกมาอีก ผมก็ยังอยากจะไปดูว์ว์อีก"

ก็ตอนนั้นก็คิดแบบนี้ล่ะครับ...

แน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ความบ้าๆบอๆยวนๆกวนๆของ แจ็ค สแปโรว์ คือหนึ่งในไอคอนและความสนุกสนานบันเทิงใจของหนังชุดนี้ ว่าไปก็เรียกว่าเป็นหัวใจของหนังได้ด้วยซ้ำ

ความจริงแล้วตอนดู Pirates of the Caribbean ภาคแรก ด้วยเสียงลือเล่าอ้างว่ามันเจ๋งมากชนิดมาพลิกฟื้นคำสาปหนังโจรสลัดที่ก่อนนั้นมักจะเจ๊งกันเละ (แถมยังมีโมเดลความหวังใหม่ให้ดิสนี่ย์ที่เอาของเล่นในดิสนี่ย์แลนด์มาสร้างก็ดังเละเทะได้เฟร้ย!) ทั้งที่ทุนทำก็ต้องใช้เยอะมาเนรมิตร เรือ สมบัติ ดาบ คอสตูม ปืนใหญ่ นกแก้ว ฯลฯ โน่นนี่ กลับมาได้คำวิจารณ์ดีมากแถมทำเงินทำทองถล่ม แต่ตอนไปดูครั้งแรกไม่รู้ทำไมผมดันรู้สึกว่ามันก็ไม่สนุกจัดเต็มขนาดนั้นนะ มีจุดจับผิดเอาแต่ใจเล็กน้อยเรื่องมากอยู่นิดๆหน่อยๆ (อารมณ์ประมาณเดินเข้าโรงไปดู Transformers แต่กะว่าต้องได้อารมณ์เหมือนดู Schindler's List ไรงี้ อันนั้นก็เกินไป...) ทั้งที่รู้สึกว่า จอห์นนี่ เด็ปป์ เจ้าของบท แจ็ค ก็บร๊าบร้าดี

แต่เอาเข้าจริงตอนภาคสอง  Dead Man's Chest เข้า พอรู้สึกว่าควรไปดูภาคแรกทวนซักหน่อย คราวนี้ดันรู้สึกสึกว่า อ่าว มันก็ออกจะสนุกสนานบันเทิงเอนเตอร์เทนดีออกนี่ (อ่าว เอาอีกแล้วเอ็ง เวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน...) เพราะงั้นตอนไปดูภาคสอง คราวนี้เราก็รู้สึกว่ามันบันเทิงเป็นที่ยิ่ง สนุกสัสๆ จน...ไปสะดุดกับหนังอีกแล้วในช่วงท้าย... (เอ็งจะดราม่าอะไรกันนัก)

ตรงนี้เราจะไม่อะไรกันมาก เพราะนี่ก็ยังไม่เข้าเรื่อง Dead Man Tell No Tales เลย มันก็ทำท่าจะยาวอีกแล้ว ทั้งที่ก็บอกว่าจะเขียนสั้นๆ เอาเป็นว่าสรุปพอดูจบไตรภาคผมก็รู้สึกว่ายังเอนเตอร์เทนกับหนังชุดนี้มากๆ ไอที่เคยขุ่นเคืองอะไรตอนดูภาคแรก ภาคสอง ก็ถือว่าหายๆกันไป เพราะจริงๆมันก็สนุกดีนี่หว่า จบแล้วเราก็นับว่าพอใจมั่กๆ

เพราะงั้นอย่างที่บอกว่าถ้าเฮีย แจ็ค แกจะกลับมาอีก เราก็จะรู้สึกกระตือรือร้นที่จะไปดูเป็นที่ยิ่ง

หลังจากนั้นผ่านมาซักพัก ผ่านมาซักพัก เขาก็กลับมาจริงๆ (ก็แหง ได้ตังค์ไปขนาดไหนล่ะดิสนี่ย์)
ใน Pirates of the Caribbean : On Stranger Tides

(แล้วเมื่อไหร่จะเข้าเรื่อง Dead Man Tell No Tales ละฟ้อยย)

วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

อหังการ NETFLIX กับอนิเมชั่น AKUMAJOU DRACULA สู่ซีซั่น 2 กับสัพเพเหระ และผู้สืบทอดตำนานพิฆาตมาร

ความจริงก็ดูเป็นเรื่องงงๆเล็กน้อย ที่ ปราสาทมารแดร็กคูล่า หรือ Akumajou Dracula ซีรี่ส์เกมชื่อดังของค่าย Konami ที่ในช่วงนี้กระแสเกมก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ในที่สุดก็ได้กลายมาเป็นอนิเมชั่นซีรี่ส์โดย Netflix และผลตอบรับก็ดีใช่ย่อย จนมีการประกาศสร้างซีซั่น 2 ตามมาแล้ว

นอกจากนั้นอาจเพราะประสบความสำเร็จกับคอนเซ็ปท์นี้ใช่น้อย Netflix ยังมีแผนประกาศสร้างอนิเมชั่นจากเกมอื่นตามมาอีกต่างหาก เกมๆนั้นคือ บัญญัตินักลอบสังหาร อย่าง Assassin's Creed (แม้จะมีหนัง Live-Action ที่แป๊กไปก่อนหน้านั้นก็ตาม - ซึ่ง..เราก็ยังไม่ได้เขียนถึงตามโพยฮะ) นั่นเอง

และนอกจาก ณ ตอนนี้ยอดสมาชิก Netflix ยังแซงยอดสมาชิกเคเบิ้ลทีวีในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกแล้ว  อหังการอย่าง Netflix ยังมีแผนจะปล่อยอะไรที่ชาวบ้านทั่วไปเขาไม่ทำกันอย่างการมีแผนสร้างภาพยนตร์ Interactive ที่ให้ผู้ชมเลือกได้ว่าเรื่องจะดำเนินไปทางไหน!? น่าจะคล้ายกับการ์ตูนเลือกทางเดิน(แลกได้จากผลิตภัณฑ์อะไรซักอย่างสมัยก่อน ใช่โฟร์โมสต์สมัยยังทำไอติมไหม?)สมัยก่อน นิยายเลือกทางอะไรแบบนั้น (ตรงนี้ใครยังนึกไม่ออก หรืออยากหามาเล่นใหม่ ขอแนะนำให้ไปหา การ์ตูนไทย ชมรมวารสารตำนานสถาบัน (ผู้เขียน เจ้าหนูข้าวจี่ ทำไมรีบจบบบ - ยังไม่ได้เขียนถึงทั้ง 2 เรื่อง แต่ไม่ต้องรอดอก ซื้อหามาอ่านเลย สนุก!) เป็นการ์ตูนแก๊ก4ช่อง(เป็นส่วนใหญ่ 92.385%)อ่านสนุกสนาน ขณะนี้ออกมา 3 เล่มแล้ว (รอเล่มต่อไปอยู่เน้อ) ท้ายทุกเล่มจะมีเซกชั่นสไตล์ที่ว่าให้เล่นฮะ ซื้อมาก็อย่าเพิ่งเปิดไปเล่น อ่านมาแต่ต้น เล่นเมื่อจบเล่มจะได้อรรถรสยิ่ง)  เอาเป็นว่าแม้ไม่รู้มันจะสนุกหรือไม่? (อย่างลองนึกถึงหนังแบบ Inception เลือกให้โทเทมหมุนตลอดกาลไปเล้ยย หรือ แบบ Titanic เลือกให้เรือไม่ชนภูเขาน้ำแข็ง เรือเล่นเข้าฝั่งทุกคนปลอดภัย จบ. เอ็งอยากดู แจ็ค กับ โรส หนีตามกันล่ะซิ!) เราก็รอดูกันไปก่อน

แถมในวงการวงวารภาพยนตร์ Netflix ก็พาภาพยนตร์ลงตังค์สร้างเองไปเดินประกวดในพรมแดงคานส์ (งานเดียวกับที่คุณชมพู่ไปฮะ อันนี้ไปในสายประกวด) อย่าง  Okja ของ ผกก.บองจุนโฮ (ผู้กำกับ Snowpiercer) และ The Meyerowitz Stories ของ ผกก.โนอา บอมบัค ซึ่งพอเข้าสายประกวดไปแล้วก็มีดราม่าใหญ่โตใช่ย่อย ค่าที่ Netflix ก็ไม่ได้ตั้งใจส่งหนังออกตังค์เองทั้งสองเรื่องนี้ลงจอฉายในโรงภาพยนตร์ แต่ได้รับเชิญเข้าสายประกวด ร้อนถึงกระทั่งผู้กำกับอย่าง เปโดร อัลมาโดวาร์ ออกมาประกาศกร้าวว่าจะไม่มอบปาล์มทองให้สองเรื่องนี้เด็ดขาดด จนมีการตั้งกฏของหนังเข้าประกวดที่คานส์ให้ชัดเจนเพิ่มขึ้นอีกในปีต่อไปเลยทีเดียว (ลองอ่านดูเป็นน้ำจิ้มได้ ที่นี่) ซึ่งขณะที่หลายคนมองอย่างกังขาจริงๆ หลายคนก็มองว่านี่เป็นช่องทางอีกหนึ่งที่เกิดขึ้นและผู้กำกับสามารถถ่ายทอดผลงานของตนออกมาได้ Okja ตอนนี้ก็มีโฆษณาให้เห็นในโซเชียลเต็มไปหมดแล้ว ใครเป็นสมาชิก Netflix อยู่แล้วก็ลองไปหาดูกันได้ฮะ (ส่วนผมไม่ใช่เน้อ แต่ก็อยากดู Okja มากก เหตุผล แค่ชอบ Snowpiercer มากก นี่ก็มากกว่าพอแล้วว)

โปสเตอร์หนัง Okja
เขียนเกี่ยวกับ Akumajou Dracula ...รูปแรกเป็น Okja
ไม่เกี่ยวอะไรกันเลยซะงั้น... 

แต่เนื่องจากในบทความนี้เราตั้งใจจะพูดถึงอนิเมของ Akumajou Dracula เป็นหลัก เรื่องอื่นก็เอาไว้เท่านี้แหละ ไว้ไปลองตามอ่านต่อกันเองนะฮะ (ยังจะกล้าพูดนะ...)

วันเสาร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

[ภาพยนตร์] ALIEN - COVENANT เอเลี่ยน โคเวแนนท์ : ผ่าปริศนาเอเลี่ยน!




ก็เป็นแฟน ALIEN ครับ ไม่ว่าจะเป็นด้วยความดีของภาพยนตร์ต้นกำเนิดภาคแรกๆ (ALIEN กับ ALIENS นี่คงไม่ต้องสาธยาย ซึ่งเอาจริงๆ ALIEN 3 นี่ก็ยังเห็นว่าโอเคนะ แม้มันจะดูเป็นภาคที่ 'หัก' หลายๆอย่างไปจากเรื่องราวก่อนหน้า แถมมันก็อาจจะเอาชนะความคาดหวังของภาคสุดบู๊อย่าง ALIENS ได้ยากอยู่) หรือจะแค่ดีไซน์ของ 'เหล่า'ALIEN ทั้งหลายก็ตาม

ซึ่งดีไซน์ของ เอช.อาร์.ไกเกอร์ นี่มันก็ช่างสมกับการเป็นไอตัวร้ายในอวกาศจริงๆ 

ความจริงแม้จะปวารณาตัวเป็นแฟนๆ ส่วนตัวก็ไม่ได้คาดหวังเลยกับการที่จะมีหนังซักเรื่องมาเล่าถึงเรื่องที่มาที่ไปของเจ้าวายร้ายเผ่าพันธุ์นี้ 

แต่ในเมื่ออีกทางจู่ๆผู้กำกับ ริดลี่ย์ สก๊อต (Ridley Scott) ซึ่งผมก็ถือตัวว่าเป็นแฟนภาพยนตร์ที่แกกำกับคนนึง ทั้งที่ก็มีหนังของแกที่ชอบ ไม่ชอบ เฉยๆ ปนๆกัน แต่นอกจากหลังๆที่รู้สึกว่า เฮ้ย แกอายุตั้ง 70 กว่า 80 แล้วยังมีเอเนอจี้ทำหนังขนาดนี้! นับถือ (ร่วมกับผู้กำกับอย่าง คลินท์ อีสต์วู๊ด หรือ วูดีี้ อัลเลน และอีกหลายท่านซึ่งคงมีโอกาสได้กล่าวถึงต่อไป) และหนังที่ชอบหลายเรื่องก็จะเป็นระดับชอบมากไปเลย (อย่าง THE MARTIAN นี่ก็โคดชอบ ส่วนตัวชอบหนังเรื่องนี้ในระดับเดียวกับ MAD MAX : FURY ROAD ในปีเดียวกันเลยทีเดียว - จริงๆเฮีย จอร์จ มิลเลอร์ นี่แกก็เป็นรุ่น 'เก๋า' เหมือนกันนี่ฝ่า! อย่าไปลืม)! และโดยเฉพาะแกเป็นผู้กำกับผู้ให้กำเนิด ALIEN บนจอภาพยนตร์ แกก็เกิดอยากจะกำกับภาพยนตร์ภาคก่อนของภาพยนตร์ตำนานเรื่องนี้ ซึ่งก็ปรากฏออกมาเป็นภาพยนตร์เรื่อง PROMETHEUS  

ซึ่ง ALIEN : COVENANT ก็เป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวหลังจากเรื่องราวที่เกิดใน PROMETHEUS นี่แหละครับ

เพราะงั้นในการกล่าวถึง ALIEN : COVENANT ก็คงจะมีการพาดพิงไปถึง PROMETHEUS ด้วยอย่างช่วยไม่ได้ 


แบบยาวๆ(แต่ก็ไม่ค่อยรู้อะไร - -)

อย่างที่บอกครับว่าจริงๆแม้จะเป็นแฟนไอตัวร้ายหน้าตาสุดบรรยายพวกนี้ แต่จริงๆก็ไม่ได้คาดหวังกับการต้องมีภาคก่อน (ตามสมัยนิยม?) มาเล่าเรื่องราวของเจ้าพวกนี้ ตอนที่มีประกาศทำ PROMETHEUS ยังรู้สึกอยู่เลยว่ามันจะดีเร้อ (กลัวแป้ก) แม้ว่าจะโดยมือของผู้กำกับ ริดลี่ย์ สก๊อต ก็ตาม

ก็เข้าใจว่าผู้กำกับ ริดลี่ย์ สก๊อต แกอาจจะออกแนวอยากล้างไพ่ การดำเนินไปของแฟรนไชส์นี้อยู่หน่อยกระมัง? เพราะในภายหลังหนังอย่าง AvP (ALIEN vs PREDATOR) ทั้ง 2 ภาค ที่พยายามต่อยอดแฟรนไชส์โดยการเอาสองตัวประหลาดต่างดาวหน้าตาสุดบรรยายในตำนานภาพยนตร์มาเจอกัน แม้ไอเดียจะดูดีน่าสนใจ แต่มันก็พาเอาทั้งสองชื่อเข้ารกเข้าพงไปใช้ได้เหมือนกัน (ภาคแรกยังพอโอเค ดูพอเพลินๆ ภาคสองนี่ตัวอย่างดูน่าสนดี เอาจริงตอนไปดูเกือบหลับ - - ไม่รู้ทำไม? - แต่จริงๆก็น่าสนใจว่าด้วยคอนเซ็ฟท์นี้ถ้าได้บทเจ๋งๆผู้กำกับเก๋าๆหน่อยมาทำมันก็น่าสนใจเหมือนกันนะ) ซึ่งในช่วงหลังๆบรรยากาศของหนังแถวๆนั้นก็ต่างไปจากภาคแรกมาก จนคนดูที่ชินกับภาคหลังๆนี่ก็ไม่แน่ใจว่าจะรู้สึกยังไงถ้ากลับไปดูภาคแรก

ซึ่งภาคแรกนั้นส่วนใหญ่จะเป็นสร้างบรรยากาศความลึกลับกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ก่อนจะปล่อยเจ้ามฤตยูร้ายออกมาอาละวาดกันในช่วงท้าย

ซึ่งบางคนอาจจะไม่ชอบ (อาจจะหลับไปก่อนแล้ว) แต่ผมนั้นชอบมาก เทียบกันตัวๆก็ชอบ ALIEN ภาคแรกในการกำกับของ ผกก. ริดลี่ย์ สก๊อต มากกว่า ALIENS สุดบู๊ด้วยฝีมือ ผกก.คิงออฟเดอะเวิร์ล เฮีย เจมส์ คาเมรอน อยู่หน่อยเอาด้วย

เพราะงั้นไม่ว่าเราจะกังวลกังขากับการมาของ PROMETHEUS ยังไง พอหนังเข้าเราก็ไปดูอยู่ดี แม้จะไม่รู้ว่าเรื่องราวของมันจะเกี่ยวกับ ALIEN มากแค่ไหน? เพราะในตัวอย่างหนังก็ไม่เห็นไอเจ้าวายร้ายโผล่มาเลย

ซึ่งก็พบว่าผมก็ชอบหนังครับ ชอบมากพอควรเลย หนังจะมีบรรยากาศใกล้กับ ALIEN ภาคแรกที่กล่าวไปมากกว่า คือหนังจะไปทางเน้นบรรยากาศกดดัน ความน่ากลัวจะเกิดจากบรรยากาศและจังหวะของหนัง ไม่ใช่การสร้างความกลัวด้วยการโยนฉากดุเดือดมาเป็นชุดๆเท่าไหร่ เป็นจุดที่ค่อนข้างชอบ รวมไปถึงดีไซน์ของหนังด้วย  

สิ่งที่ค่อนข้างชอบเป็นส่วนตัวกับหนัง PROMETHEUS อย่างนึงก็คือ คิดว่ามันมีความเฉพาะตัวที่ไม่ 'เอเลี่ยน' นักอยู่เยอะเอาการ และการเล่าของหนังแม้จะเป็นรูปรอยเดียวกัน แต่มันก็ไม่ได้จะไปก๊อปเอาภาคแรกของเอเลี่ยนมาขนาดนั้น ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพราะใน เอเลี่ยน ซิกเนเจอร์ ของเจ้า เซโนมอร์ฟ ก็ค่อนข้างชัด แทบจะเป็นหัวใจของหนังในจตุรภาคแรก (อีกขั้วก็คงเป็น ริปลี่ย์ โดย ซีเกอร์นี่ วีเวอร์ และตัวละครซิกเนเจอร์อีกจำนวนหนึ่ง) ซึ่งในขณะที่สร้างความอกสั่นขวัญแขวนได้อย่างไม่มีไอตัวประหลาดหน้าสุดบรรยายตัวไหนจะมาต่อกรด้วยได้ง่ายๆ ไหนจะมีปากยืดได้ ไหนจะเลือดเป็นกรด ไหนจะมีไอเจ้าเฟซฮักเกอร์ ฯลฯ มันก็มีรูปแบบเฉพาะตัวที่ว่าไปผู้กำกับผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายก็นำไปเล่นกันสนุกมือมาไม่ใช่น้อย คือมีรูปแบบเฉพาะประมาณหนึ่ง 

เพราะฉะงั้นเมื่อใน PROMETHEUS ไม่ได้พึ่งพาการปรากฎตัวของเจ้าเซโนมอร์ฟนี่มาเป็นแกนกระดูกของหนัง มันจึงมีความแตกต่าง จนอาจเรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของหนังที่ไม่จำเป็นต้องส้รางด้วยไอเจ้า เซโนมอร์ฟ ได้อย่างน่าสนใจ รวมไปถึงดีไซน์ของหนังก็ฉีกออกไปจากดีไซน์ทั่วๆไปของเอเลี่ยน และออกมาสวยงามและน่าสนใจดีด้วย 

ด้านหนึ่งก็อาจเป็นเพราะเรื่องราวของหนังซึ่งทีแรกก็เป็นส่วนที่น่ากังวลกังขา ว่าที่นอกจากจะไปเล่าเรื่องในตอนก่อน เอเลี่ยน ภาคแรกแล้ว มันจะเล่าไปถึง กำเนิดมนุษย์ อะไรไปโน่นเลย! ซึ่ง พอไปดูจริงๆ มันก็ไม่ใช่ปัญหาอีกแหละ เพราะความจริงผมก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องอะไรตรงนั้นเท่าไหร่ อยากเล่าอะไรก็เล่าไป - - ถ้ามันไม่ได้ 'ไปไม่เป็น' หรือ 'ไม่รู้พาไปไหน' จนเรางงงวยไปแทนที่จะติดตามเรื่องราวของหนัง (และความสยองประดามี ที่มันต้องมีนะเซ่ อยู่แล้ว) หนังก็เล่าให้มีเรื่องราวหลอกล่อได้น่าสนใจดีเหมือนกัน แม้ว่าจริงๆแล้วเราจะรู้สึกเหมือนไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากนักเท่าไหร่ก็ตาม - - 

แต่เอาเป็นว่า ในเมื่อทีแรกก็มีลุ้นอยู่บ้างเพราะก็สงสัยตะหงิดๆว่าจะไปฟื้นฝอยหาต้นตอไอเจ้าเผ่าพันธุ์เอเลี่ยนเซโนมอร์ฟนี่มาทำไม แล้วมันจะเวิร์คจริงเร้อ กลายเป็นว่าด้วยความที่มันก็มีรสชาติเรื่องราวต่างไปจากหนังเอเลี่ยน ที่โดยปกติมักจะวนอยู่รอบๆชะตากรรมที่ต้องกรีดร้องในอวกาศอยู่พอควร ทั้งเรื่องราวความลึกลับที่ใส่ไว้ พร้อมด้วยดีไซน์ที่เข้าท่า ได้เห็นอะไรที่แปลกตา(ไปพร้อมกับอะไรที่คุ้นๆกันอยู่ และยิ่งเป็นสัญลักษณ์ของเอเลี่ยนภาคแรกอีก) และจังหวะหนังที่กดดันกันด้วยบรรยากาศ นี่ก็กลายเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่ดูจบแล้วก็เดินออกจากโรงได้พร้อมความพอใจ 

แม้ว่า เรื่องราวหลายรายละเอียดที่ใส่มา ยังดูจะห่างไกลกับการที่บอกเล่าให้เราทราบหรือเข้าใจที่มาที่ไปของทั้งเผ่าพันธ์ุเอเลี่ยน หรือเผ่าพันธุ์มนุษย์ อยู่อีกหลายช่วงก็ตาม...

ทิ้งเอาความลึกลับประดามีหลายอย่างให้คงคละคลุ้งไปกับการเปิดเรื่องราวใหม่ที่เกี่ยวพันธุ์กับเจ้าอสูรกายเผ่าพันธุ์นี้ไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้

และสิ่งเหล่านี้ก็รับสืบทอดมายัง เอเลี่ยน โคเวแนนท์ ด้วย...

วันพุธที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2560

[เกม] ใครเบื่อ Pokemon Go ใครรักเจ้าคาร์ปตาโปนใน Pokemon Go (หรือไม่Goก็ได้) มาล่าปลาง่อยไปกระโด๊ดด ใน Magikarp Jump กันดูป่าว!

คราวนี้ขอเปิดเกมรุกเกมมือถือมั้ง! เกมจาก Pokemon Company (ซึ่งเป็นคนละเจ้ากับที่ทำ Pokemon Go นะฮะ อันนั้น Niantic Labs ซึ่งเคยผลิตเกม Augmented Reality ในตำนาน อย่าง Ingress เป็นผู้ซื้อไลเซนส์ Pokemon จาก Nintendo ไปผลิต)

ภาพจาก bulbapedia.bulbagarden.net



กับเกม Pokémon: Magikarp Jump
ไปไล่จับ(ตก?)เจ้า Magikarp เอามาฝึกฝนๆๆๆ แล้ว เอามันไป อืม กระโดด
(ดูวิดีโอเอาละกันฮะ)





ลงทั้ง Android และ iOS

ฟรี! (แต่มีซื้อในแอฟนะ ราคาตั้งแต่หลัก 35 บาท ไปยันหลักพัน... ตามกำลังความอยากได้อยากมีเลยฮะ...)

[ภาพยนตร์] WONDER WOMAN - วันเดอร์ วูแมน : สาวน้อย(มหัศจรรย์!)กู้โลก!



จู่ๆก็ลัดคิว(ที่อู้ไว้ราว...ซักร้อยเรื่องได้...(เว่อไว้ก่อน)) มาเขียนก่อนซะเลย ฐานที่เพิ่งดูมาหมาดๆ และไอที่ว่าจะเขียนๆถึงหนังให้สม่ำเสมอก็ไม่ทราบว่าทำได้ที่ไหนกัน?!... - -

เพราะฉะงั้น ในเมื่อเขียนถึง Wonder Woman ติดๆกันมาหลายอัน (ซึ่งก็ไม่กี่อันหรอก...แต่ถ้าเทียบกับมาตรฐานช่วงที่ผ่านๆมามันก็...) และก็ไปดูมาแล้วอีกต่่างหาก ก็เห็นควร(เอาเอง)ว่า ก็รีบๆเขียนซะเลย ก่อนจะมีเหตุละเมอเพ้อพกดองเค็มเหน็ดเหนื่อยโน่นนี่จนไม่ได้เขียนกันซักทีอีกนะครับ

เพราะงั้น


แบบสั้นๆ

ก็อย่างที่บอกไปครับว่าที่ผ่านมาสาวน้อยมหัศจรรย์เคยช่วยพี่ผ้าคลุมแดงกับพี่ผ้าคลุมดำไปแล้วในตอนบิ๊กอีเว้นท์ดีซี แถมวันเดอร์วูแมนก็ยังถูกเลือกให้มาอวดโฉมในหนังแยกเดี่ยวของตัวหลังจากบิ๊กอีเว้นท์ที่ว่านั่น (ที่มีอีกอีเว้นท์ตามมาก่อนแต่ก็ไม่ได้มาเดี่ยว) เป็นรายแรก

ซึ่ง! นั่นก็เป็นคำตอบที่ถูกต้องงงงแล้วววว!!

จากผลที่ออกมาว่าขนาดเว็บมะเขือเน่ายังให้คะแนนสูงมั่ก! แต่ต่อให้ไม่นับ ที่เหมาะควรแล้วที่ให้เธอออกมาโลดแล่นก่อนใครเพื่อนก็เพราะ ทั้งที่บทในบิ๊กอีเว้นท์ของเธอความจริงก็ไม่ใช่จะเป็นบทหลักชัดๆนัก ตัดไปยังดูไม่มีผลกับเรื่องมาก แต่! ก็ตัดไม่ได้! เพราะเธอถือเป็นกำลังสำคัญของอีเว้นท์นั้น ทั้งที่บทจะตัดออกก็ได้ แบบนั้นเลย! (ที่เรื่องนี้จริงๆก็พูดแทบทุกครั้งที่พูดถึงซูเปอร์ฮีโร่ดีซีเอย...) ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพราะ การเลือก กัล กาดอท (Gal Gadot) มารับบท สาวน้อยมหัศจรรย์ นั้นก็ดูจะเป็นคำตอบที่ 'ใช่(แล้วละเฟร้ย!)'  (ดูน่าน้อยใจแทนซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์กล้ามตันทั้งสองนายเลยนะฮะ แต่จริงๆผมก็ชอบเพ่ๆอยู่เหมือนกันนะ ชุดแบทสูทกันดั้มฟลูอาร์เมอร์นี่จริงๆก็ชอบอยู่ แต่...อย่างที่บอก ตัดไม่ได้ครับ)

ใช่เพราะอะไรก็ช่าง คนที่ว่าใช่ก็คงใช่(เหมือนผม) คนที่คิดว่าไม่ใช่ก็คงไม่ใช่(ก็ช่าง เห็นต่างก็อยู่ร่วมกันได้ครับ ครับผม.)

ซึ่งแม้ในบิ๊กอีเว้นท์นั้น บทเธอออาจไม่ได้เป็นบทหลัก และไม่ได้มีรายละเอียดมากนัก เรียกได้ว่าเธอมาเป็นส่วนลึกลับของเรื่องมากกว่า

แต่พอมาในหนังนำเดี่ยวของเธอ ที่กลับไปพูดถึงการที่เธอกลายมาเป็น วันเดอร์วูแมน ทำให้เราได้รู้จักเรื่องราวของเธอมากขึ้น ก็น่าจะยังเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าการเลือกเธอ กัล กาดอท มาแสดงในบทนี้น่าจะเป็นคำตอบที่ถูกจริงๆ

โดยเฉพาะเมื่อเริ่มเรื่องในโลกที่ห่างไกลจากสังคมมนุษย์ทั่วไป ก่อนที่จะเจอเหตุการณ์ที่เธอได้รู้จักกับโลกภายนอก และต้องออกมาเป็นส่วนหนึ่งของโลกภายนอกนั้น ซึ่งกำลังอยู่ในภาวะสงครามครั้งใหญ่ที่ลุกลามไปทั่วทุกทวีป เธอต้องเผชิญกับหลายสิ่งที่เธอไม่เคยรู้จัก ไม่เคยสัมผัส กัล กาดอท ก็แสดงบทสาวน้อยไร้เดียงสา ซึ่งมีมุมมองความคิดที่ บริสุทธิ์ ไม่ปนเปื้อนจากความคิดของโลกภายนอก และต้องมาสัมผัสกับหลายๆสิ่งซึ่งไม่เคยรู้จักได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันในส่วนที่แสดงถึงความ เข้มแข็ง อย่างร้ายกาจ หรือความห้าวหาญ ของ วันเดอร์วูแมน เธอก็ยังแสดงสิ่งเหล่านั้นออกมาได้อย่างเยี่ยมยอด! แม้ว่าด้วยรูปลักษณ์ความเป็นซูเปอร์ฮีโร่ของเธอจะไม่ได้ทำให้มันดูเฟี้ยวฟ้าวอย่าง ไอรอนแมน (ยิงมิสไซส์ร้อยลูก มีชุดไว้เปลี่ยนราวสิบแปดโหล สวมชุดทีเท่ยังกะดูทรานส์ฟอร์เมอร์แปลงร่าง) แต่ก็ดุดัน กร้าวแกร่ง (ประมาณยิงมิสไซส์ไม่ได้อย่าง โลแกน งี้ ก็ดุเดือดเลือดพล่านได้ก็แล้วกัน)

แค่ส่วนนี้ก็ควรเอาคะแนนไปให้แล้ว

แต่ถ้าเรื่องนี้มีดีแค่ กัล กาดอท มันก็ดูจะแปลกที่นักวิจารณ์จะเทคะแนนไปให้แบบนี้ ในอีกทางส่วนของเนื้อเรื่องที่เปรียบเทียบโลกที่เธอเคยอาศัยกับโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากและกำลังอยู่ในวังวนของสงคราม การตั้งคำถามถึงมุมมองที่มีต่อการมุ่งหมายชีวิต แย่งชิง หลอกล่อ ประหัตประหาร การแสวงหาซึ่งอำนาจ โดยไม่เลือกวิธีการ ก็ล้วนเป็นการตั้งคำถามถึงสิ่งที่ดูจะอยู่เรื่อยมาในสังคมมนุษย์ และในบริบทของเรื่องที่สมมติให้เป็นโลกของวันเดอร์วูแมน มันจึงมีคอนทราสบางอย่างที่ทำให้สถานะของเธอดูน่าสนใจเมื่อสวมลงไปในบริบทของสังคมมนุษย์เช่นนี้ ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่นำเธอออกมานอกขอบเขตที่เธอเคยรู้จักเช่นกัน

วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560

WONDER WOMAN ถูกแบนในเลบานอน

แม้ว่า Wonder Woman ดูน่าจะเป็นความหวังกู้ความเกรียงไกรให้ซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์ DC ได้ อย่างที่เพิ่งกล่าวไป และยังเข้าโรงฉายไปทั่วโลก แต่ที่หนึ่งที่ Wonder Woman จะไม่ได้ปรากฏโฉมในโรงภาพยนตร์ก็คือ เลบานอน

ภาพจาก agoda

ซึ่งการแบนอย่างเป็นทางการนี้มีขึ้นก่อนรอบพรีเมียร์ในกรุงเบรุตเพียงไม่กี่ชั่วโมง เนื่องมาจากสาเหตุที่ว่านางเอกสาว กัล กาดอท (Gal Gadot) ผู้รับบทสาวมหัศจรรย์ในเรื่องนั้น เป็นชาวอิสราเอล และยังเคยผ่านการรับใช้ชาติ เป็นทหารของอิสราเอลด้วย ซึ่งพลเมืองอิสราเอลทุกคนต้องผ่านการเป็นทหาร

และในตอนนี้เลบานอนถือว่าอยู่ระหว่างการสงครามอย่างเป็นทางการกับอิสราเอลนั่นเองครับ

เรื่องนี้ถูกประกาศอย่างเป็นทางการโดยรัฐบาล ผ่านการตัดสินใจของคณะกรรมการ 6 ท่านในกระทรวงเศรษฐกิจ (Ministry of Economy committee) ของเลบานอน

วันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

แซ็ค สไนเดอร์ ถอนตัวจาก JUSTICE LEAGUE

จากข่าว Wonder Woman ก็มีข่าวการตัดสินใจถอนตัวจาก Justice League จากเหตุการณ์เศร้าของครอบครัวผู้กำกับ แซ็ค สไนเดอร์ (Zack Snyder) ซึ่งเป็นผู้เขียนบทและอำนวยการสร้างของ Wonder Woman ด้วย

ภาพผู้กำกับ แซ็ค สไนเดอร์ และครอบครัว ในรอบพรีเมียร์ของ Sucker Punch เมื่อปี ค.ศ.2011 จาก heavy.com

จากเหตุการณ์กระทำอัตวินิบาตกรรมของลูกสาว ออทัม (Autumn) อายุ 20 ปี เมื่อ 20 มีนาคม ที่ผ่านมาแซ็ค และภรรยา เดบอราห์ (Deborah) ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังของแซ็ค สไนเดอร์ หลายเรื่องที่ผ่านมาด้วย ตัดสินใจถอนตัวจากภาพยนตร์ที่ดำเนินการสร้างอยู่ในตอนนี้อย่าง Justice League ทั้งงานกำกับและอำนวยการสร้าง

และคนที่เข้ามาแทนในตำแหน่งผู้กำกับเพื่อสานต่อการดำเนินการที่ค้างอยู่ของ Justice League ก็คือ จอส วีดอน ผู้กำกับซึ่งเคยกำกับหนังฮีโร่ฝั่งมาเวลอย่าง Avengers สองภาคแรกนั่นเอง

ออทัม สไนเดอร์ ชอบงานเขียนและการช่วยเหลือผู้คน เธอเคยตั้งโครงการการกุศล Write-A-Thon ใน crowdrise และเธอยังอยู่ระหว่างเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ที่เธอหวังจะได้ตีพิมพ์ และยังมี cameo ของเธอในหนัง Man of Steel ซึ่งไม่แน่ใจว่า แซ็ค สไนเดอร์ ตั้งใจให้มีไว้แต่แรกหรือไม่ด้วย

และนี่คือคำพูดที่ผู้กำกับ แซ็ค สไนเดอร์ ให้ไว้ครั้งที่ให้สัมภาษณ์กับ The Hollywood Reporter เกี่ยวกับการสูญเสียครั้งนี้ (นำมาจาก heavy.com)


“In my mind, I thought it was a cathartic thing to go back to work, to just bury myself and see if that was way through it. The demands of this job are pretty intense. It is all consuming. And in the last two months I’ve come to the realization …I’ve decided to take a step back from the movie to be with my family, be with my kids, who really need me. They are all having a hard time. I’m having a hard time… I want the movie to be amazing and I’m a fan, but that all pales pretty quickly in comparison. I know the fans are going to be worried about the movie, but there are seven other kids that need me. In the end, it’s just a movie. It’s a great movie. But it’s just a movie.”



TO THE WONDER สู่ความรุ่งโรจน์! อีกคราเสียที(?)ของซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์ DC

ตามพาดหัวซึ่งเอามาจากเวปมะเขือเน่าเลยครับ เพราะคงไม่ค่อยมีพาดหัวไหนจะกระตุกความสนใจ(ผมเอง)และเหมาะสมไปกว่านี้เท่าไหร่



หลังจากปล่อยให้ฮีโร่ฝั่ง Marvel (ใต้ชายคาดิสนี่ย์) ออกมาวาดลวดลายถล่มทำเงินกันไปเละเทะ สร้างจักรวาลขยายต่อยอดกันนุงนังจนบางทีก็น่าเหนื่อยตั้งแต่ดูผังล่วงหน้าที่เขาโชว์มาแล้ว กระทั่งที่ค่ายอื่นซื้อไลเซนส์ไปถือไว้ก็ยังเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จให้เห็นกันพอตัว อย่าง ทีมจักรวาล X-MEN (รวม Dead Pool หรือล่าสุดก็ Logan) ของ Fox หรือ Spider Man ของ Sony ที่ได้ตังค์พอท้วมๆแต่ไม่เข้าเป้าจึงต้องยอมไปหลบแดดฝนใต้ชายคา Marvel ซะหน่อย

ขณะเดียวกันฝั่ง DC หลังจากไตรภาค Batman ของผู้กำกับขวัญใจหลายคนในยุคนี้อย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลน มาสร้างความเกรียงไกรไว้ให้ หลังจากนั้นฝั่ง DC เองซึ่งลิขสิทธิ์หลายตัวละครสำคัญอยู่ที่ วอร์เนอร์ (คือไม่แน่ใจว่าไปอยู่นั่นหมดไหม? แต่คิดว่าไม่น่าจะใช่มัง?) ก็มีความพยายามจะส่งฮีโร่มาต่อกรกับจักรวาล Marvel ซึ่งกลยุทธของวอร์เนอร์ก็ดูน่าสนใจดี หลังจากส่ง Man of Steel ของ ผู้กำกับ แซ็ค สไนเดอร์ มาแล้วประสบความสำเร็จไม่เลวทีเดียว วอร์เนอร์ก็ขอจัดการใหญ่ เปิดจักรวาลด้วยบิ๊กอีเว้นท์ บุรุษเหล็ก ปะทะ มนุษย์ค้างคาว ใน Batman VS Superman : Dawn of Justice ซะเลย ก่อนจะปล่อยรวมทีมมหาวายร้าย (ซึ่งไอกระผมดูแล้วคิดว่าไม่ค่อยจะ มหา เท่าไหร่?) ก่อนจะทยอยปล่อยหนังแยกของฮีโร่แต่ละคนแทน ต่างไปจากแผนเปิดเฟสแรกของ Marvel แบบเปิดหนังของฮีโร่แต่ละท่านแล้วค่อยมารวมทีมอเวนเจอร์ (แล้วก็แตกสาขาต่อไปอีก...แล้วก็รวมทีมกันอีก...แล้วก็แตกสาขาต่อไปอีก...แล้วก็...) ซึ่งก็น่าสนใจดี แล้วเรื่องที่ปล่อยมาก็ประสบความสำเร็จพอควรอีกเหมือนกัน (แม้จะมีเสียงติติง บ่น ไม่ใช่อ่ะกิ้ฟท์ จากสารทิศอยู่บ้าง) ซึ่งเอาจริงๆผมก็ยังไม่ได้เอนเตอร์เทนไปกับเฟสนี้ของ DC (โพสท์โนแลนแบทอีร่า) เท่ากับฝั่ง Marvel จริงๆน่ะแหละ (แม้จะคิดว่าฮีโร่ Marvel ถึงจะต่างผู้กำกับ ต่างรสชาติกันอยู่บ้าง แต่มันก็จะมีรูปรอยความรู้สึกหลายอย่างพ้องพานกันจนเหมือนก๊อปเอาไปใส่ในหนังทุกเรื่องของ Marvel ยังไงไม่ทราบเหมือนกัน)

แต่ก็อย่างที่เคยกล่าวไว้ (หลายคราครั้ง ในตอนพูดถึงหนังสองเรื่องข้างต้นน่ะแหละ) ว่าหนัง DC นั้นสำหรับกระผมแล้วรอดมาได้ด้วย ตัวละครหญิง หลายครั้งคราแล้ว...
ไม่ว่าจะ โลอิส เลน หรือ ฮาเลย์ ควิน

และครั้งนี้ ดูเหมือนว่าอะตอมมิคฟอซที่จะมาซัดใส่หน้าผู้ชมพร้อมมอบความบันเทิงและกู้บัลลังค์ให้ DC ได้สำเร็จชนิดไม่มีใครครหา ก็น่าจะเป็นฮีโร่หญิงซะแล้วว!

To The Wonder !

ด้วยว่านามกรของเธอนั้นคือ Wonder Woman !

วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2560

โจนาธาน เดมเม ผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์จาก Silence of the Lambs และ Philadelphia เสียชีวิตแล้วด้วยอายุ 73 ปี

โจนาธาน เดมเม ผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์จาก Silence of the Lambs และ Philadelphia เสียชีวิตแล้วด้วยอายุ 73 ปี เมื่อเช้าวันที่ 26 เมษายน ในนิวยอร์ค

ก่อนหน้านี้เขาป่วยด้วยโรคมะเร็งหลอดอาหาร ตั้งแต่ปี ค.ศ.2010 เข้ารับการรักษามาตั้งแต่นั้น และอาการกลับมากำเริบในปี ค.ศ.2015 ก่อนจะมีอาการทรุดหนักเมื่อไม่นานมานี้ ก่อนจะเสียชีวิตจากโรคที่รุมเร้าและอาการแทรกซ้อนด้วยโรคหัวใจ

(ภาพจาก http://www.indiewire.com)


โจนาธาน เดมเม (Jonathan Demme) น่าจะเป็นที่รู้จักมากที่สุดจากการกำกับ Silence of the Lambs ซึ่งดัดแปลงจากนิยายต้นฉบับโดย โธมัส แฮร์ริส ( Thomas Harris) ที่คว้า 5 รางวัลออสการ์ ซึ่งล้วนเป็นสาขาสำคัญ (ประมาณไฟฟ์แกรนด์อวอร์ด) คือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม และบทยอดเยี่ยม
โดยเป็นการเข้าชิงในสาขาผู้กำกับของรางวัลออสการ์เพียงครั้งเดียวของ โจนาธาน เดมเม ด้วย

Silence of the Lambs ยังเป็นภาพยนตร์สำคัญในขอบข่ายที่ตัวหนังเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเขย่าขวัญ จิตวิทยา สืบสวนสอบสวน หรือภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยาย ฯลฯ  และเป็นหนึ่งในงานชิ้นสำคัญของทุกๆคนตั้งแต่ผู้เขียนนิยาย นักแสดง ผู้กำกับ ผู้เขียนบท ไปจนสตูดิโอผู้สร้าง
ทั้งยังสร้างให้ ฮันนิบาล เลคเตอร์ ที่รับบทโดย แอนโทนี่ ฮ๊อปกินส์ กลายเป็นหนึ่งในไอคอนสำคัญของโลกภาพยนตร์



พูดแล้วก็อยากกลับไปเอา  Silence of the Lambs มาเปิดดู

โจนาธาน เดมเม ยังกำกับหนังอย่าง Philadelphia ที่ส่งให้ ทอม แฮงค์ คว้าออสการ์ตัวแรกในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (ก่อนจะคว้าตัวที่สองจาก Forrest Gump ในปีถัดมา - และก็น่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่เขาพลาดเข้าชิงจาก Sully)



แม้จะดูว่า โจนาธาน เดมเม อาจไม่ใช่ชื่อที่ได้ยินหนาหูในวงการล่ารางวัลนักในยุคหลังๆ และดูจะไม่ได้มีสไตล์กำกับที่สวิงสวายนัก (และผมเองก็ไม่ได้ตามดูทุกเรื่องเหมือนกัน) แต่ โจนาธาน เดมเม ก็กำกับภาพยนตร์มาเรื่อยๆตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งยังเป็นหนังที่ผมชอบและน่าสนใจ

เช่น Rachel Getting Married ที่มี แอนน์ แฮทธาเวย์ นำแสดง

วันศุกร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2560

กล่าวถึง KAAN กำกับการแสดงโดย กอล์ฟ (ปวีณ ภูริจิตปัญญา) : แบบทันควัน

เพิ่งพูดถึง คุณ ปวีณ ภูริจิตปัญญา ไปหยกๆ ตอนเขียนถึง หลาวชะโอน ไว้ในตอนเขียนถึง (หลายถึงจัง) เปรต อาบัติ

ซึ่งก็ต้องถือเป็นความประจวบเหมาะ (ละกระมัง?) เพราะกว่าจะเขียนถึง เปรต อาบัติ ก็ดองไว้นานเอาการ เขียนปั๊บ นึกถึง หลาวชะโอน ไว้ท้ายบทความ พร้อมคำโปรยอยู่เลยว่า  '...มักผสานงานเทคนิคพิเศษเข้ากับหนังเสมอๆ กำกับ บอดี้ ศพ19, ยันต์สั่งตาย (จากการ์ตูนของ เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ ที่เขียนถึงไว้นิดหน่อยในตอนบทความ 13 เกมสยอง) และ 14 ในรัก7ปีดี7หน) รอพี่กำกับเรื่องใหม่อยู่นะครับ...'

จู่ๆก็พบว่า เฮ้ย คุณ กอล์ฟ-ปวีณ มีงานชิ้นใหม่! จากเบาะแสในหน้าเพจของ คุณ นวพล Nawapol Thamrongrattanarit (ซึ่งเป็นผู้กำกับหนังไทยหนึ่งในเรื่องที่ชอบเป็นอันดับต้นของปี พ.ศ.2558)

ภาพจากหน้าเพจดังว่าไว้ ห้ามกดนะ กดไม่ได้จ้า (คลิกลิงค์ด้านบนเอาแทนนะ)


เราก็ได้ทราบว่า อ่าว เฮ้ย คุณ ปวีณ ภูริจิตปัญญา มีงานใหม่นี่หว่า!?

[ภาพยนตร์] เปรต อาบัติ : กรรม ของใคร ของมัน...



มารู้เอาทีหลังว่า เปรต อาบัติ คือฉบับ Director's Cut ของ อาปัติ ซึ่งออกฉายในปี พ.ศ.2558 และมีประเด็นของเนื้อหาหรือภาพที่ล่อแหลมและถูกพิจารณาว่าไม่เหมาะสม จนมีการเปลี่ยนชื่อจากเดิมใช้ชื่อ อาบัติ (ลองอ่านได้จาก วิกิพีเดีย ก็ได้) และเข้าฉายหลังจากนั้นไม่นาน โดยมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆกันไป บ้างก็ว่าเป็นการหวังเอากระแสรึเปล่า? อะไรต่ออะไรไป ในเรื่องผลตอบรับดูเหมือน อาปัติ ครั้งเข้าฉายในตอนนั้นก็จะทำได้ดีพอควรทีเดียว กับรายได้กว่า 50 ล้านบาท (เท่าที่จำได้) มีบทบาทในเวทีรางวัลพอสมควร (ร่วมปีกับหนังอย่าง ฟรีแลนซ์ฯ, Snapฯ, เมย์ไหนฯ, พี่ชาย My Hero, อนธการ, Vanishing Point, รุ่นพี่, เพลงของข้าว, ฯลฯ เป็นอาทิ) บางเรื่องก็เคยเขียนถึงใน 5 หนังไทยที่ชอบปีนั้นไปแล้ว ซึ่งก็ไม่มี อาปัติ เพราะ ตอนนั้นก็ไม่ได้ไปดูเรื่องนี้น่ะครับ - - (หลายเรื่องก็ไม่ได้ดู เช่น พี่ชาย My Hero, อนธการ หรือ The Down ก็ดองดีวีดีไว้นานแล้วนาเนี่ย... - -) แถม อาปัติ ยังมีชื่อเป็นตัวแทนหนังไทยไปชิงออสการ์ปีนั้นด้วย

ตอนนั้นจริงๆก็เสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้ไปดู ได้ดูแต่ตัวอย่างหนัง ซึ่งก็ดูจะมีประเด็นล่อแหลมอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าที่มีปัญหากับการพิจารณามันคือประเด็นไหนหรือส่วนไหน? แต่ก็เข้าใจว่าคงไม่ใช่ส่วนเนื้อหาที่เห็นในตัวอย่าง?

ก็ดูเป็นการตลาดงงๆอยู่บ้างเหมือนกัน ที่ อาปัติ จะกลับมาฉายในฉบับ Director's Cut ในต้นปี พ.ศ.2560 นี้ (ในขณะที่ไอกระผมก็ยังไม่ได้ดูฉบับปี พ.ศ.2558 เหมือนเดิม...) ทีแรกตัวเองก็คิดว่ามันเป็นภาคต่อ เหมือนหลายๆคนเหมือนกัน ซึ่ง...ตามประสาคนเรื่องมาก พอมีภาคต่อมา แม้จะน่าสนใจ (เอาจริงๆ แค่ติดว่าหนังเองแข็งแรงพอจะมี ภาคต่อ ออกมา สำหรับตัวเอง ก็น่าสนใจพอประมาณแล้ว) แต่พอไม่ได้ดู อาปัติ มาก่อน เราก็คิดว่าอาจจะเอาไว้ก่อนละกัน พอมารู้ทีหลังว่ามันเป็นฉบับ Director's Cut ก็ดันเปลี่ยนไปสนใจจะดูขึ้นมา (เรื่องมากจริง - -) ซึ่งรู้สึกว่าครั้งนี้เหมือนกระแสจะไม่เท่าตอน อาปัติ เข้าฉาย แถมไม่ใช่จะรู้ก่อนหนังเข้าเสียเมื่อไหร่ มารู้และเกิดอยากจะดูเอาทีหลัง ก็เลยหาดูลำบากตามเคย... เฮ้ออ...

แต่สุดท้ายก็ไปดูมาจนได้

และก็ไม่ผิดหวังนะ

วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560

ข่าวหนัง(ไม่ค่อย)ทันโลก(ฉบับตามใจฉัน) : ปัญหาชุดน้องนางใน Jumanji รีบูต!!


ก็มีประเด็นเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ ภาพชุดแรกๆจาก Jumanji หนังสำคัญเรื่องหนึ่งในยุคของตัว ที่เคยพูดถึงไปใน 13 เกมสยอง (ซึ่ง...มันสยองยังไง...ไปลองอ่านดูเองละกันนะฮะ...) ที่จะกลับมารีบูตกันอีกรอบ
เกี่ยวกับ ชุดของแม่สาว(นางเอก?) Karen Gillan ว่านั่นชุดเอาไว้ลุยป่าแน่เรอะ??! (ใครถามมาผมก็ไม่ทราบชัดนะครับ คงต้องไปตามสืบค้นกันเอาเอง - เข้าใจจว่าคงมีหลายคน) อะไรแบบนี้...

ซึ่งพี่กล้ามโต ดเวน "เดอะ ร็อค" จอห์นสัน (ที่กะลังจะโผล่มาพบคุณๆอีกครั้งใน Fastฯ 8 และ Bay Watch ซึ่งนี่ก็อีกรีบูตขึ้นจอ) ก็ออกมากล่าวแก้ให้น้องนางเอกไว้ว่า "เชื่อเฮ๊อะ ถ้าคุณๆรู้พลอตเรื่องแล้วละกัน จะรู้ว่ามันเหมาะกับน้องมั่กๆ มันมีเหตุผลนะ" (กรุณาอย่าเชื่อคำแปลมาก ตรวจสอบตากต้นฉบับด้วยตัวเองดีที่สุด อย่าเชื่ออะไรในเนตง่ายๆนะจ๊ะ...

และเมื่อฟุตเตจแรกของหนังเผยโฉมในงานคอมมิคคอน เหตุผลที่เฮียว่าก็ถูกเปิดเผย

ว่า (ใครไม่ต้องการโดนสปอยล์เลย (ไม่รับประกันว่าตัวอย่างหนังจะไม่สปอยล์ หรือถ้าไปหาดูฟุตฯที่ว่าก็คงโดนเหมือนกัน...อืม...) ก็รอดูหนังเลย จบนะ.)

คราวนี้ Jumanji จะกลายไปเป็น เกม...

วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560

T2 Trainspotting ช่างอยากดูในโรงภาพยนตร์เหลือเกินนนน : เชิญร่วมลงชื่อในแคมเปญกันเถิด

Trainspotting เป็นภาพยนตร์ระดับ 'ตำนาน' ที่เป็นหมุดหมายสำคัญของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง

อาร์ตเวิร์ค DVD ของ Trainspotting

จะตัวนิยาย Trainspotting โดย เออร์วิน เวลช์ เอง

ผู้กำกับสุดเฟี้ยว แดนนี บอยล์ (แห่ง 28 Days Later, Sunshine, คว้าออสการ์จาก Slumdog Millionaire , หนังที่ติดในใจมากอย่าง 127 Hours, และกำกับหนังชีวประวัติคนสำคัญยิ่งในโลกฮิปและเทคโนโลยีสุดเอเนอจี้ อย่าง Steve Jobs เป็นอาทิ)



หรือจะนักแสดงอย่าง ยวน แม็คเกรเกอร์ (โผล่ใน Beauty and the Beast ฉบับ เอ็มม่า วัตสัน ด้วยนะ)

หมุดหมายสุดจิ๊ดที่สุดครั้งหนึ่งของโลกภาพยนตร์ ไม่ว่าจะภาพยนตร์ไอร์แลนด์ ภาพยนตร์อังกฤษ หรือภาพยนตร์โลก

และเมื่อมีข่าวสร้าง T2 ภาคต่อของหนังตำนานเรื่องนี้ เราก็อดใจเต้นตุ้มๆต่อมๆไม่ได้ ทั้งที่ก็ครึ่งๆว่าจริงๆแล้วอยากให้เขามีสร้างภาคต่อออกมาหรือไม่ พอรู้ข่าวก็ไม่ได้ตามหัวปักปำอะไร หวังให้มีเสียงลือเล่าอ้างกระเด็นมาเข้าหูว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรเอาก็ละกัน (สบายไปไหมนะเอ็ง?...)


โลโก้ของ Tea Too Pty Ltd. ธุรกิจชา ออสเตรเลีย *
(ภาพจาก http://camberwellshopping.com.au/trader/t2/)



แต่เมื่อมันสำเร็จเสร็จสิ้นออกมาจนได้ ด้วยฝีมือของ ผู้กำกับคนเดิม ทีมนักแสดงหน้าเดิม จนวันที่ไปเห็นตัวอย่างหนังออกฉายในบริเวณโรงภาพยนตร์...

...เราก็ได้แต่รอคอยว่า เฮ้ย มันจะมาแล้ว! T2 จะมาเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในประเทศไทยแล้ว!!

วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2560

JOJO : Diamond is Unbreakable ในกำมือของ ทาคาชิ มิอิเกะ ที่ปล่อยทีเซอร์แรกมาคนก็ dislike กันถล่มทลาย... แต่ว่า...

จริงๆก็รู้ข่าวมานานนมากแล้ว เคยจะเขียนถึงด้วย แต่...ก็นั่นแหละ โถดองหรือจำศีล หลบพักใจอะไรก็ว่ากันไปครับ

ก่อนนี้จริงๆก็ดีใจที่ภาค Diamond is Unbreakable ถูกสร้างเป็นอนิเมด้วย อย่างที่เคยเขียนถึงไป ว่าดีจัยยยยย แต่ก็อย่างที่บอกไว้เหมือนกัน แม้จะดีใจ แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่ได้ตามอยู่ดี - -


แต่ Diamond is Unbreakable ก็ไม่ได้แค่ถูกเอามาสร้างเป็นอนิเม แต่ไหนๆในโอกาสครบรอบ 30 ปี ของมังงะชุดนี้ เขาก็ดำริจะสร้างภาคนี้เป็นภาพยนตร์ Live Action ด้วย ซึ่งก็มาตกอยู่ในกำมือกำกับของ ทาคาชิ มิอิเกะ ผู้กำกับหนังไปกว่า 100 เรื่องได้แล้วมัง อย่างที่เคยเขียนถึงไปในตอนกล่าวถึง Terra Formars 



วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2560

การกลับมา(แหละนะ?)ของภาพยนตร์ในตำนาน ในใจเสมอ(?)ของ เทอร์รี กิลเลียม

เทอร์รี กิลเลียม เป็นผู้กำกับอันมีวิชั่น (ไม่เกี่ยวอะไรกับ Avengers ปะทะอัลตรอนอ่อนซ้อมไปนิ๊ส หรือ Capฯ3 : ยกพวกตีกัน Civil War) ซึ่งมีผลงานอย่าง Brazil


 หรือ 12 Monkeys ที่ส่ง แบรด พิทท์ เข้าชิง ออสการ์ (และกลายมาเป็นซีรี่ส์ในอีกหลายปีต่อมาด้วย)


นอกจากนั้นเขายังเป็นผู้กำกับหนังเพี้ยนหลุดโลกตระกูล Monty Python และเป็นผู้กำกับ The Imaginarium of Doctor Parnassus ภาพยนตร์ซึ่งเป็นผลงานการแสดงเรื่องสุดท้ายของ ฮีท เลดเจอร์ ที่ยังถ่ายทำไม่เสร็จสิ้นในขณะที่เจ้าตัวจากไปด้วย... โดยท้ายที่สุดผู้กำกับ เทอร์รี กิลเลียม ก็กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้จนสำเร็จโดยมีการเปลี่ยนให้ดาราอีกหลายคนมารับบทของตัวละครซึ่งเคยรับบทโดย ฮีท เลดเจอร์


แม้จะผ่านผลงานกำกับมาอย่างโชกโชน แต่ก็มีอย่างน้อยหนึ่งโปรเจ็คท์ที่ผู้กำกับ เทอร์รี กิลเลียม ไม่สามารถปิดจ๊อบให้สำเร็จเสร็จสิ้นลงได้ด้วยปัญหา ความลำบาก หายนะ นานัปการ ฯลฯ

ไม่ทัลลลลลลล์แหล่วววว...

สืบเนื่องมาจากเพิ่งผ่านตาไปเห็น โครงการฉายภาพยนตร์ฟรีเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมทางเพศ โดย องค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (UN Women) และโครงการฮีฟอร์ชี (HeForShe) ที่ SF World Cinema ในระหว่างวันที่ 9-12 มีนาคม 2560 เน้!

ซึ่งก็น่าสนใจจะไปดูทีเดียว เขาเริ่มฉายกันไปเมื่อวาน... เพิ่งมาเห็นเอาวันนี้... ป่านนี้ด้วยนะ


ซึ่ง...แม้จะฉายถึงวันอาทิตย์ที่่ 12 นี้ แต่...ก็ไม่สามารถจัดเวลาไปดูได้เสียแล้ว... ไม่ค่อยโซเชียลก็แบบนี้ล่ะนาย...

แม้ว่า...จริงๆแล้วต่อให้รู้แต่เมื่อวานก็ไม่ว่าง มาจนถึงวันนี้ (ยาวไปยัน 12 อีกต่างหาก...) ก็เถอะ... (สรุปว่า...ถึงรู้ก่อนก็อาจไม่ได้ดูซินะ... ยกเว้นรู้ก่อนหน้านี้ซัก 2 เดือน... 2 อาทิตย์ ก็ยังดี - -)

โดยเฉพาะ Mustang อยากดูมากก
ใครมีโอกาสดู ฝากไปดูแทนด้วยนะครับ T T