วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์, อนิเม] STORKS บริการนกกระสาเบบี้เดลิเวอรี่ : ปฏิบัติการเถิดเทิงสองคู่หูจำเป็นเผชิญ วายร้าย เบบี๋ กับแก็งวูลฟ์แพ็ค



แบบสั้นๆ
ในช่วงหลังๆมานี้ ทุกสตูดิโอใหญ่ฮอลลีวู้ดดูจะยังมองเห็นศักยภาพ (หรือไม่ก็ทางบุกเบิกตลาด) ในหนังอนิเมชั่น จึงดูเหมือนทุกสตูดิโอจะส่งอนิเมชั่นเข้าประกวดปะขันกันอุ่นหนาฝาคั่งใช้ได้ทีเดียว

แถมช่วงนี้อนิเมชั่นเกี่ยวกับสัตว์ก็ดูจะได้รับความนิยมเป็นพิเศษ มีทั้ง เมืองสรรพสัตว์ใน Zootopia ผจญภัยโลกใต้น้ำไปกับภาคต่ออันเป็นที่รักอย่าง Finding Dory  ตามไปดูเบื้องหลังเจ้าของของเหล่าสัตว์เลี้ยงใน Secret Life of Pets หรือแก๊งสัตว์ดึกดำบรรพ์หนีวันโลกแตก(ที่เป็นตัวประกอบให้กับเจ้าบรรพบุรุษกระรอกล่าลูกนัท...)ก็ยังคงมาวิ่งหนีวันโลกแตกใน Ice Age : Collission Course กันต่อ แถมว่าไปอย่างรีเมกเมาคลีลูกหมาป่าใน The Jungle Book นี่ก็เกือบๆจะอนิเมชั่นอยู่แล้วนะเนี่ย แล้วถ้าจะเอาอย่างนั้นเรายังมี Pete's Dragon (นี่ก็อีกหนึ่งรีเมก) ที่มาพร้อมกับมังกรเขียว... เดี๋ยวนะ อันนี้...   (แล้วปีนี้ หนังอนิเมชั่นสัตว์ก็ยังไม่หมดนะเออ)

เอาเป็นว่า... และนี่เป็นอีกหนึ่งอนิเมชั่นจากค่าย วอร์เนอร์ (Warner) ที่ก็(พูดได้แหละนะว่า)มีเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์เหมือนกัน  กับเรื่องราวของนกกระสา ที่ใครได้ดูการ์ตูนสมัยก่อนก็คงเคยผ่านตาเรื่องของนกกระสาคาบเด็กทารกไปส่งให้แต่ละบ้าน

แต่ในปัจจุบัน นกกระสาเขาเลิกส่งเด็กๆกันแล้ว! นี่มันยุคไหนแล้ว! ส่งสินค้าออนไลน์ได้ตังค์กว่าไหม?! เทรนด์มันมาทางนี้! แล้ว...อะไรที่ทำให้มันวุ่นวายจนนกกระสาต้องไปเกี่ยวข้องกับเบบี๋เข้าอีกล่ะ??

[ภาพยนตร์] OPERATION AVALANCHE ปฏิบัติการลวงโลก : ปฏิบัติการอวกาศ กับพลังของภาพเคลื่อนไหว


แบบสั้นๆ
แม้ในปัจจุบันการรู้จักว่ามีอวกาศห่อหุ้มพื้นที่ที่โลกกลมๆของเราดำรงอยู่เอาไว้จะไม่ใช่เรื่องแปลก หลายคนพอจะรู้ว่าหน้าตาทิวทัศน์ในอวกาศดารดาษไปด้วยดวงดาวนั้นเป็นอย่างไร? ดวงจันทร์มีผิวขรุขระไหม มีกระต่ายตัวใหญ่ๆบนดวงจันทร์รึเปล่า? ฯลฯ

แม้เราจะรับรู้การมีอยู่ของพื้นที่ในอวกาศ ดาวเคราะห์รวมถึงดาวบริวารในระบบสุริยะ ทางช้างเผือก กาแลกซี่  หลุมดำ และอีกมากมาย ฯลฯ แต่ก็มีน้อยคนนักเทียบกับประชากรโลกทั้งหมดที่จะออกไปนอกบรรยากาศโลกและได้สัมผัสกับอวกาศจริงๆ

และหลายเรื่องเกี่ยวกับอวกาศก็ยังคงเป็นเรื่องลึกลับอยู่เสมอ...

รวมไปถึงเรื่องราวของการไปเยือนพื้นผิวของดวงจันทร์ครั้งแรกของมวลมนุษยชาติ ก้าวเล็กๆที่เป็นก้าวใหญ่ๆของมวลมนุษยชาติ ก็เช่นกัน

ขณะที่เป็นเรื่องซึ่งดูยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ มันก็ยังเป็นหนึ่งในเรื่องที่ยังคงมีคำถาม ข้อสงสัย รายละเอียดลึกลับ ออกมาจากมุมใดมุมหนึ่งของโลกได้เสมอ (โดยเฉพาะเมื่อไม่รู้หรือไม่มีข้อมูลทั้งหมด หรือถึงในระดับนึง)

และหนังเล็กๆเรื่องนี้ก็เลือกเอาเรื่องนี้มาเล่นและเล่า

ผมตอบไม่ถูกเหมือนกันว่า แมท จอห์นสัน (Matt Johnson) ผู้กำกับและร่วมเขียนบทของหนังเรื่องนี้   นั้นหลงใหลในเรื่องราวลึกลับของการไปเยือนดวงจันทร์ของหนึ่งฟากมหาอำนาจในช่วงสงครามเย็นที่ต่ออีกฟาก ที่เป็นทั้งการแสดงแสนยานุภาพทั้งทางด้านอำนาจ เทคโนโลยี และการแข่งขัน หรือหลงใหลในศาสตร์ภาพยนตร์มากกว่ากัน โดยเฉพาะเป็นศาสตร์ภาพยนตร์จาก แสตนลี่ย์ คูบริก แต่ถ้าให้เดา ผมคิดว่าคงเป็นอย่างหลังมากกว่า

เมื่อตัวละครในเรื่องต้องพบกับปัญหาซึ่งเกี่ยวข้องกับภารกิจที่จะสะเทือนโลกของประเทศ เขาจึงเลือกที่จะจัดการมันด้วยศาสตร์แห่งภาพเคลื่อนไหว (motion picture)

[ภาพยนตร์] BLAIR WITCH ตำนานผีดุ : ท้าทายตำนานแม่มดในป่ามืด





แบบสั้นๆ
การกลับมาของตำนานแม่มดแบล์

ซึ่งก็เป็นหนึ่งในหนังที่เคยแนะนำกันไปกับป้ายหน้าหนังสยองก่อนหน้านี้

หนังเลือกเล่าเรื่องราวสืบสานจากช่วงเวลาเดิมที่ตำนานแม่มดแบล์แพร่กระจาย  มาเล่าเรื่องราวในปัจจุบัน เมื่อเด็กหนุ่มคนนึงพบคลิปที่อัพโหลดออนไลน์ไว้ที่อ้างว่าเจอจากข้อมูลที่เก็บได้และเขาสงสัยว่าเงาคนรางๆที่ปรากฏในคลิปนั้นคือพี่สาวของเขา เขาจึงชักชวนกลุ่มเพื่อนเพื่อติดต่อเจ้าของคลิปและเข้าไปในป่าอาถรรพ์เพื่อหวังตามหาพี่สาวของเขาให้พบ (อารมณ์ประมาณ ท้าตำนานแม่มดแบลร์ (อเกน))

ความจริงการกลับมาของตำนานแม่มดแบล์ซึ่งอัพเดทเวลาให้เป็นปัจจุบันนี้ ในมือของผู้กำกับ  อดัม วินการ์ด (Adam Wingard) ซึ่งเคยกำกับ You're Next   ก็ถือว่าเป็นหนังที่กระตุกขวัญใช้ได้เลยทีเดียว เมื่อต้องเผชิญกับอาถรรพ์คำสาปแม่มด ซึ่งไม่เคยมีใครรอดกลับมาบอกจริงๆว่าตัวตนของแม่มดแบล์นั้นเป็นอย่างไร (อาจจะยกเว้นถ้ากลับไปดู Book of Shadows: Blair Witch 2 ก็ได้ล่ะกระมัง?... ซึงกระผมเองก็ยังไม่เคยดูเลย... อย่างที่บอกว่าน่าจะหายากกว่าภาคแรกแห่งตำนานอย่าง The Blair Witch Project ซะอีก...) อุปกรณ์เทคโนโลยีรายล้อมในปัจจุบันจะช่วยให้การต่อกรกับคำสาปจากยุคเก่าได้แค่ไหนกัน?!

จริงๆเรื่องนี้เดาไปก็เท่านั้น 

เมื่อเทียบกัน ทีมใหม่ที่ขอเผชิญตำนานแม่มดน่าจะถือว่ามีข้อได้เปรียบมากกว่า ทั้งข้อมูลที่มีมากกว่า การเตรียมตัว อุปกรณ์ที่ทันสมัยขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คนเหล่านี้เผชิญหน้ากับอาถรรพ์แม่มดที่เสมือนสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าที่สูบผู้ท้าทายคนแล้วคนเล่าให้หานสูญไปในป่ามืดนี้ได้หรือไม่?

เอาเป็นว่าในแง่ของเรื่องราวอย่างที่หนังนำเสนอ การใส่เหตุการณ์ต่างๆเพื่อกระตุกขวัญคนดูนั้น ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว และเมื่อเทียบกับหนังต้นฉบับ ดูเหมือนหนังก็ไม่ได้ซีเรียสกับการทำตัวเป็นหนัง Found Footage หนังวิดีโอเหมือนต้นฉบับที่ส่งอิทธิพลไว้มากมายมาจนทุกวันนี้ (แม้ดูจะไม่มีเรื่องไหนเทียบเท่าได้ก็ตาม อ่อ ถ้าในแง่รายได้คงเป็น Paranormal Activity) ชัดๆนัก การเล่าเรื่องของมันก็ทำให้หลายๆอย่างดูกระจะตามากกว่า ในหลายจังหวะเขย่าขวัญ ซึ่งก็ถือว่าทำได้ 'ถึงใจ' ดีเหมือนกันในหลายๆช่วง การแสดงความเฮี้ยนของแม่มดแบลร์ในสภาพที่ชัดเจนกว่าการนำเสนอในต้นฉบับ จะจะมากกว่าก็มีหลายช่วงที่ทำได้อว๊ากกกดีเหมือนกัน ในส่วนของความเขย่าขวัญ ป๊อบคอร์นกระฉอก ถือว่ารวมๆแล้วทำได้ดีเลย

แตในอีกทาง หนังก็คงรูปรอยการเป็นหนังถ่ายวิดีโอเอาไว้เหมือนกัน ซึ่งในขณะที่หลายอย่างของหนัง รวมไปถึงความสยองแบบจะจะ (หรือแบบปลายหางตา) ชัดเจน กรี๊ดกันได้ชัดๆมากขึ้น มันก็เหมือนไม่ได้แยกชัดว่าภาพช่วงไหนที่เราเห็นเป็นจากกล้องวิดีโอที่ถ่ายจากกล้องของตัวละคร หรือเป็นกล้องอื่น ทีแรกคิดเองว่าหรือภาพที่ไม่ใช่ดูเหมือนมาจากกล้องของตัวละครจะเป็น สายตาอื่น ที่จับจ้องตัวละครอยู่ แต่พอดูๆไปจนจบ ก็ดูมันไม่ใช่แฮะ ซึ่งตรงนี้ก็เสียดายนิดๆ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็รู้สึกว่ามันน่าจะเจ๋งดี เพราะการเปลี่ยนมาเล่าแบบนี้ แม้จะได้เห็นหลายอย่างจะจะมากขึ้น รวมถึงได้สัมผัสได้เห็นตัวละครมากขึ้น แต่ด้วยความที่ลักษณะการเล่าของหนังก็ไม่ได้ต่างไปจากหนังต้นฉบับมากนัก สุดท้ายเราจึงรู้สึกว่าเราก็รู้จักหรือเห็นตัวละครแค่เพียงผิวเผินอยู่ดี เรียกว่าแม้ตัวละครจะน่าติดตามใช้ได้ (จะนิสัย ความสัมพันธ์ รูปโฉม หรืออะไรก็ตามที) แต่ก็ไม่พ้นเป็นหน้าที่ให้เราผูกพันนิดๆหน่อยๆ เป็นตัวหมากบ้าง เป็นคนดวงซวย หุนหันพลันแล่นบ้าง ไม่ค่อยต่างจากสูตรหนังสยองมากนัก แม้ข้อดีคือหนังดำเนินเรื่องได้อย่างต่อเนื่องรวดเร็วดี มีจังหวะกระตุกขวัญแทรกไปเรื่อยๆพร้อมๆกับยิ่งเพิ่มความสยองขึ้นในช่วงท้าย

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] BRIDGET JONES'S BABY : บริดเจ็ท โจนส์ คนเดิม ยังคงเขียนไดอารี่นะจ๊ะทุกโคนนน



แบบสั้นๆ
ใครอาจจะงงๆกับการกลับมาของ บริดเจ็ท โจนส์ เล็กน้อย แต่ถ้าใครคิดถึง เรเน่ เซลเวเกอร์ คิดถึง บริดเจ็ท โจนส์ ซึ่งคงไม่อาจหาใครอื่นมาแทนได้ ซึ่งพอดีว่าผมก็ดันเกิดคิดถึงขึ้นมาแม้จะงงๆเล็กๆ อย่างไรสุดท้ายก็ไปดู

ในวัยนี้ ทุกๆคนดูมีอายุมากขึ้นกันจริงๆ(จังๆ) ทีแรกนึกว่าเขาจะมาเมกอัพเพิ่มให้มันมีกาลเวลาของชีวิตชัดขึ้น แต่ไม่ได้หาข้อมูลเพิ่มจึงไม่สามารถยืนยันได้

และในวัยที่ต้องผ่านอะไรๆมามากมาย (และยังคงเขียนไดอารี่อยู่ แต่ไม่รู้มีเพจไหม?) แต่ละคนก็มีโอกาสผ่านความชมของชีวิตมามากขึ้นด้วย แต่แต่ละคนก็มีวิธีรับมือกับมันแตกต่างกันไป

แต่แม้จะมีความขมในหลายๆส่วน ซึ่งหลายอย่างก็จี๊ดใจดีจริงๆ ไดอารี่ตอนนี้ของบริดเจ็ทกลับมีความบันเทิงหรรษาในปริมาณมากผสมมาด้วย เป็นความหรรษาอย่างลื่นไหลจากนักแสดงทุกคนจนดูๆไปจนจบบางทีเราก็รู้สึกว่า อ่าว มันกลบ ความขม ที่รู้สึกซะมิดเลยซะงั้น...

แม้จะเสียดายและงงๆอยู่นิดที่ความขมที่มีกลับลดพลังลงไป แต่ก็คิดว่าความบันเทิงหรรษาจากไดอารี่เล่มนี้ของบริดเจ็ทนั้นสนุกสนานพอจะบอกได้ว่าเป็นการมาเจอเพื่อน(?)เก่าที่สนุกสนานหรรษา มีเรื่องฮาๆมาเล่าสู่กันฟัง จนอาหารที่กินก็จำไม่ได้แล้วว่ารสชาติเป็นไง แต่ก็สนุกดีที่ได้มาเจอกัน

เรเน่ อาจจะอายุมากขึ้นแต่เธอก็คือ บริดเจ็ท โจนส์ โคลิน เฟิร์ธ กลับมารับหนึ่งในบทสำคัญได้อย่างน่ารักดีแม้จะมีชีวิตขมๆกะเขาด้วย แพททริก แดมซี่ย์ มาเพิ่มเอเนอจี้ให้เรื่องได้อย่างอลวนดี ปะป๋า มาม๊า ของ บริดเจ็ท ยังคงน่าปวดหัวและน่ารัก และคุณหมอ เอ็มม่า ธอมสัน ดีมาก ได้ใจตั้งกะในตัวอย่าง
แถมเฮีย ฮิวจ์ แกรนท์ ที่ลี้หลบไปไม่ยอมมาเล่นภาคนี้ ยัง...ขโมยซีนได้หน้าตาเฉย...

สนุกดี แม้จะเน้นบันเทิงเฮฮาจนลืมไปหมดว่าทีแรกมันมีอะไรที่ยังแก้ไม่ได้ หรือเรื่องซีเรียสที่ยังไม่ได้พูดฟระ? ก็ถือว่าไม่เสียเที่ยวที่เจอกัน 7.7 คะแนน


แบบยาวๆ

[ภาพยนตร์] DON'T BREATHE ลมหายใจสั่งตาย : กลั้นหายใจ แล้วจิกพนักเก้าอี้ไว้







แบบสั้นๆ

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งหนังที่แจงไว้ใน แนะนำป้ายหน้าหนังสยองช่วงนี้ ว่าเป็นหนังที่เปิดตัวมาอย่างประสบความสำเร็จในอเมริกา และน่าจะรับประกับความคลั่งได้โดยชื่อของผู้กำกับ เฟเด อัลวาเรซ (Fede Alvarez) ผู้กำกับเวอชั่นรีเมกของ Evil Dead ที่คลั่งได้ใจดีทีเดียว

เอาสั้นๆก่อนนะครับ คือใครอยากดูหนังที่ต้องลุ้นจิกเบาะ คอยระวังว่าตรูจะกรี๊ดตอนไหนดี จะสะดุ้งป๊อบคอร์นกระฉอกตอนไหนดี นี่น่าจะเป็นหนังที่ตอบโจทย์คุณได้ดีทีเดียวเจียว!

แม้ว่าอาจจะมีตัวละครบางตัวที่บางครั้งก็ดูงั่งอย่างน่าสงสาร และอีกทางหนังก็มีความ 'จิต' ใช้ได้ทีเดียว

เอาสั้นๆแค่นี้ก่อนใครชอบหนังลุ้นกลั้ันหายใจ ตีตั๋วดูได้เลย! ไม่เสียตังค์ฟรีแน่นอน 8.0 คะแนน 


แบบยาวๆ

[ภาพยนตร์ ,อนิเม] SEOUL STATION ก่อนนรกซอมบี้คลั่ง : Apocalypse Now !



แบบสั้นๆ
(อาจมีสปอยล์บ้างนะครับ)

จากความสำเร็จของหนัง live action ซอมบี้เกาหลีอย่าง Train to Busan ทำให้ผู้จัดจำหน่ายตัดสินใจนำเอาเรื่องราวก่อนหน้าเหตุการณ์นั้น ซึ่งยังกำกับโดยผู้กำกับคนเดิม Yeon Sang-ho แต่เป็นในรูปแบบอนิเมชั่นซึ่งตัวผู้กำกับเคยสร้างชื่อจากงานแขนงนี้มาก่อน ก่อนจะได้มากำกับ Train to Busan อย่างที่พูดถึงไว้ในตอนแนะนำหนังสยองป้ายหน้า(ตั้งแต่)กันยา59

จริงอยู่ว่าเมื่อเป็นหนังอนิเมชั่น ความรู้สึกในการชมก็น่าจะต่างไป หลายๆคนอาจไม่คุ้นชินการเสพอารมณ์ทั้งความน่ากลัวหรือดราม่าผ่านอนิมเชั่นในแบบเดียวกับหนัง live action คนแสดง แต่ผลงานของ Yeon Sang-ho ที่ผ่านมาและสร้างชื่อก็ล้วนเป็นงานในสายดราม่าทริลเลอร์ ซึ่งแม้ไม่เคยดู แต่ได้ดู Seoul Station แล้วก็ถือว่าเป็นผลงานรับประกันฝีมือในงานอนิเมชั่นของผู้กำกับได้ไม่น้อย เพราะถ้าเทียบกันจริงๆกับ Train to Busan แม้จะยอมรับว่ามันมีข้อเปรียบบางอย่างที่ทำให้สัมผัสกับภาพที่ให้ความรู้สึกตื่นเต้นน่ากลัวชัดเจนกว่า (และหนังก็ทำได้ดีจริงๆในหลายๆส่วน)

งานอนิเมชั่นของ Seoul Station เป็นงานลักษณะใกล้เคียงกับงานของทางญี่ปุ่น แม้อาจไม่เนี๊ยบเท่างานระดับท๊อปๆ แต่ก็เนี๊ยบในระดับมาตรฐานงานหลายๆเรื่องของฝั่งญี่ปุ่น และงานก็มีสไตล์เฉพาะตัวของตัวละครที่ให้ความรู้สึกเฉพาะต่างไปจากงานของญี่ปุ่น ขณะเดียวกันก็เล่าเรื่องโดยมีการออกแบบฉาก เฟรม การเคลื่อนไหว ให้มีอารมณ์ความรู้สึกของทั้งความระทึก กดดัน สิ้นหวัง ฯลฯ ได้ดีทีเดียว

แต่ถ้าเป็นส่วนของเนื้อเรื่อง โดยเฉพาะเนื้อหาและความรู้สึกในเชิงดราม่า เรากลับรู้สึกว่ากระทบใจกับ Seoul Station มากกว่า คืออย่างที่เคยพูดถึงไปตอนเขียนถึง Train to Busan ว่าแม้หนังจะระทึกกดดัน และแจกแจงตัวละครได้ดี แต่ว่าก็ยังรู้สึกว่าหนังมีความจงใจบางอย่าง (จะว่าจงใจจะเท่นิดๆ หรือไม่บางทีก็จะเอาให้เศร้าก็ได้) แม้จะเล่าได้ดีแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกอยู่ในหลายจุดแม้ไม่มากจนไปทำลายความรู้สึกของเรื่อง รวมไปถึงประเด็นของเรื่องที่เอามาพูดด้วย คือ หนังเล่าเรื่องได้ดี แต่ส่วนที่เด่นส่วนนึงก็คือความรู้สึกในเชิงแอ็คชั่นการหลบหนีการไลล่า ซึ่งยิ่งเพิ่มความระทึกโดยเฉพาะในพื้นที่จำกัดอย่างรถไฟ
ส่วนใน Seoul Station แม้จะมีจุดที่รู้สึกอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่มากเท่า และก็พอจะกล้อมแกล้มหาเหตุผลในการกระทำได้มากกว่า แม้จะมีบางจุดที่ตะหงิดๆในทีแรก แต่เมื่อต้องคิดถึงการดิ้นรนเอาชีวิตรอด ก็ถือเป็นเหตุการณ์ที่เป็นไปได้เหมือนกัน

ความจริงเรื่องราวใน Seoul Station ก็ไม่ใช่จะส่งต่อไปยัง Train to Busan ตรงๆ เป็นเหมือนเหตุการณ์ในอีกที่นึงที่เรายังไม่ได้เห็นมากกว่า แต่ในขณะที่ Train to Busan เด่นในสิ่งที่พูดถึงไปแล้ว กลับรู้สึกว่าเรื่องราวประเด็นที่ถูกพูดถึงใน Seoul Station มีความเชื่อมโยงและกระทบใจมากกว่า

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์, สารคดี] TSUKIJI WONDERLAND อัศจรรย์ตลาดปลาสึคิจิ : ณ ที่นั่นคือดินแดน สึคิจิ


แบบสั้นๆ
ใครที่ชอบอาหารญี่ปุ่น อย่าง ซาชิมิ หรือซูชิ ชื่นชอบอาหารทะเล หรือถ้าคุณชื่นชอบมังงะเกี่ยวกับซูชิ เช่นเรื่อง Shota no Sushi ซูชิของโชตะ (หรือในชื่อลิขสิทธิ์แปลไทย โดยวิบูลย์กิจ ว่า ไอ้หนูซูชิ) คุณต้องเคยได้ยินชื่อสถานที่นี้แน่นอน หรือถ้าคุณเคยดู Jiro Dreams of Sushi แล้วชื่ชอบ นี่เป็นเสมือนภาคต่อหรือภาคแยกสำหรับร้านซูชิชื่อดัง ซึ่งฉายให้เห็นทั้งความเป็นมืออาชีพ และความสัมพันธ์ที่ถูกสร้างขึ้นภายในดินแดนแห่ง หรือถ้าคุณเคยไปเหยียบตลาดปลาแห่งนี้แล้ว (ผมไม่เคยไป - -) ก็น่าจะยังมีหลายอย่างที่คุณไม่เคยรู้หรือเคยเห็น หรือถ้าคุณสนใจรูปแบบของวัฒนธรรมญี่ปุ่น นี่ก็เป็นดินแดนที่ก่อร่างขึ้นจนมีเขตแดนและวัฒนธรรมของตัวเอง

แม้จะได้เข้าไปเหยียบดินแดนนี้แค่เพียงผ่านจอภาพ แต่การได้ผ่านเข้าไปเห็นดินแดนแห่งนี้ ก็ยังน่าตื่นเต้นและน่าตื่นตา

แน่นอนว่าความรู้สึกของแต่ละคนคงไม่เท่ากัน แต่ถ้าคุณมีคุณลักษณะที่สามารถจัดประเภทได้ตามย่อหน้าแรก นี่คือดินแดนที่คุณน่าจะอยากเข้าไปสัมผัส

ดินแดนแห่งนี้แม้จะเต็มไปด้วยพ่อค้าและอาหารทะเล แต่หลายๆอย่างที่ก่อร่างขึ้นมาตั้งแต่ 80 ปีก่อน ทำให้ที่แห่งนี้มีรูปแบบและวัฒนธรรมเฉพาะ ส่วนหนึ่งเป็นวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่น ส่วนหนึ่งเป็นสถานที่บ่มเพาะความเชี่ยวชาญระดับมืออาชีพ และส่วนหนึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างดินแดนอื่นๆที่ข้ามมายังดินแดนสึคิจิ ความสัมพันธ์ระหว่างชาวประมง ระหว่างพ่อค้าคนกลาง พ่อค้า พ่อครัวร้านอาหาร เจ้าหน้าที่ประมูล คนดูแลตลาด นักวิจัย ผู้ซื้อ ฯลฯ เหล่านี้เป็นส่วนที่ประกอบขึ้นมาเป็น สึคิจิ

[ภาพยนตร์] แฟนเดย์...แฟนกันแค่วันเดียว : สะพานแขวนชื่อความทรงจำ?...


แบบสั้นๆ
หนังของ GDH (เลขตามหลังจำไม่ได้แล้ว ใช่ 365 ไหม?) เรื่องแรก ซึ่งยังคงน่าจะทำมามอบแก่แฟนๆ GTH โดยฝีมือของผู้กำกับคุณ โต้ง บรรจง (ผู้กำกับร่วมของหนังอย่าง ชัตเตอร์ และ แฝด ตอน คนกลาง และ คนกอง ใน 4 แพร่ง และ 5 แพร่ง ตามลำดับ และ กวน มึน โฮ กับหนังพันล้าน (ที่รู้จักคุณ ใหม่ ดาวิกา เป็นหนแรก) อย่าง พี่มาก พระโขนง)

ผ่านไปหลายขวบปีผู้กำกับโต้งก็พาคุณเต๋อ ฉันทวิชช์  มาเจอะกับนางเอกคุณมิว นิษฐา ถ้าเอาแบบสั้นๆ อย่างที่คุณโต้งให้สัมภาษณ์ไว้ว่าแม้หลายๆอย่างมันดูจะไปคล้ายๆ กวน มึน โฮ พระเอกก็คนเดียวกัน แต่มันจะเป็นหนังรักที่โตขึ้น และมีส่วนผสมของความเป็นหนังโรแมนติกมากกว่าจะเป็นโรแมนติกคอมเมดี้ ซึ่ง ที่ไปดูมาโทนของหนังก็เป็นไปตามนั้นครับแต่ทั้งหมดที่คาดหวังได้จากหนังยังมากันครบ ทั้งนักแสดงนำที่มีเสน่ห์ ยิ้มสวย น่ารัก อารมณ์ขัน ความกวน คำคม โมเม้นต์สวยๆ ความโรแมนติก โฆษณา (นี่เขียนเอาฮาเฉยๆ แต่มันก็มีกันหลายเรื่องแหละ ยิ่งท่าจะดังมากก็ยิ่งอาจมีสปอนเซอร์มากเน้อ - จริงประเด็นนี้ถ้าไม่ทิ่มตามาเลยก็เฉยๆนะ - บอกแล้วว่าแซวเฉยๆ) ถึงจะไม่ใช่ระดับหนังในดวงใจ เข้าโรงไปดูต่อรอบสองเลยดีกว่า (ซึ่ง...(ที่จำได้)ก็ไม่เคยทำแบบนั้นน่ะนะ แม้จะเป็นหนังที่ชอบมากๆๆก็ตาม...) แต่นี่ก็เป็นหนังที่ดูสนุก มีโมเม้นต์ขำๆ โมเม้นต์โรแมนติก มีเสน่ห์ของนักแสดงนำทั้งสองพาผู้ชมอย่างเราให้ติดตามไป มีเคมีระหว่างนักแสดงให้เราเอาใจช่วย แม้จะมีความกี๊กผสม(ผ่านตัวละครของเต๋อ) ด้วยก็ตาม คนทั่วไปก็ดูเอาไว้ฮาเป็นหลักล่ะนะ ซึ่งก็สนุกดี และมันก็มีความรวดร้าวไประหว่างความโรแมนติก และคำว่ารักอยู่ด้วย และในหลายๆช่วงมันก็ทำให้เราลุ้นไปกับเหตุการณ์ สถานการณ์ และความรักของทั้งคู่ได้จริงๆ โดยผู้กำกับโต้งก็ยังคงใช้สไตล์การเล่าเรื่องของเขามาใช้ในเรื่องนี้อย่างค่อนข้างชัด ที่จะเก็บบางอย่างเอาไว้ก่อนจะเผยมันออกมาให้จู่โจมผู้ชมและตัวละครอีกครั้ง ซึ่งหลายๆช๊อตก็เอาตายได้เหมือนกันยิ่งกับคนพร้อมจะโรแมนติกอยู่แล้วด้วย ซึ่งเท่านี้ก็ถือว่าผ่านแล้ว จะเป็นคนดูทั่วไปหรือแฟนๆ GTH ก็คิดว่าไม่น่าจะผิดหวังกันครับ แม้จะไม่ถึงกับเป็นหนังในดวงใจ และแม้ผมจะรู้สึกว่าที่คุณเต๋อทุมเทเพิ่มน้ำหนักให้ฉุขึ้น เปลี่ยนลุคให้ธรรมดาๆกี๊กๆ ผนหยิกงี้ แต่...ที่น้ำหนักเพิ่มผมก็ไม่รู้อะไรจากตัวอย่างกับเขาเลยจนเพื่อนบอกให้ฟัง (เวรกำ) จนไปเห็นฉากโชว์ในหนังนี่แหละถึงชัดหน่อย (ซึ่งถึงตรงนี้ก็ต้องบอกว่าก็ทุ่มเทจริงหละนะครับ - เพราะงั้นใครอยากไปดูฉากโชว์ก็ไปดูได้ครับ) แถม...ดูไปตั้งนานก็ยังรู้สึกว่า...คุณเต๋อในบทเด่นชัยก็ยังดูดีกว่าเราป่าวฟระ?!!! ลำบากแล้วตรูทีนี้... คุณมิวน่ารักครับ เต๋อในบทเด่นชัยจะหลงชอบก็ไม่แปลก

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] SULLY ซัลลี่ ปาฏิหาริย์ที่แม่น้ำฮัดสัน : ราคาของฮีโร่...



แบบสั้นๆ
ปาฏิหาริย์ที่แม่น้ำฮัดสัน เป็นวีรกรรมของกัปตัน ซัลลี่ ของสายการบินเดลต้า ที่ตัดสินใจครั้งสำคัญหลังจากเครื่องบินทะยานขึ้นได้ไม่นานแล้วเกิดอุบัติเหตุให้เครื่องยนต์ของปีกทั้ง 2 ข้างมีปัญหา กัปตันต้องตัดสินใจว่าจะหลีกเลี่ยงอันตรายและหายนะที่จะเกิดได้อย่างไร จะย้อนกลับไปยังสนามบินที่บินขึ้น หรือเปลี่ยนเส้นทางไปยังที่ที่พอจะลงจอดได้ และการตัดสินใจของกัปตันที่อาจไม่ใช่คำตอบที่หลายคนคาดคิดก็คือ... แม่น้ำฮัดสัน

ทีแรกที่ดูตัวอย่างหนัง Sully อาจมีหลายคนนึกไปถึงหนังอย่าง Flight ของ ผกก.โรเบิร์ต เซเมกคิส ที่มีเดนเซล วอชิงตัน นำแสดง

ส่วนใน Sully เป็นการมาร่วมงานกันของ ผกก. คลินท์ อีสท์วู๊ด และนักแสดงอย่าง ทอม แฮงค์

สำหรับผู้กำกับ เอาจริงๆ ผมค่อนข้างทึ่งและนับถือ ผกก. คลินท์ อีสท์วู๊ด เพราะกระทั่งด้วยวัยเกิน 80 แกยังคงทำหนังออกมาอย่างต่อเนื่อง (ผกก.รุ่นเก๋าคนอื่นๆก็ยังมีอีกหลายคน เช่น วูดดี้ อัลเลน ที่เพิ่งมี Cafe Society ฉายไปไม่นาน) แถมหนังแต่ละเรื่องที่แกทำนี่ก็เต็มไปด้วยเอเนอจี้ ยังคงมีความเข้มข้น และมีความมั่นอกมั่นใจในการนำเสนอ ทั้งหลายๆเรื่องยังเล่นกับสเปชี่ยลเอ็ฟเฟ็กท์อีก เรียกว่ากระทั่งผู้กำกับหนุ่มๆอาจจะดูไม่ พลัง ได้เท่า ผกก. คลินท์ อีสท์วู๊ด ก็ได้

ส่วน ทอม แฮงค์ ยังคงแสดงได้ดีสมมาตรฐาน แม้ว่าบทอาจไม่ดูผ่อนคลายหรือน่าสนุกอย่างใน A Hologram for the King แต่ ทอม แฮงค์ ก็แสดงได้อย่างเข้มข้นในเรื่องนี้ ให้ภาพนักบินมากประสบการณ์ได้น่าเชื่อถือดีทีเดียว ทั้งยังถ่ายทอดอารมณ์ในหลายๆช่วงออกมาได้ดีด้วย ถือว่าการแคส ทอม แฮงค์ มาเป็นซัลลี่ในเรื่องเป็นคำตอบที่ดีมากคำตอบนึงเลย

แม้จะคล้ายกับ Flight แต่ประเด็นที่หนังดูจะมุ่งเน้นนั้นก็ดูจะต่างกัน และที่ต่างกันอีกประการคือเรื่องราวในแม่น้ำฮัดสันนั้นสร้างจากเรื่องจริง

และเรื่องราวที่เป็นเรื่องจริงก็ดูจะไม่ใช่แค่เรื่องของปาฏิหาริย์

ในที่นี้  ผกก. คลินท์ อีสท์วู๊ด ร้อยเรียงเหตุการณ์และเล่าเรื่องได้เข้มข้น การลำดับเหตุการณ์และสถานการณ์ต่างๆมาจนถึงตอนท้ายของเรื่องมีทั้งความเข้มข้น สะเทืิอนอารมณ์ ทั้งฉากระทึกที่เกี่ยวกับเครื่องบินก็คุมจังหวะ และนำเสนอภาพได้เป็นอย่างดี รู้สึกถึงทั้งความอันตราย ระทึก การตัดสินใจ ความไม่แน่ใจ และความหวัง ทั้งการแสดง และภาพ ในหลายช่วงสำคัญของหนังนั้นให้ภาพของทั้งความใหญ่โตของสิ่งที่ตาเห็นและความรู้สึก ถือว่าการตัดสินใจไปชมเรื่องนี้แบบจอใหญ่ IMAX (แม้ไม่ใหญ่ที่สุด) นั้นเป็นผลลัพธ์ที่คุ้มค่า

จังหวะของนักแสดงแต่ละคนยังถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างดี มีจังหวะจะโคน มีความเป็นธรรมชาติ ผ่อนคลาย และเข้มข้น ในหลายๆบทบาทแม้ไม่ใช่บทเด่นอย่างซัลลี่ นักแสดงหลายคนก็ให้การแสดงที่ดีมาก โดยเฉพาะในบทและช่วงเวลาที่บีบคั้นความรู้สึก และนักแสดงอย่าง แอรอน แอ็คฮาร์ต ก็ให้การแสดงที่เข้าคู่กับทั้ง ทอม แฮงค์ อารมณ์ของหนัง และเรืองราว ได้ดีมาก

แม้จะเล่าเรื่องในคนละมุมกับ Flight แต่ด้านนึงอาจจะถือว่าเป็นมุมกลับของ Flight ก็เป็นได้

คุณสมบัติใดที่ทำให้คนๆหนึ่งกลายเป็นฮีโร่?

[ภาพยนตร์] FEBRUARY เดือนสอง ต้องตาย : หญิงสาว ความมืด และเลือด กลางหิมะ





แบบสั้นๆ
พูดกันตรงๆ ยกเว้นความเป็นหนังสยองแล้ว ที่ทำให้คิดว่า FEBRUARY น่าสนใจก็คือสามสาวนักแสดงในเรื่องนี่เอง (อย่างที่บอกกันไปแล้วในตอนแนะนำป้ายหน้าหนังสยองไปชุดนึง ซึ่ง...ก็มีรู้ตัวว่ายังมีตกบางเรื่องที่ก็สนอยู่ แต่ดันลืมไปอย่างน่าเขกหัว เพราะงั้นก็จะน่าเอามาแนะนำเพิ่มไว้อีกแหละ) และเมื่อมีความตั้งใจไปดูแล้ว ก็ต้องหาทางจัดเวลาไปดูกันหน่อย

ก็พบว่า รอบมันก็ดูน้อยๆ หาดูลำบากหน่อยๆ เหมือนกัน ก่อนจะไปพบว่า อ่าว คำวิจารณ์เรื่องนี้ก็ดูไม่ดีเท่าไหร่แฮะ? แต่เราก็ไม่สน (เนื้อหาคำวิจารณ์ก็ไม่ได้อ่าน) ไหนๆก็ตั้งใจจะไปดูแล้วนี่นะ ก็จัดเวลาหารอบไปดูมาจนได้ (ซักพักใหญ่แล้ว)

แม้ว่าจะไม่แน่ใจว่าแบบยาวๆจะได้มาเขียนเพิ่มไหม? และเมื่อไหร่?  (อย่างที่ก็เป็นแบบนี้แหละมาตลอด...) ถ้าเอาแบบสั้นๆ จริงถ้าเทียบกับคะแนนที่เห็นผ่านๆแล้ว คิดว่า FEBRUARY  โอเคกว่าที่คิดนะครับ คิดว่ามันดีกว่าคะแนนที่เห็นผ่านๆมา

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2559

NEXT STOP ป้ายหน้า(ตั้งแต่)กันยาสยอง ' 59

แนะนำ 13 เกมสยอง ก็แนะนำครบกันไป (เสียที!) แล้วนะครับ ไว้ค่อยหาเรื่องเขียนถึงกันต่อไป

แต่เราก็ยังไม่ยอมจบเรื่องอะไรสยองๆกันง่ายๆ

จากที่ผ่านมา เราก็ได้ผ่านตาหนังสยองกันมาเรื่อยๆ อย่าง Abattoir ที่เพิ่งเขียนถึงไป ก็อาจจะน่าเสียดายที่มันอาจจะมีข้อบกพร่องซึ่งทำให้มันไม่ใช่ความสยองอันน่าพึงพอใจหนักๆในท้ายที่สุด แม้จะกำกับโดยผู้กำกับ Saw ภาค 2 ถึง 4 และมีไอเดียรึเรื่องราวบางส่วนที่ก็น่าสนใจดีเหมือนกัน

แต่! แฟนๆรึคนหนังสยองก็ยังไม่ต้องหนักใจไป เพราะ! ยังมี 'สยอง' อีกหลายเรื่องรอจ่อคิวมอบความเขย่าขวัญให้กับคุณๆ

ก็คงขึ้นอยู่กับแต่ละเรื่องว่าจะทำมาพ้องพานรสนิยมความพอใจความชอบความสยองของแต่ละคนที่คาดหวังไว้ได้มากน้อยขนาดไหน?

เพราะฉะนั้น ก็ขอแนะนำหนังสยองที่จ่อคิวรอฉายตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ.2559 นี้ ไว้เผื่อให้คน 'สยอง' ทุกท่านได้พิจารณาเตรียมตัวและใจไว้เลือกชมกันตามอัธยาศัยครับ!




FEBRUARY เดือนสอง ต้องตาย (เข้าฉาย 8 กันยายน 2559)



แม้จะดูตัวอย่างหนังที่เราเองไม่ค่อยจะรู้อะไรเท่าไหร่ รู้เพียง แบรมฟอร์ด หิมะ ฯลฯ และดูมันจะเป็นหนังเน้นบรรยากาศและความลึกลับมากกว่า รวมถึงแม้จะมีตัวอย่างคำชมไว้ในตัวอย่างหนัง

แต่เหตุผลประกอบจริงๆที่ทำให้เราอยากดูหนังเรื่องนี้ก็คือ

เราดูตัวอย่างและเกิดคิดถึง ราฟีน่า จาก Sing Street และ วี จาก Nerve ครับ (เริ่มมาเรื่องแรกก็ชิงหลุดประเด็น(อย่างน่าสยอง?!)กันเลย!)

หรือจริงๆก็คือ เราอยากเห็นหน้า ลูซี่ บอยน์ตัน (Lucy Boynton) กับ เอ็มมา โรเบิร์ตส์ (Emma Roberts) (แม้จะบอกว่าเธอผอมบางไปนิดในครั้งเจอเธอใน Nerve) ทั้งยังมี เคียแนน ชิปก้า (Kiernan Shipka) ร่วมแสดงในหรังสยองเรื่องนี้อีกด้วย

เราจึงหารูปสวยๆของทั้งสามสาวมาให้ดูกันไว้ด้วยครับ (เรียงตามลำดับ)


รูปของ ลูซี่ บอยน์ตัน (Lucy Boynton) กับ เคียแนน ชิปก้า (Kiernan Shipka) เอามาจากภาพในเซต ภาพนักแสดงจากภาพยนตร์มี่เข้าร่วมเทศกาลหนังโตรอนโตเมื่อปีที่แล้ว และ FEBRUARY ก็เข้าร่วมด้วย ซึ่งเอามาจาก ที่นี่ ลองไปกดดูเพิ่มเติมกันนะครับ และเนื่องจากภาพสวยๆชุดนี้เป็นภาพขาวดำ เลยเลือกภาพขาวดำของ เอ็มม่า โรเบิร์ตส์ มาเป็นขาวดำด้วยจะได้เข้าชุดกันทั้งสามสาวครับ

ตัวอย่างหนัง




SEOUL STATION ก่อนนรกซอมบี้คลั่ง (เข้าฉาย 15 กันยายน 2559)


เพิ่งผวากันไปกับซอมบี้พันธุ์เกาหลัใน Train to Busan ด่วนนรกซอมบี้คลั่ง ไป และในไทย หนังดราม่าซอมบี้เกาหลีเรื่องนี้เองก็ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง (จนได้ยินข่าวว่าน่าจะกลายเป็นหนังเกาหลีทำเงินสูงสุดในไทย)

ซึ่งก็เป็นโอกาสอันดีที่ค่ายหนังก็เห็นเป็นโอกาสที่จะนำเอา เรื่องราวก่อนหน้า Train to Busan เข้ามาฉายให้ดูกันในไทยด้วย!

แม้จะเป็นอนิเมชั่น ซึ่งต่างไปจากภาพยนตร์ live action คนแสดง แบบ Train to Busan แต่เรื่องความเข้มข้น กดดัน ความสยอง (รวมไปถึงดราม่า) ก็ยังน่าจะรับประกันได้ เพราะว่า ผู้กำกับและเขียนบทของอนิเมชั่น Seoul Station เรื่องราวของการระบาดไข้ซอมบี้ ในสถานีกรุงโซล ก่อนหน้าเหตุการณ์ใน Train to Busan ก็คือ Yeon Sang-ho ซึ่งก็เป็นทั้งผู้เขียนบทและผู้กำกับของ Train to Busan น่ะแหละ! (ฉายปีเดียวกันด้วย อะไรจะขยัน(สยอง)ขนาดนี้!)

แถมก่อนนี้ Yeon Sang-ho ก็สร้างชื่อมาจากหนังอนิเมชั่นดราม่าทริลเลอร์อย่าง Saibi (The Fake) และ Dwae-ji-ui wang (The King of Pigs) มาก่อน จนได้มากำกับ Train to Busan ด้วย! อยากไปหาอนิเมชั่นสองเรื่องนั้นมาดูตะหงิดๆขึ้นมาทันที

เพราะงั้นแฟนๆ Train to Busan ด่วนนรกซอมบี้คลั่ง ที่สนใจอยากรู้เรื่องราวก่อนหน้านั้น ก็คงต้องลองมาติดตามกันเรื่องราวกันใน สถานีกรุงโซล Seoul Station ก่อนนรกซอมบี้คลั่ง นี้กันดู หรือแฟนอนิเมชั่นพันธุ์สยอง ซึ่งไม่ใช่จะหลุดมาฉายโรงกันบ่อยๆ แถมเป็นรสชาติเกาหลีอีก ก็ถือเป็นอนิเมชั่นไม่ควรพลาด!

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์ ,อนิเม] KUBO AND THE TWO STRINGS คูโบ้ และพิณมหัศจรรย์ : มนต์มหัศจรรย์ผ่านสต๊อบโมชั่นเล่าขานตำนานญี่ปุ่นอันน่าประทับใจ


แบบสั้นๆ
มีความผิดพลาดของตัวผมเองจำนวนนึงที่เกิดขึ้นตอนดูหนังตัวอย่างของ Kuboฯ คือทีแรกผมแค่รู้สึกว่า โอ นี่เป็นการ์ตูนอนิเมชั่นอีกเรื่องจากยูนิเวอร์แซลปีนี้แฮะ (ที่ส่งอนิเม ชีวิตลับเหล่าสัตว์เลี้ยง ลงจอมาก่อนหน้านี้ และยังจะมีเรื่องที่เขาจะปล่อยในปีนี้อีก(อย่างที่บอกว่ามี hint ในเรื่องด้วย)นะ) ดูๆไปก็เป็นอนิเมชั่นสไตล์ที่เล่าเรื่องราวตำนานญี่ปุ่น ที่มีภาพ 'คอมพิวเตอร์สร้าง' ทั้งฉากและตัวละครที่มีดีไซน์แปลกตาแต่ก็เข้ากับบรรยากาศในเรื่องและเคลื่อนไหวได้ลื่นไหลดีจัง น่าดูดี

ความผิดแรกของผมคือ แม้จะมีภาพคอมพิวเตอร์สร้างจริง แต่มัน ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะนี่เป็นอนิเมชั่นเทคนิค Stop-Motion มันเป็นการสร้างหุ่นจริงๆ ขึ้นมาแล้วขยับไปทีละเฟรม เป็นเทคนิคอย่างทีมีใช้ในภาพยนตร์หลายเรื่องก่อนที่การใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกจะเฟื่องฟูแบบปัจจุบัน (ที่เขาไม่ต้องรอฟ้าใสฟ้าโปร่งเมฆ(จริงๆ)สวยอะไรกันแล้ว เพราะไปแก้เอาทีหลัง(ก็)ได้(เฟร้ย)) พอรู้มาทีหลังแล้วได้ดูตัวอย่างอีก คราวนี้ถึงรู้! ทั้งบางคนก็น่าจะเคยผ่านตาอนิเมชั่นที่ใช้เทคนิคนี้เต็มสูบมาแล้ว อย่างเช่น Nightmare before Christmas, Chicken Run, Frankenweenie (รีเมกจากหนังของตัวเองโดย ทิมเบอร์ตัน), ฯลฯ จากสตูดิโอ Laika ที่สร้างชื่อจากอนิเมชั่นเทคนิคนี้มาหลายเรื่องแล้ว!

และที่น่าเขกกระโหลกตัวเองนักอีกอย่างคือ ทีแรกผมจำสตูดิโอ Laika ไม่ได้! ทั้งที่เรื่องที่เจ็บใจมากๆเรื่องนึงไม่กี่ปีก่อนคือการที่ อนิเมชั่นสต๊อปโมชั่นจากสตูดิโอนี้อย่าง ParaNorman แคนเซิลการมาฉายโรงในไทยไป โดยมีรอบพิเศษฉายแบบ 3D ให้ดูกันรอบเดียวและผมก็ไม่สะดวกไปดูอย่างน่าเจ็บใจ ทั้งพบในภายหลังตอนที่ดูเอาจาก DVD ว่า มันทั้งมีเอกลักษณ์ทั้งการออกแบบและการเล่าเรื่อง เทคนิคสต๊อปโมชั่นยังยอดเยี่ยมกระเทียมดอง แถมมันยังสนุกอย่างร้ายกาจ! น้ำตาจะไหล...

เขกกระโหลกตัวเองไปซัก 2 ที โทษฐานที่ตาถั่วและจำไม่ได้ ปฏิบัติ!

เพราะงั้น ก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันที่น่าจะมีไว้เป็นข้อมูลสำหรับคนดูที่อาจพิจารณาหนังเรื่องนี้

สำหรับคนดูที่ชอบเรื่องของเทคนิค โดยเฉพาะเทคนิค STOP-MOTION (เช่น คนที่อินกับสารคดีอย่าง CREATURE DESIGNERS - THE FRANKENSTEIN COMPLEX หรือในชื่อไทยว่า มอนสเตอร์เนรมิตร ที่ Documentary Club นำเข้ามาฉายไปก่อนหน้านี้) หรือชื่นชอบอนิเมชั่นสต๊อปโมชั่น (อย่างที่ร่ายรายชื่อไปนิดหน่อยข้างต้น) นี่คือหนังสำหรับคุณครับ นี่เป็นอีกหนึ่งผลงานพิถีพิถันจากสตูดิโอ Laika ที่ใช้เวลาสร้างกว่า 5 ปี แถมมีหุ่นอนิเมทขนาดใหญ่ยักษ์ (เคยไปนั่งดูที่เขามีจอฉายตัวอย่าง หรือเบื้องหลังเรียกน้ำย่อย เพิ่มความอยากให้ตัวเองมาด้วย) จนแม้จะดีใจมากที่เรื่องนี้เข้าฉาย หลังจาก The Boxtrolls อนิเมชั่นสต๊อปโมชั่นเรื่องก่อนของ Laika ไม่ได้มาฉายในไทย ก็ยังแอบเสียดายนิดๆว่าอยากดูเป็น 3D ดูซะกะหน่อยจังเลยน้า... (หนังมีฉายแต่ 2D)

ส่วนคนดูทั่วไปที่ผ่านตาตัวอย่างหนัง การ์ตูนอนิเมชั่นบรรยากาศตำนานญี่ปุ่นเรื่องนี้ มีทั้งความประณีตนิ่มนวล ก็อย่างที่บอกว่าทีแรกดูตัวอย่างที่ตัดมาผมหลุดสังเกตไปด้วยซ้ำว่า นี่มันไม่ใช่ภาพคอมพิวเตอร์สร้าง โดยเฉพาะตัวละคร แม้ว่าพอรู้มาทีหลังแล้วไปดูดีๆในตัวอย่างก็เห็นว่ามันเป็นเทคนิคสต๊อปโมชั่น แต่มันก็ยังลื่นไหลและนิ่มนวลอย่างน่าทึ่งและน่าประทับใจ อีกทั้งการเลือกใช้ฉากบางฉากเป็นภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิกยังช่วยสร้างบรรยากาศและความ กว้าง ให้กับทิวทัศน์และสภาพแวดล้อมของหนังได้อย่างดี ส่งผลให้หนังสวยงาม ทั้งมันยังมีความ อลังการ ที่เป็นการผสมผสานระหว่างคอมพิวเตอร์กราฟฟิกและเทคนิคสต๊อปโมชั่นได้อย่างเยี่ยมยอด การออกแบบเองก็มีเอกลักษณ์น่าประทับใจ และการใช้เทคนิคสต๊อปโมชั่นยังสร้างบรรยากาศเฉพาะ รวมไปถึงเข้ากับสิ่งที่หนังเลือกมาเล่าในครั้งนี้ได้อย่างดียิ่ง ทั้งการพลิ้วไหวของเสื้อผ้าหรือผมของตัวละคร การขยับไหวของกระดาษพับ คิริกามิ ภายใต้มนต์วิเศษ ยังดูมีชีวิตชีวาอย่างยิ่งในอนิเมชั่นเรื่องนี้

เรื่องราวของหนังเป็นการเล่าเรื่องของเด็กชายคูโบ้ และเรื่องราวหนหลังอันเกี่ยวกับความเป็นมาของพ่อกับแม่ของเขา และ ครอบครัว ที่เขาไม่เคยรู้จัก จนในที่สุดเงาจากอดีตก็ทาบทับและผลักดันให้เขาต้องออกเดินทางไปพร้อมๆกับค้นหาเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] ABATTOIR บ้านกักผี : ความลับของบ้านสยอง


แบบสั้นๆ

จริงๆก็คิดว่าจะหาโปสเตอร์เวอชั่นไทยมาลง แต่เห็นเวอชั่นนี้ก็คิดว่ามันก็เข้าทีดีเหมือนกัน เดี๋ยวไว้หามาแปะด้านล่างๆไว้ละกันครับ

การไปดูหนังเรื่องนี้เป็นด้วยความเผอิญหลายอย่างซึ่งคงไม่นำมาสารธารยายไว้ในที่นี้ แต่ที่พอจะสนใจทั้งที่อ่านชื่อไทยก็ดูจะน่าสนอยู่ครึ่งๆกับว่าดูเป็นชื่อธรรมดา กับชื่อว่า บ้านกักผี ก็เพราะไปอ่านพลอตเรื่องที่ว่า ไอบ้านกักผีที่ว่าเป็นการสร้างขึ้นมาจากส่วนต่างๆของบ้านหลายหลังที่เคยเกิดการฆาตกรรมมาก่อน...

พลอตดูเหมาะกับคอหนังสยองอย่างไรชอบกล รู้แถมมาอีกนิดว่า ผู้กำกับคือ ดาเรน ลินน์ โบสแมน (Darren Lynn Bousman) ผู้กำกับ Saw ภาค 2-4 อะไรประมาณนี้ ซึ่งแม้จำได้ว่าไม่ได้ดูทุกภาค แต่ก็น่าจะดูถึงภาคแถวๆนี้ และก็ยังคิดว่ามันก็ยังสนุกดี (อย่างไรก็ไม่มีภาคไหนสู้ภาคแรกได้ - เพิ่งกล่าวแบบนี้ไปนี่นะ - ส่วนผู้กำกับภาคแรกอย่าง เจมส์ วาน ก็ไปไกลมากก ทั้ง Insidious Fastฯ 7 หรือ The Conjuring ทั้ง 2 ภาค แถมนี่ยังจ่อคิวกำกับ Aquaman ของ DC อีก!) แม้ไม่ใช่เครื่องการันตีอะไรมาก แต่ก็ช่วยเพิ่มอะไรซักอย่างเข้าไปในการตัดสินใจล่ะนะ

ในหนังช่วงแรกหลังจากได้เจอเรื่องราวโหดๆวูบไปวูบมา พร้อมแผนผังบ้านโน่นนี่ หนังก็เริ่มนำเราเข้าสู่เนื้อเรื่อง เริ่มจากนักข่าวสาวคนหนึ่ง แฟนของเธอซึ่งเป็นตำรวจ และครอบครัวของพี่สาวของเธอซึ่งมีลูกชายหนึ่งคน หนังในช่วงนี้สำหรับผมแล้วถือว่าถ้าไม่พลาดก็ธรรมดา แคสติ้งพอใช้ได้ แต่ตัวละครอย่างแฟนนางเอกนี่คิดว่าเซตลุคขี้แอ็คกับชอบยิงคำคมมาเยอะเกินพอดีไปหน่อย การแสดงอาจไม่มีอะไร แต่กับการเล่าเรื่องในแต่ละฉากก็ถือว่าพอไปได้ ที่ผมพิลึกในส่วนนี้คือจังหวะของหนัง เพราะรู้สึกว่ามันแปลกๆ เหมือนมันห้วนๆ รีบๆลนๆ และเนื้อเรื่องในทางการตามหาความจริงแบบมีอารมณ์หนังสืบสวนนิดๆนี่ก็ไม่ได้ดีพอจะดึงเรื่องราวไว้ได้ซะด้วย จนพอเข้าสู่พาร์ทของการตามหาความจริงที่นำไปสู่เมืองเมืองหนึ่งนั่นแหละ อะไรๆค่อยเข้ารูปเข้ารอยหน่อย แม้จะคงไม่พ้นอารมณ์สยองแบบรู้อยู่แล้วไปหน่อย แต่จังหวะและการแสดงของตัวละครที่เริ่มเพิ่มเข้ามาช่วงนี้ แม้จะดูประหลาดๆไฮเปอร์ๆกันไปหมด แต่อารมณ์ของหนังส่วนนี้ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ในเรื่องของการเล่าเรื่องหนังยังชอบพลาดอะไรประหลาดๆที่ไม่น่าพลาด บางจังหวะคิดว่าบิ๊วด์โน่นเลาน่มาได้ดีแล้วใช้ได้แล้วก็จะชอบมาแปร่งจังหวะสำคัญเอาหลายที ทำเอาเสียดายไม่น้อย แต่เรื่องราวในส่วนนี้และหลังจากนี้ ซึ่งจะนำไปสู้เรื่องราวและความเป็นมาของ บ้าน หลังที่ว่าก็ถือว่าน่าสนใจและมีอะไรๆมาเล่าได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะในเรื่องของ ความเชื่อและเงื่อนไขของความเชื่อ และการมีอะไรๆร่วมกัน (ทำเอานึกไปถึง หนังเรื่อง The Dressmaker แม้ว่าหนังจะไม่มีอะไรแซ่บๆขนาดนั้นก็ตาม (โดยเฉพาะ เคท วินสเลท) และถ้าให้พูดตามตรง บางพาร์ทที่น่าสะพรึงในหนังเรื่องนั้น ทั่วๆไปยังทำได้ดีกว่าความน่าสะพรึงในหลายช่วงในหนังเรื่องนี้ซะอีก) แม้ว่าเรื่องราวลักษณะนี้จะไม่ได้ถือว่าเป็นของใหม่ถอดด้ามอะไร แต่คิดว่าเรื่องราวในส่วนนี้ของหนังก็ทำได้ดีใช้ได้ทีเดียว ซึ่งนอกจากพลอตน่าสนแล้ว ในพาร์ทส่วนนี้ถือว่าหนังมีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจและสร้างความน่าสะพรึงรวมทั้งเล่าเรื่องในช่วงนี้ได้ดีทีเดียว แม้จะชอบพลาดจังหวะสำคัญในหลายจังหวะไปอย่างน่าเห็นใจ(?)

13 เกมสยอง : แนะนำ 13 เกม! จากหนัง การ์ตูน และมังงะ

เป็นอะไรที่เคยๆคิดๆไว้ตอนดู Nerve ไป แล้วก็คิดๆไปถึง 13 เกมสยอง ซึ่งดัั้งเดิมเป็นการ์ตูนไทยโดย คุณ เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ ตั้งแต่วิบูลย์กิจยังปั้นไทยคอมมิคอยู่เลย และต่อมากลายเป็นหนังโดยการกำกับของ มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล นำแสดงโดย คุณ น้อย กฤษดา สุโกศล แคลปป์

พอนึกไปถึง 13 เกมสยอง แบบนี้ก็ลองๆนึกต่อดูว่ามันมันโน่นนี่ที่เข้าแก๊บให้นึกถึง 'เกม' อีกไหม? ซึ่งจริงๆก็น่าจะมีเยอะ แต่เราก็พยายามตีกรอบให้มันอยู่ในขอบเขต เพื่อจะได้พ้องกับ '13' 'เกมสยอง' เพื่อจะได้ดูมีธีมหน่อย (แค่เนี่ยอ่ะนะ?!)

ก็เลยมาแนะนำอะไรๆ 'เกม'ๆ ที่พอจะรู้จักกันซัก 13 เกม เผื่อให้ใครที่ดู Nerve แล้วยังอยากหาเกมอื่นๆมาดูบ้างจะได้ไปลองหามาดูมาอ่านกันนะครับ ทีแรกจึงคิดว่าจะพยายามเลือกอะไรที่อยู่ในขอบเขตเกมที่ไม่แฟนตาซีหลุดโลกมาก และให้อยู่ในขอบเขตความสยองหน่อย แต่จริงๆด้วยความที่อยากให้ครบ 13 แล้วพอลองนึกๆดูจริงๆ เราก็ใช่จะรู้จักโน่นนี่มากขนาดนั้นไหม? จะไปลองค้นไปหามาอ่านก่อน กว่าจะครบ 13 ก็อาจถูกดองไปอีกหลายเพลา...

อย่ากระนั้นเลย สุดท้ายเราก็ขอแหกกฎตัวเอง นับ 'เกม' ที่พอผ่านตามา เท่าที่พอจะจำขุดคุ้ยหรือระลึกได้ แล้วขอแนะนำกันไปก่อนเลยดีกว่า ไว้มีอื่นๆอยากแนะอีกก็ค่อยหาเรื่องหาธีมอะไรซักอย่างมาแนะนำอีกก็ได้นี่!

เพราะงั้น เริ่มแนะนำ 13 เกมสยอง กันเลยนะครับ!


เกมที่ 1THE 13th QUIZ SHOW / 13 เกมสยอง


การ์ตูน THE 13th QUIZ SHOW โดยคุณ เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ ถ้าจำไม่ผิดแรกเริ่มลงในไทยคอมมิค ซึ่งก่อนนั้นคุณเอกสิทธิ์ไทยรัตน์เคยส่งการ์ตูนสั้นและได้ลงในไทยคอมมิค ก่อนจะได้มีการ์ตูนยาวลงต่อเนื่องและรวมเล่มในชื่อ โครงการมรณะ (ถือเป็นการ์ตูนไทยในตำนานเรื่องนึง) ด้วย และภายหลังเป็นหนึ่งในการ์ตูนสั้นที่นำมารวมเล่มในชื่อ MY MANIA โดย สนพ. วิบูลย์กิจ ซึ่งในเล่มเป็นการ์ตูนสั้นในสไตล์หักมุมจบ ที่มีไอเดียน่าสนใจ น่าทึ่ง และน่ากลัว รวมอยู่หลายเรื่อง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จทีเดียว มีการพิมพ์ซ้ำหลายครั้ง

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] SHIN GODZILLA ก๊อตซิลล่า : อหังการก๊อตซิลล่าคืนถิ่น!



แบบสั้นๆ

นี่ก็เพิ่งเจอสองตำนานสยองญี่ปุ่นมาเจอะกันไป มาเจออีกหนึ่งตำนานคืนชีพอย่าง ก๊อตซิลล่า บ้าง!

ก๊อตซิลล่าภาคท้ายสุดที่ผ่านมาของญี่ปุ่น คือ FINAL WAR (ชื่อภาคดูตั้งใจปิดตำนาน) ในการกำกับของ ริวเฮ คิตามูระ ผู้กำกับสายแอ็คชั่น และได้กำกับหนังสยองในฮอลลีวู้ด (ที่มือขึ้นกว่ามากในการกำกับหนังแอ็คชั่นจากมังงะที่มีตัวเอกเป็นผู้หญิง อย่าง SKY HIGH (ที่โทนไม่เหมือนต้นฉบับเลย...แต่สนุกดี) และ AZUMI เป็นต้น) ซึ่งขนสัตว์ประหลาดมาเยอะ และทั้งฝ่ายมนุษย์และก๊อตซิลล่าจะได้ออกแอ็คชั่นกันตามสไตล์ผู้กำกับ นั้นสำหรับผมนั้นมีรสชาติแปร่งๆบอกไม่ถูก จนทำให้ก๊อตซิลล่าภาคสุดท้ายที่ชอบก็ยังคงเป็น ก๊อตซิลล่า 2000 มายาวนาน แม้จะไม่ค่อยหวังว่าจะได้เห็นก๊อตซิลล่าภาคใหม่จากโตโฮหรือประเทศญี่ปุ่นนัก แต่ก็ให้หวั่นใจเหมือนกันกันว่า ถ้าจะกลับมา ก๊อตซิลล่าจะกลับมาท่าไหน?...

และในที่สุด... ก๊อตซิลล่า ก็กลับมาอีกครั้ง ก๊อตซิลล่า'ใหม่' (หรือในชื่อ Godzilla Resurgence) ตัวนี้จะเป็นอย่างไร?!

มาในชื่อไทยว่า ก๊อตซิลล่า เฉยๆ (ซึ่งเหมือนกับ Godzilla จากฮอลลีวู้ดเมื่อราว 2 ปีที่แล้ว ที่ กาเร็ต เอ็ดเวิร์ดส์ กำกับ เปี๊ยบเลย... ไม่มีการสร้างสรรค์ชื่อให้สมกับชื่อชาติบ้านเมืองอื่นเลย ช่างน่าน้อยใจ - แต่จริงๆเรียบๆหรูๆ(?)แบบนี้ก็ดูเหมาะแล้วแหละ เพราะ... อ่านต่อไปดูละกันครับ - ส่วนเวอชั่น โรแลนด์ เอมเมอริช ปี ค.ศ. 1998 ที่โดนด่ากระจาย มีชื่อไทยว่า "อสูรพันธุ์นิวเคลียร์ล้างโลก" จ่ะ... อลังการไปเลยไม๊ล่ะ!??? - ต่อไปเข้าเรื่องเหอะนะ...)

จะว่าเซอไพรส์ก็ไม่เชิง แต่ก็เซอไพรส์อยู่เหมือนกันล่ะนะครับ ข้อแรกคือก๊อตซิลล่าภาคนี้สนุก 'มาก' (แม้จะพูด 'มากๆ' ก็ตาม - น่าจะเป็นก๊อตซิลล่าภาคที่พูดมากที่สุด ที่พูดคือไม่ใช่ก๊อตซิลล่าพูดนะครับ)
ข้อสอง คือ มันเป็นหนังที่ก๊อตซิลล่าน่ากลัวสมเป็นก๊อตซิลล่า และยังมีเนื้อหาที่มากและลึกกว่าแค่การที่มีก๊อตซิลล่าปรากฎตัวมาทำลายล้างเมือง ด้วย โดยไม่ได้ทิ้ง 'ราก' ดั้งเดิมของก๊อตซิลล่า (หรือ โกจิระ) อีกต่างหาก คือ เยี่ยมจริงๆ น้ำตาจะไหล

ชนิดที่แม้จะคิดว่าก๊อตซิลล่าเวอชั่น 'พี่หมี' จากฮอลลีวู้ด โดยการกำกับของ กาเร็ตส์ เอ็ดเวิร์ด ที่พยายามดึงเอาความเป็นก๊อตซิลล่ามาใส่ให้มากกว่าฉบับแรกขึ้นฝั่งอเมริกาในการกำกับของ โรแลนด์ เอมเมอริช (ตอนนั้นเพิ่งขึ้นหม้อจาก ID4) ที่โดนด่ากระจายเละเทะ (แต่จริงๆถ้าไม่มาเปรียบเทียบเชื่อมโยงอะไรกันมาก ก็ยังคิดว่ามันดูหนุกๆบันเทิงดี) นั้นจะทำได้ดี แม้จะดูคล้ายมวยปล้ำช๊อตเด็ดไปหน่อย แต่ถ้าต้องเทียบกันจริงๆล่ะก็ ชอบเวอชั่นนี้มากกว่าแฮะ ไม่ได้พูดเล่น

จริงๆส่วนตัวมีคดีกับ ผู้กำกับ ฮิเดอากิ อันโนะ ผู้กำกับอนิเมชั่นหุ่นยนต์โลกร้าวรานชื่อดังอย่าง NEON GENESISI EVANGELION อยู่พอควรทั้งที่ชอบอนิเมฉบับแรกมาก (ทั้งซีรี่ส์และฉบับหนังโรงปิดท้าย) และตอนกำเนิดใหม่เป็น 1.0 และ 2.0 ก็ยังตื่นตาตื่นใจ ค่อนข้างชอบ แต่มา 3.0 นี่... (แต่คนชอบก็เยอะนะครับ อันนี้ถือเป็นความชอบของใครของมันละกัน) จนภาวนาว่า เออ จะ 3.0+1.0 รึจะ 4.0 จะ 4.75896 อะไร พายอาร์กำลังสี่ อะไรก็ช่าง ทำมาเหอะให้มันจบๆ แล้ว... เอ่อ เดี๋ยวจะออกทะเลไปเป็นเขียนเรื่องบ่นอีกเรื่อง (แล้วก็ดองอันอื่นๆไปก่อน...) อีกแล้ว ตัดจบไปเลย ไว้ค่อยบ่นอีกทีละกันครับ (ซึ่งเขาจะรู้ไหมครับว่าพี่มีคดีอะไรในใจเป็นการส่วนตัวกับหนังเขา? หือ!?)

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] THE NEON DEMON สวย อันตราย : ความสวย แลหลอนหลอก ในวังวนของแสงนีออน แลสไตล์



แบบสั้นๆ
นิโคลัส วีนดิ้ง เรฟีน เป็นผู้กำกับชาว เดนมาร์ก ที่เปล่งประกายให้หนังที่เขากำกับด้วยการมีรูปลักษณ์และสไตลส์เฉพาะตัว และแม้เรื่องราวของหนังในการกำกับของ นิโคลัส วีนดิ้ง เรฟีน ถ้าเล่าออกมาแล้วอาจจะดูไม่ได้แปลกแตกต่างมากมาย แต่เมื่อได้สัมผัสกับ 'ความเฉพาะตัว' ทั้งเรื่องของการออกแบบ หรือข้าวของในหนัง อย่างเช่น แจ๊กเกตแมงป่อง ของ ไรอัน กอสลิ่ง ใน Drive แสงไฟ ลายบนฝาผนัง ฯลฯ หรือการเล่าเรื่อง การเคลื่อนกล้อง ฯลฯ ว่าไปแล้ว สไตล์ของ นิโคลัส วีนดิ้ง เรฟีน อาจมีความชัดเจนกว่าปูมของคาแรคเตอร์หรือเรื่องราวของตัวหนังเองจริงๆซะอีก แต่นั้นก็เป็นการเพิ่มรสชาติให้เรื่องราวจนความเฉพาะตัวนี้สามารถทำให้หนังอย่าง Drive มีทั้งบรรยากาศของความลึกลับ ความหลอกหลอน ความรุนแรง ความนุ่มนวล กระทั่งความแมน เจือด้วยความวาบหวามกระทั่งความร้อนแรงไปพร้อมๆกัน ทั้งๆที่เราเองก็ไม่ได้รู้จักเรื่องราวของตัวละครมากเท่าไหร่ แต่เราก็ยังสัมผัสกับตัวละครและกลิ่นของเรื่องราวได้จากความจัดจ้าน(แม้ดูนิ่งเนิบและนุ่มนวล) ด้วยความเฉพาะทางด้านสไตล์ของ นิโคลัส วีนดิ้ง เรฟีน นี่เอง กระทั่ง Only God Forgive ที่ถ่ายทำในประเทศไทย และมีนักแสดงไทย อย่าง รฐา โพธิ์งาม และ วิทยา ปานศรีงาม (แม้เขาจะดังในต่างประเทศมากกว่า - แสดงใน The Hangover Part II ด้วย) และนักแสดงไทยในอีกหลายบท ร่วมแสดงในเรื่อง สไตล์ของเขาก็ยังคงเติมรสชาติและความลึกของรสชาติให้กับหนังและตัวละครได้อย่างน่าสนใจ ทั้งยังคงความ 'แมน' และสร้างบรรยากาศ จังหวะ และความรู้สึกเฉพาะตัวให้แก่หนังเอาไว้ด้วย

ซึ่งจากการผ่านตาหนังทั้ง 2 เรื่องของเขาที่กล่าวมา ก็ทำให้ผมอยากจะไปลองหาผลงานกำกับเรื่องก่อนๆของเขาก่อนจะมาร่วมงานในฮอลลีวู้ด อย่าง Pusher หรือ Bronson มาดูซักทีทีเดียว แต่ท้ายที่สุดก็ยังไม่ได้หามาดูเสียที...

มาใน Neon Demon นิโคลัส วีนดิ้ง เรฟีน ร่วมงานกับนักแสดงอย่าง แอล แฟนนิ่ง เพื่อเล่าเรื่องราวเบื้องหลังวงการเดินแบบ ผ่านการเข้าสู่วงการในเมืองใหญ่จากเมืองห่างไกลแสงสีของวงการ และเลือกเอารูปโฉมซึ่งเป็นสมบัติติดตัวของเธอ มาเป็นตั๋วผ่านเข้าไปท่ามกลางแสงไฟ เพื่อแลกกับการดำรงชีวิต โลกที่เธออาจยังไม่รู้จักดีพอ ท่ามกลางคนที่เธอไม่เคยรู้จัก... ท่ามกลางความปรารถนามากมายที่เธอไม่เคยได้ลองลิ้มรส...

กล่าวอย่างไม่เยิ่นเย้อ นิโคลัส วินดิ้ง เรฟิน ยังคงนำมาเอา 'บรรยากาศเฉพาะตัว' และ 'สไตล์' มาใส่ลงในหนังเล่าเรื่องราวเบื้องหลังวงการนางแบบได้อย่างน่าสนใจ ทั้งยังสร้างบรรยากาศของความลึกลับ หวาดระแวง อารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายใน ผ่านทั้ง จังหวะ การเล่าเรื่อง และ แสงสี ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสร้างความหลอกหลอนเคลียไปกับเรื่องราวของหนังด้วย

[ภาพยนตร์] PETE'S DRAGON พีทกับมังกรมหัศจรรย์ : เด็กชายพีท มังกรเอลเลียต แอนด์คันทรี่ซอง


แบบสั้นๆ
แม้ว่าความจริงแล้วอาจจะพอถือได้ว่าเป็นการ 'สร้างใหม่' ของหนังเก่าดิสนี่ย์ แต่ Pete's Dragon ฉบับดั้งเดิม เมื่อปี ค.ศ.1977 ก็ไม่ใช่งานที่โด่งดังของดิสนี่ย์ (ซึ่งความจริงแล้ว ก็ถือเป็นงานดูสนุก มีเพลงเพราะๆ เรืองนึงของดิสนี่ย์ แถมยังมีความทะเยอทะยานบางอย่างที่น่าทึ่งทีเดียว แต่เราจะเก็บไว้พูดทีหลังก็แล้วกันครับ) แถมความจริงดูเหมือนว่าแทนที่จะเอาของเก่ามาสร้างใหม่ หนัง Pete's Dragon ฉบับนี้กลับเป็นหนังที่เหมือนจะเก็บคุณสมบัติบางอย่างของหนังฉบับเดิมไว้ แล้วเล่าเรื่องในแบบของตัวเอง ซึ่งสิ่งที่หนังเก็บไว้ก็ดูจะมีเพียงลักษณะบางอย่างของคาแรคเตอร์เดิมๆเท่านั้น อย่างเช่น เด็กชายชื่อพีท มังกรสีเขียวชื่อเอลเลียตที่ (เห็นในตัวอย่างแล้วนา) หายตัวได้ และตัวละครบางตัว เป็นต้น ส่วนท่าทีของหนังนั้นต่างกับต้นฉบับชนิดเป็นคนละเรื่องก็ว่าได้

ฉะนั้นสำหรับคนที่ไม่เคยดูเวอชั่นเก่าก็ดูเสมือนเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่มีตัวเอกเป็นเด็กชายชื่อพีท มังกรชื่อเอลเลียตได้เลย แต่สำหรับผู้ที่เคยดูฉบับเก่าแล้วชื่นชอบ กลัวว่าฉบับใหม่จะเปลี่ยนไปมากจนอาจจะไม่น่าประทับใจ ก็ยังอยากเชียร์ให้ไปดูฉบับนี้ของดิสนี่ย์ดู เพราะแม้ท่าทีจะต่างไปมาก แต่มันยังมีความน่าประทับใจ ความสนุกสนาน และความอบอุ่นแฝงอยู่ในหนังเรื่องนี้ไม่น้อยเลย

ถ้าให้พูดสั้นๆ อย่างแรกเลยคือ ผมรู้สึกสนุกตั้งแต่ได้เห็น ป๋าโรเบิร์ต เรดฟอร์ด แสดงเป็นคุณลุงผู้เคยพบเห็นมังกรแล้ว ชอบลุงในบทแบบนี้แบบแปลกๆ และคาแรกเตอร์ทุกคนก็แคสมาได้ดี ไม่ว่าจะเป็น ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิร์ด ที่เธอเพิ่งไปวิ่งหนีมังกร(?)ใน Jurassic World มาไม่นาน (มันใช่เหรอน่ะ?!) ก็คิดว่าบทของเธอในเรื่องนี้มีโอกาสได้แสดงแง่มุมที่อบอุ่นมากกว่า (ก็อีกเรื่องเน้นวิ่งเป็นหลักนี่นะ ใส่ส้นสูงวิ่งอีกต่างหาก คิดดู) และเธอก็เข้ากับบทได้ดีทีเดียว น้องหนูอูน่า ลอเรนซ์ ก็แสดงได้ดี หรือคาร์ล เออบัน ก็เล่นในบทฝ่ายมุทะลุร้ายของหนังได้ดี โดยเฉพาะน้องหนู โอ๊คส์ เฟกเลย์ ในบทพีท สามารถถ่ายทอดทั้งความคล่องแคล่วระวังระไวขี้เล่นขณะอยู่ในป่า และปฏิกริยาขณะที่เข้ามาอยู่ในความดูแลของคนเมืองได้ดี โดยเฉพาะความผูกพันกับเอลเลียต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตีวละคร(คอมพิวเตอร์สร้าง)ที่แสดงได้ดีมากอีกตัวละครนึง! แม้ว่าหนังจะเปิดเรื่องด้วยท่าทีที่น่าเศร้ากว่าหนังต้นฉบับ และแม้โทนของหนังจะออกไปในทางดราม่ามากกว่า แต่ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น สดใส ด้วยเช่นเดียวกัน

แม้ว่าในปีนี้ดิสนี่ย์จะร่ายมนต์มหัศจรรย์ใส่หนังที่เต็มไปด้วยตัวละครสรรพสัตว์คอมพิวเตอร์สร้างใน The Jungle Book อย่างสมจริงและน่าประทับใจไปแล้ว และในเรื่องนี้อาจมีเพียงมังกรเอลเลียต ดีไซน์มังกรเอลเลียตน่าสนใจดีเมื่อมันถูกออกแบบให้มีขนปุกปุย (ซึ่งทางผู้สร้างบอกว่าตั้งใจให้มันมีลักษณะแบบนี้และแตกต่างจากมังกรแบบที่เราคุ้ยชิน) และละม้ายคล้ายกับสุนัขอยู่มาก (ซึ่งดูไม่เหมือนกับต้นฉบับเลยยกเว้นยังคงมีสีเขียว) แม้อาจไม่ใช่การออกแบบที่สะดุดตาเด็ดขาดเมื่อเห็นในทีแรก แต่ก็อย่างที่บอกเจ้ามังกรเอลเลียตเป็นอีกหนึ่งตัวละครสำคัญของหนังที่มาถ่ายทอดความผูกพัน ความห่วงใยพีท ไปจนถึงความขี้สงสัย ขี้เล่น น่าเอ็นดู ไปจนถึงความหวาดกลัว และความโกรธเกรี้ยว ได้เป็นอย่างดี

ตัวละครเหล่านี้ซึ่งถ่ายทอดการแสดงที่ดี และอบอุ่นมายังผู้ชม ยังถูกคุมไว้ภายใต้บรรยากาศการเล่าเรื่องและโทนของเรื่องอย่างพอเหมาะพอเจาะ โดยการกำกับของ เดวิด โลเวอรี่ (ซึ่งร่วมเขียนบทด้วย) ที่เคยผ่านตางานกำกับดราม่าที่เป็นผู้ใหญ่กว่าของเขาอย่าง Ain't Them Bodies Saints (รูนี่ย์ มาร่า, เคซี่ อัฟเฟลค และ เบน ฟอสเตอร์ (ที่เพิ่งผ่านตากันไปใน Hell or High Water ซึ่งว่าไปก็ทำให้รู้สึกถึงตัวละครในลักษณะปุถุชนในแบบไม่ห่างกันนักได้เหมือนกัน นึกได้แล้วก็น่าจะแนะนำเรื่องนี้ไว้ด้วยเหมือนกัน)) ซึ่งในเรื่องนั้นจำได้คลับคล้ายว่าแม้เราจะไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่กับหลายๆการตัดสินใจหรือการกระทำของตัวละคร แต่เราก็ยังรู้สึกถึงความรักใคร่ ความอบอุ่น ความอาทร เคล้าคลอไปกับเรื่องราวและตัวละครของหนังได้อย่างประหลาด ซึ่งในการมาทำหนังที่มีความเป็นเด็กมากขึ้น และต้องเล่นกับเอ็ฟเฟคท์อย่างนี้ ดูเหมือนผู้กำกับ เดวิด โลเวอรี่ ก็ยังนำเอาลักษณะเฉพาะในการคุมโทนของเรื่องราวและความรู้สึกมาใส่ไว้ใน Pete's Dragon ฉบับนี้ได้อย่างนวลเนียนไม่น้อย หนังจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกของความอาทร และรายละเอียดเล็กๆในแต่ละการกระทำของตัวละครที่ทั้งช่วยเพิ่มความสมจริงและความรู้สึกให้กับการกระทำของตัวละครผ่านการถ่ายทอดอากัปกริยาของนักแสดงได้อย่างดี ซึ่งกริยาเล็กๆน้อยๆ อย่างเช่น การปัดปอยผมของเอลเลียต หรือกริยาท่าทางเล็กๆน้อยๆในหลายช่วงของตัวละครเป็นอีกสิ่งที่ชอบมากในเรื่องนี้ แม้นี่จะเป็นหนังที่หน้าตาเป็นหนังเด็กและมังกรมายามันก็เป็นหนังที่มีความรู้สึกที่โตแล้ว(อย่างอาทร)ผสมอยู่ซึ่งช่วยเติมความรู้สึกสมจริงและหนักแน่นให้เรื่องราวในหนังได้อย่างดี และมังกรอย่างเอลเลียตก็ไม่จำเป็นต้องมาปรากฎตัวเพื่อให้หนังมีท่าทีที่ยิ่งใหญ่หรือความรู้สึกใหญ่โต (แม้คงจะต้องใช้ตังค์เยอะก็เถอนะ) แต่มาปรากฎในฐานะตัวละครและส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่ต้องมีเจ้ามังกรเอลเลียตเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของเรื่องได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ

[ภาพยนตร์] NERVE เล่นเกม เล่นตาย : เลทส์มีทเดอะ 'บิ๊ก' บราเธอ'ส์'


แบบสั้นๆ
แม้น้อง เอ็มม่า โรเบิร์ตส์ อาจดูผอมแห้งไปนิดนอก็โอเคครับ 7.9 คะแนน

เอาแค่นี้ก็น่าด่าเหมือนกันนะ อุตส่าห์สร้อยซะใหญ่โต อืม... จริงๆคิดว่าตอนดูเรื่องนี้อาจจะตั้งแต่ตัวอย่างแล้ว บางคนคงนึกไปถึงการ์ตูนไทย (โดยคุณ เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์) และหนังไทย (กำกับโดย มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีรกุล) อย่าง 13 เกมสยอง (แถมฮอลลีวู้ดยังซื้อไปรีเมกด้วย ฉายเมื่อไม่นานเม่าไหร่นักไปนี่เอง แต่ไม่ได้ดู) ซึ่งผมเองก็รู้สึกแบบนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ที่ยังรู้สึกว่าน่าไปดูซักที ไม่เกี่ยวกับ เอ็มม่า โรเบิร์ตส์ ก็คือการที่ 'เกม' ในเรื่องแม้โครงหลักๆจะดูคล้ายกับเรื่องราวในรูปรอยของ 13 เกมสยองอยู่มาก แต่มันก็มีเรื่องราวที่สอดรับไปกับบริบทของปัจจุบัน(หรืออนาคต?อันไม่ไกล?) ของทั้งรูปแบบชีวิตและเทคโนโลยีในปัจจุบันนี้อยู่มาก ซึ่งก็จริงครับ พอไปดูแล้วคิดว่านี่เป็นส่วนที่ทำให้หนังน่าสนใจเอาเรื่องและดูสนุกใช้ได้ทีเดียว

และเรื่องที่น่าสนใจเรื่องนึงก็คือเรื่องของการเฝ้ามองและการถูกเฝ้ามอง

แน่นอนว่าในทุกวันนี้เรื่องของการถูก 'เฝ้ามอง' จะเพื่อดูแลความเรียบร้อยหรือรักษาระเบียบหรืออื่นๆก็ยังคงเป็นหัวข้อที่น่าหวาดวิตกและเป็นเรื่องใหญ่ที่มีการให้ความสำคัญในระดับต่างๆกันไป โดยเฉพาะเมื่อมองในมุมของ 'อำนาจ' และการ 'ควบคุม'

ในแง่นึงเมื่อมีฝ่ายที่สามารถเฝ้ามองและควบคุมเราโดยที่เราไม่รู้ว่าถูกเฝ้ามองหรือถูกควบคุมอยู่แค่ไหน? มันก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงสถานะ 'เหนือกว่า' ไม่ว่าจะโดยเอกฉันท์หรือกลายๆก็ตาม และโดยแนวความคิดในปัจจุบันที่มีการให้ความสำคัญกับเรื่องของความเป็นส่วนตัว (privacy) มากขึ้น มันก็ยิ่งทำให้หัวข้อเหล่านี้เป็นที่พูดคุยหรือถกเถียงกันมากขึ้น แน่นอนว่าโดยส่วนใหญ่ถ้าเรารู้สึกว่าถูก 'เฝ้ามอง' เราก็น่าจะไม่ชอบสถานะที่ว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการถูก 'ควบคุม' และอาจทำให้เรารู้สึกถึงการถูก 'อำนาจ' ที่เหนือกว่าครอบคลุมอยู่

แต่ความจริงในปัจจุบันมันก็มีสถานการณ์และรูปแบบหลากหลายขึ้นที่จะทำให้เราถูก 'เฝ้ามอง' ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว โดยยินยอมหรืออาจไม่ยินยอม แม้อาจไม่ใช้การถูก 'เฝ้ามอง' ทุกขณะของชีวิต แต่เป็นบางส่วนก็ตาม เช่น การที่เรายกเลิกบัตรเครดิตธนาคารนึงไปแล้วไม่นานก็อาจมีธนาคารอื่นโทรมาเสนอบัตรเครดิตพร้อมข้อเสนอที่แตกต่างให้กับเราในเวลาไม่นาน หรือการที่โฆษณาบางอย่างถูกส่งผ่านผลการค้นหา หน้าเว็บไซต์เครือข่ายสังคม หรือกระทั่งข้อความหรือแอพพลิเคชั่น ได้ตรงกับข้อมูลการซื้อในอดีตหรือรสนิยมของเราเสียเหลือเกิน ซึ่งอาจเกิดจากการประมวลผลการค้นหาประจำบนเครื่อง บนโปรแกรม บนแอคเคาท์ บนบัตรสมาชิก หรือเครื่องมือชื่อน่ารักอย่าง Cookies ฯลฯ ของเรา ซึ่ง ในแง่มุมบางอย่างนี้อาจมี 'ความสะดวก (ที่เราอาจไม่รู้รายละเอียดเบื้องหลัง)' ที่บางคนชอบบางคนชังแตกต่างกันไปก็ได้

แต่เราจะพูดถึงประเด็นประมาณนี้ไว้เท่านี้พอก่อน เพราะลักษณะของ 'เกม' ใน Nerve นั้นก็ต่างออกไปจากลักษณะเหล่านี้

"In the future, everyone will be world-famous for 15 minutes."
Andy Warhol 

ไหนๆก็น่าจะยกประโยคที่มีชื่อเสียงประโยคหนึ่งนี้ (ซึ่งถูกเสนอไว้ตั้งแต่ราวๆยุค 70 ยุค 80 ) มาเสนอไว้เสียหน่อย ที่ว่า ในอนาคตทุกๆคนจะได้กลายเป็นคนมีชื่อเสียงกันซักคนละ 15 นาที ไม่ว่าประโยคนี้ดั้งเดิมแล้วจะเป็นคำกล่าวของ แอนดี้ วอร์ฮอล หรือไม่ก็ตาม? เพราะแม้ว่าในปัจจุบันนี้ประโยคนี้อาจไม่จำเป็นต้องเทียบเคียงเฉพาะเพียงกับเรื่องราวใน Nerve เพียงเท่านั้น แต่มันก็ดูเข้ากันกับเรื่องราวที่เกิดใน Nerve อย่างยิ่ง

เรื่องที่ Nerve เอามาเล่นนั้นเป็นเรื่องราวและรูปแบบที่สอดรับกับทั้งเรื่องราวของ 'การเฝ้ามอง' และ ประโยคข้างต้นเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเราก็ได้เห็นกันอยู่ในปัจจุบันเมื่อปรากฎทั้งผู้มีชื่อเสียง (ทั้งมนุษย์และไม่ใช่ - แม้ทั้งหมดก็น่าจะโดยมนุษย์เป็นสำคัญก็ตาม) ผ่านการ 'นำเสนอ' หลายระดับที่มีทั้งคุณสมบัติของ 'ความปัจจุบันทันด่วน' 'เหตุการณ์สด' และ 'การส่งต่อและแพร่กระจาย' อย่างรวดเร็วผ่านเทคโนโลยี อุปกรณ์ และโลกออนไลน์ ซึ่งจริงๆเรื่องเหล่านี้ก็สัมผัสได้ผ่านตัวอย่างของหนังอยู่แล้ว

ความจริงถ้าพูดกลับกัน 'ความมีชื่อเสียง' นั้นก็ต้องเกิดจาก 'การรับรู้ของคนหมู่มาก' อยู่แล้ว ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็สอดรับกับโลกและเกมที่ Nerve สร้างขึ้นได้อย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันผนวกเอาเรื่องของ เงินรางวัล เข้าไว้เป็นสิ่งตอบแทนในเกมด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] SADAKO vs KAYAKO ซาดาโกะ ปะทะ คายาโกะ ดุ นรกแตก : สองตำนานญี่ปุ่นสยอง หึ หึ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ อ๊ากกกก ว๊ากกกก


แบบสั้นๆ
จริงๆก็ถือเป็นแฟนๆทั้ง เดอะ ริง และ จูออน แหละนะครับ แม้หลังๆก็ไม่ได้จะติดตามเหนียวแน่นอะไรแล้วในช่วงหลังๆ แต่แรกรู้จักกันเราก็ชอบทั้งคู่นะ

เดอะริง (หรือ ริงกุ - ถ้าอ่านแบบญี่ปุ่น) คำสาปมรณะ แม้จะออกจะชอบนิยายต้นฉบับที่สุด แต่ฉบับหนัง(พูดเฉพาะภาคแรกก่อน)ทั้งญี่ปุ่นและฮอลลีวู้ดก็ชอบเหมือนกัน เป็นเรื่องที่นำเอาเทคโนโลยีมาเล่นกับเรื่องราวแบบนี้ได้น่าสนใจ (แม้...เทคโนโลยีจะหมุนเปลี่ยนไปไว โดยเฉพาะในระยะหลังๆจนมันตกยุคไปแล้วเฉยเลย นี่ผ่านมากี่ปีแล้วนะ?) แถมเซตเทรนด์ผีสาวผมยาวออกอาละวาดไปยังหนังเรื่องอื่น ชาติอื่นๆอีกมากมายก็ว่าได้

จูออน หรือในชื่อไทยว่า ผีดุ นี่จริงๆก็ยังเซตเทรนด์รูปลักษณะผีญี่ปุ่นผีสาวผมยาวอยู่ แต่เพื่อความแตกต่างและเพื่อให้ ดุ สมชื่อ หนังยังเพิ่มทั้งคู่หู (?) และเรื่องของเสียงจนเป็นเอกลักษณ์ของหนัง (ก่อนที่ทำไปนานๆอะไรหลายๆอย่างอาจจะทำให้มันกลายเป็นตลกไปซะงั้น...) แถมที่ชอบมากๆในตอนนั้นคือมันแบบว่า ผีดุ สมชื่อจริงๆ แตกต่างกับเทรนด์ผีต้องมีเหตุผลในช่วงนั้นที่ หนังผีพยายามทำตัวมีเหตุผลกันมากขึ้นนับแต่ The Sixth Sense อันโด่งดังของ เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน ซึ่งความจริง เดอะ ริง นี่ก็ถือว่ายังอยู่ในแนวนี้ เพราะอธิบายที่มาที่ไปไว้เยอะแบบพิสดารมาก (แต่นั่นก็ถือเป็นความสนุกของเรื่องด้วย) แต่ จูออน นี่คือ หลอกหมด เอาตายหมด เพื่อนเพิ่นญาติคนรู้จักข้างบ้านอะไรนี่มีเอี่ยวได้หมด บางคนบอกว่าถ้าอ่านฉบับนิยายจะมีที่มาที่ไปมากกว่า แต่ก็ไม่เคยอ่าน คือ ก็ไม่ต้องอ่านก็ได้ แค่นี้ก็เชื่อแล้วว่า ผีดุ จริงๆ สมชื่อได้ใจมาก

แม้ว่าหลังๆจะไม่ได้ติดตามจริงจังอะไรแล้ว แต่จริงๆทั้งสองตระกูลก็ยังมีการสืบสานความหลอนในแต่ละสื่อและสถานต่างกันไป ไปเป็นรสชาติฝรั่งก็มี กิมจิก็มี ต้นฉบับญี่ปุ่นเองก็ยังมีสืบสาน นิยายก็ยังมีออกมา อย่างน้อยก็พาผู้กำกับต้นฉบับทั้งสองไปเปิดตัวในฮอลลีวู้ดเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องนั้นเอาไว้พูดทีหลังละกัน แต่อย่างที่บอกทำไปนานๆอะไรหลายๆอย่างอาจจะทำให้มันกลายเป็นตลกไปซะงั้น... แต่ เมื่อเห็นหนังเรื่องนี้ เราก็รู้สึกไปเลยว่า แม้จะดูแถชอบกลขนาดนี้ แต่นี่ก็เป็นอีเว้นท์ใหญ่ของทั้งสองตระกูลชอบกลแน่นอน เพราะงั้นเราจึงอยากไปดู และ...

[ภาพยนตร์] HELL OR HIGH WATER ปล้นเดือด ล่าดุ : บัญญัติโจร บัญญัติปลัดปราบปราม* คู่มือธนาคาร


* คำว่า ปลัดฝ่ายปราบปราม เอามาจากการเลือกแปลคำว่า Marshall มาเป็นภาษาไทย โดยคุณ แดนอรัญ แสงทอง ลองอ่านรายละเอียดดูได้ ที่นี่

(ก็อยากยกเอามาซะอย่างนั้น...)


แบบสั้นๆ
แค่น้ำลึกหรือลงไปถึงนรก... (แปลส่งเดชติดมั่วกรุณาอย่านำไปอ้างอิงทางวิชาการ...)
บทจากฝีมือของ เทเลอร์ เชอริแดน ผู้เขียนบท Sicario เล่าเรื่องราวของสองพี่น้องโจรปล้นธนาคาร ที่ปล้นด้วยวาระบางอย่างที่มีทั้งความจำเป็นและความสาสม ซึ่งในอีกด้านผู้ที่ขยับตัวคือ ปลัดฝ่ายปราบปราม* มากประสบการณ์และมีอายุงานยาวนาน การวางแผนของแต่ละฝ่ายจะนำไปสู่อะไร?...

แม้เรื่องราวเริ่มต้นของหนังจะดูไม่ได้แปลกแตกต่างไปมากจากหนังในแนวอาชญากรรม และทำให้นึกไปถึงหนังหลายๆเรื่อง แต่เมื่อเราได้รับรู้เรื่องราวทั้งเบื้องหลังและเรื่องราวที่ดำเนินต่อไป เราก็พบว่า Hell or High Water มีเรื่องราวเฉพาะตัวที่แม้จะถ่ายทอดด้วยท่าทีสุขุมไม่หวือหวา แต่รายละเอียดหลายอย่างอักแน่นไปด้วยเรื่องราว ความขัดแย้ง ความเข้มข้น ความอันตราย รวมไปถึงความอบอุ่น

บรรยากาศของหนังอาจทำให้นึกไปถึงหนังอาชญากรรมบรรยากาศตะวันตกแบบคาวบอย แต่ก็เป็นเรื่องราวในช่วงเวลาปัจจุบันมากกว่าในอดีต 

เรื่องราวของ เทเลอร์ เชอริแดน สอดแทรกประเด็นที่ต้องการบอกเล่าออกมาได้อย่างเข้มข้นแม้จะด้วยท่าทีไม่หวือหวา แต่ก็แนบเนียนและส่งพลังออกมาได้เข้าเป้า เรื่องราวยิบย่อยและประเด็นรวมทั้งความสัมพันธ์ของตัวละครซึ่งจริงๆแล้วมีความหลากหลายจริงถูกผสมรวมกันได้อย่างดี การกำกับของ เดวิด แมคเคนซี่ เองแม้ไม่ได้ผสมสไตล์จัดลงไปขนาดงานกำกับของพี่น้องโคเอน ก็ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาอย่างสุขุม ไม่ฟูมฟายแม้เรื่องราวบางเรื่องจะหนัก ขณะเดียวกันก็เข้มข้นและมีจังหวะจะโคน เมื่อเวลาผ่านไปและเรื่องราวเริ่มซับซ้อนขึ้น เรื่องราวทั้งหมดจึงดำเนินไปอย่างทรงพลัง เราจึงทั้งรู้สึกไปกับเรื่องราวของตัวละครที่ต้องมาเกี่ยวพันกัน ทั้งเฝ้ามอง ตำหนิ หวาดกลัวหรือระวังระไวแทนตัวละคร กระทั่งบางครั้งยังสะเทือนใจ เห็นใจ และรู้สึกถึงความองอาจของตัวละครไปพร้อมกัน ทั้งรู้สึกว่าแต่ละคนเองก็มีความเป็นคนธรรมดาไปพร้อมกัน (ส่วนนี้รู้สึกต่างไปจาก Sicario ที่รู้สึกว่าบางตัวละครมีภาพของความเป็น(แม้จะ แอนตี้)ฮีโร่แบบค่อนข้างชัด - แต่จุดประสงค์ของ Sicario ที่วางตัวละครในลักษณะนั้นก็น่าจะต่างออกไปจากเรื่องนี้เหมือนกัน)

หนังยังได้การแสดงที่ดีและเข้มข้นจากนักแสดงในแทบทุกตำแหน่ง ไม่ว่าจาก เบน ฟอสเตอร์ (ที่ก็แสดงใน Warcraft ด้วย) เจฟ บริดเจส (ที่เห็นแล้วก็นึกไปถึง True Grit แต่ตัวละครทั้งสองก็มีเอกลักษณ์ต่างกัน) หรือใครที่เป็นแฟนตาสีฟ้าของ คริส ไพน์ มาจากหนังอย่าง Star Trek และรู้สึกว่าไม่ค่อยได้เห็นหน้าเขาจากเรื่องอื่นบ่อยนักก็น่าลองมาพิสูจน์บทบาทเข้มข้นในเรื่องนี้ของเขาดู     

เรื่องราวสอดแทรกประเด็นหลากหลายเอาไว้มาก แต่ก็รวมกันเป็นเรื่องราวและเนื้อเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อทั้งเรื่องราวของ เรื่องราวของถิ่นฐาน การเปลี่ยนแปลง สภาพชีวิตความเป็นอยู่ การเงิน ที่กระทบกับชีวิตและความสัมพันธ์ของคนในแต่ละสถานะ ตำแหน่ง และ หน้าที่ จึงถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างเข้มข้นโดยไม่มีความรู้สึกว่าถูกยัดเยียด  และหนังก็ดำเนินเรื่องโดยเพิ่มความเข้มข้นและความระทึกขึ้นไปเรื่อยๆ กระทั่งซีนช่วงจบก็ยังมีความเข้มข้นของเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างทรงพลัง 8.6 คะแนน


แบบยาวๆ

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] ALICE THROUGH THE LOOKING GLASS อลิซ ผจญภัยมหัศจรรย์เมืองกระจก : เวลาจะช่วยอัลไล


แบบสั้นๆ
อืม... จริงๆแม้จะเป็นแฟนผลงานของผู้กำกับ ทิม เบอร์ตัน อยู่พอสมควร และ Alice in Wonderland ก็มีองค์ประกอบอะไรๆที่ก็น่าชอบอยู่ โดยเฉพาะเรื่องของการออกแบบและวิชชวลโน่นนี่ และตัวละครหลายคนก็มีบุคลิกเพี้ยนพิลึกน่าสนุกดี แต่ไอที่ทำให้ค่อนข้างจะเฉยๆกับ Alice ในกำมือของ ทิม เบอร์ตัน ไปซักหน่อยก็เป็นเพราะ มันมีเวอชั่นที่ผมชอบกว่ามาก ซึ่งนั่นก็คือเวอชั่นอนิเมชั่น(แคลสสิค)ของดิสนี่ย์ที่ 'หลอน' กว่ามาก (แต่...เวอชั่น เบอร์ตันก็ใต้ชายคาดิสนี่ย์น่ะแล...ยิ่งตะหงิดๆยังไงๆเข้าไปใหญ่) ซึ่งจริงๆได้ยินมาว่านิยายต้นฉบับของ ลูอิส แครอล นี่ก็มีบรรยากาศน่ากลัวๆอยู่ในตัวเหมือนกัน นัยว่าให้เด็กๆ (ตกลงให้เด็กๆอ่านล่ะนะ?) รู้จักกลัวรึสงสัยในอะไรๆที่ไม่รู้จักดี แม้บางอย่างจะมีสีลูกกวาดแต่มันก็อาจเป็นอะไรที่เรา 'ไม่รู้จัก' และไม่จำเป็นต้องเป็น 'มิตร' กับเราซะกะหน่อย

แต่เนื่องจากนิยายต้นฉบับนี่ก็ยังไม่เคยอ่าน เพราะงั้นแทนที่จะพูดอะไรเรื่องนี้มากๆไว้ตรงนี้ ตอนนี้ก็เอาเป็นแค่ลองแนะนำให้ใครที่ไม่เคยดูลองไปหาดูเวอชั่นอนิเมชั่น(แคลสสิค(ซ้ำ...))ของดิสนี่ย์กันครับ จะได้เห็นว่าดิสนี่ย์ไม่ไดทำอนิเมชั่นสวยหวานมาเอาใจหนูๆอย่างเดียวนะเฮ้ย! แม้จะคิดว่าเขาก็มีการ 'ปรับ' มันบ้างน่ะแหละ แต่มันก็ยังหลอนอยู่ดี ชนิดที่ Aliceฯ เวอชั่น ทิม เบอร์ตัน นี่ถ้าจะหลอนก็หลอนเพราะลุคมากกว่าหลอนจริงๆ ชนิดที่ถึง จอห์นนี่ เด็ป เฮียจะแต่งองค์มาลุคพิลึกยังไง แต่มาท่านั้นนี่ก็เทียบความหลอนของ Mad Hatter เวอชั่นอนิเมชั่นดิสนี่ย์ไม่ได้เลย เฉพาะในฉาก Unbirthday กลางโต๊ะน้ำชานี่ก็กินขาดแล้ว

เพราะงั้นในที่นี้ก็จะพิจารณา Alice Trough the Looking Glass เฉพาะในฐานะภาคต่อของ Alice in Wonderland เวอชั่นรีบูท (อีกและ...ก็ตามนั้นแหละ) ของ ทิม เบอร์ตัน ล่ะนะฮะ

เปลี่ยนตัวผู้กำกับมาเป็น เจมส์ โบบิน ส่วนเฮีย ทิม ย้ายไปเป็นผู้อำนวยการสร้างแทน (อย่างนึงแกก็คงไปง่วนอยู่กะหนังอย่าง Miss Peregrine's Home for Peculiar Children ที่มีต้นฉบับจากวรรณกรรมเหมือนกัน) อืม...จริงๆเห็นมันเป็นหนึ่งในโปรเจ๊คท์ของแป๊กของดิสนี่ย์ในปีนี้ (ซึ่งดิสนี่ย์ก็คงเสียดายแต่ก็ไม่น่าจะอะไรเท่าไหร่ในปีนี้ เพราะแม้จะหลุดหนังแป๊กมาจำนวนหนึ่งเหมือนกัน แต่หนังที่ 'ถล่ม' ของดิสนี่ย์ก็มีหลายหัวเหมือนกันนะปีนี้) ก็เลยหวาดๆอยู่นิกหน่อย เพราะภาคแรกแม้จะดูสนุกดีพอเพลินๆ เนื้อเรื่องไม่อะไรมาก สนุกกะวิชชวลกะอะไรแบบ แอนน์ แฮทธาเวย์ แสดงเป็นราชินีขาวให้ไฮเปอร์นิดๆเพี้ยนหน่อยๆอะไรงี้มากกว่า แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรนักเหมือนกัน แล้วทำไมไปดูภาคนี้หว่า?... อืม?...

ก็อาจเพราะแม้ใช่อยากจะเห็นภาคต่ออะไร แต่ในตัวอย่างพอเขาเลือกจะเล่าเรื่องต่อโดยเอาเรื่องของ 'เวลา' มาเล่น เราก็เกิดรู้สึกว่า เออ ก็น่าสนใจดี ดีไซน์อะไรก็ไม่เลว และอยากดู ซาซา บารอน โคเฮน เล่นเป็นเจ้าหมอ เวลา นี่ด้วย

เอาจริงๆ ก็สนุกดีนะ อาจเหมือนหลายๆเรื่องที่แม้แรกพบเราจะไม่ประทับใจอะไรเพราะเอาไปเทียบโน่นนี่ไม่ได้ดังใจอะไรก็ว่าไป แต่พอเวลาผ่านไป (ไหนขึ้นสร้อย เวลาไม่ช่วยอัลไล?!!...) เราก็ดันแบบก็รับได้นะ เฉยๆ ก็โอเค ประมาณว่าก็พอรู้แล้วว่ามันมาอีท่าไหน เลยไม่ได้คาดหวังอะไรใหญ่โต พอเป็นแบบนี้บางทีไอที่ไปดูเพราะไม่ได้คาดหวังอะไรไว้เยอะๆดันดูสนุกเฉยเลย (เป็นเคสของ Jurassic Park III ที่หลายคนอาจจะยี้ แต่พอดู The Lost World แล้วไม่ถูกใจนัก ภาคนี้กะไปดูแบบนั่งเซ็งไปก่อนเต็มที่ (ตกลงนี่มาดูเพราะครูสั่งการบ้านเรอะ??) ดันดูสนุกเฉยเลย สนุกกว่า LW ซะอีก) อันนี้คือเป็นเรื่องของการคาดหวัง การเปรียบเทียบ มากกว่าเรื่องของเวลาตรงๆนะ (อะแฮ่ม ยังจะแถ)

ไอเดียเรื่องพ่อคุณ 'เวลา' นี่ผ่านนะ สนุกดีเหมือนกัน และก็ชอบที่ ซาซา บารอน โคเฮน แสดงด้วย ดีไซน์อะไรอาจจะออกมาครึ่งๆเพี้ยนๆมากกว่า แต่เราโอเคกะตัวละครตัวนี้ แม้จะรู้สึกว่าการโยงเข้าเรื่องเวลานี่ออกจะดูเหมือนเล็กไปนิด แต่ก็ดูใหญ่โตเกินตัวชอบกลในเวลาเดียวกัน ก็ตาม และก็รู้สึกว่าอลิซทำเรื่องยุ่งมากไปหน่อย แต่พอคิดๆไปมันก็อยู่ในแมนเนอร์แบบหนังแฟนตาซีประมาณนี้อยู่เหมือนกัน ดูๆไปก็เลยไม่ได้อะไรนัก

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] OUR KIND OF TRAITOR แผนซ้อนอาชญากรเหนือโลก : บัญญัติการเป็นทุรยศ


แบบสั้นๆ
หนังสไตล์รหัสคดี จากนิยายของ จอห์น เลอคาร์ ที่มีหลายเรื่องเคยถูกดัดแปลงเป็นหนังหรือซีรี่ส์มาแล้ว สไตล์ของหนังและเรื่องราวอาจจะเน้นไปที่ เนื้อเรื่อง มากกว่าความตูมตาม และในช่วงเริ่มแม้จะได้นักแสดงระดับหัวแถวอย่าง ยวน แม็กเกรเกอร์ และ นาโอมิ แฮร์ริส ก็แปลกที่รู้สึกว่าไม่ค่อยรู้สึกว่าทั้งคู่เป็นอย่างที่ตัวละครเป็น ครู กับ ทนาย มากเท่าไหร่? แต่ สเตนเลน สการ์การ์ด ได้บทที่เข้ากับบุคลิกของเขาอีกครั้งซึ่งก็แสดงเป็นสมาชิกกลุ่มมาเฟียที่ว่องไวไม่อยู่นิ่งได้อย่างน่าสนุก เหมาะสมดี

แม้หนังเรื่องนี้อาจไม่ได้มีบรรยากาศโดดเด่น และตัวละครที่มีการแสดงและการควบคุมบรรยากาศได้เท่ขาดใจ อย่าง จอร์จ สไมลี่ย์ ของ แกรี่ โอลด์แมน ใน Tinker Tailor Soldier Spy ที่เข้ามาฉายในบ้านเราหลายปีก่อน ชนิดที่ขนาดดูหนังแล้วเรื่องซับซ้อนซ่อนเงื่อนปะติดปะต่อเรื่องราวยากมากจนหลับ (จริง...) ซึ่งบางคนก็ว่าเพราะซับฯด้วยที่แปลมาสับสน แต่เราก็ยังคิดว่า สไมลี่ย์ โคดเท่ได้หน้าตาเฉย (เรียกว่า คาแรคเตอร์กินขาดหนังทั้งเรื่อง... อย่างน้อยก็สำหรับผม เพราะ...หลับ ตอนนี้ยังไม่ได้หามาดูซ้ำเลย... - - ได้ชิงออสการ์เลยนะขอบอก - บทภาพยนตร์ดัดแปลงก็ได้ชิงฮะ (อีกอันที่ชิงคือดนตรีประกอบ)) แต่เมื่อผ่านช่วงแรกของหนังที่ชวนระทึก ก่อนบรรยากาศจะผ่อนและเนิบนาบลงไปสู่กลุ่มตัวละครเดินเรื่องที่กำลังพยายามจัดการปัญหาของพวกเขา เมื่อเรื่องราวย้อมเข้าสู่เรื่องของแผนการที่คัดง้างกันระหว่างจุดประสงค์และความต้องการของตัวละครหลายกลุ่มแล้ว เรื่องราวก็เข้มข้นและน่าสนใจขึ้น และการแสดงของนักแสดงก็แบกรับและสวมไปกับเรื่องราวได้ดี ไปจนตอนจบที่ชวนสะท้อนใจ และชอบการคุมบรรยากาศในหลายฉากของหนังช่วงนี้ทีเดียว

เรื่องราวยังแสดงให้ถึง 'การเป็นส่วนหนึ่ง' ของอะไรบางอย่าง เช่น พันธสัญญาระหว่างคน หรือระหว่างรัฐ หรือระหว่างกลุ่ม ระหว่างชาติ ได้อย่างน่าสนใจตามชื่อเรื่อง ว่า 'การหักหลัง' นั้นมองได้จากมุมใดหรือจากอะไร อะไรเป็นเหตุซึ่งจะนำไปสู่การเป็น หรือถูกตราหนาว่า คนทรยศ ได้บ้าง โดยเฉพาะในการใช้ชีวิตในโลกซึ่งมีเส้นแบ่งสถานะหลายอย่างหลายชั้น พันธสัญญาอะไรที่จะยึดโยงเราไว้กับสถานะนั้นบ้าง? และมันจะถูกทำลายภายใต้เงื่อนไขหรือสถานการณ์แวดล้อมแบบไหน? แม้ไม่ได้ถ่ายทอดมาลึกหรือเด่นชนิดแทงใจ แต่เรื่องราวส่วนนี้ก็ยังนับว่าน่าสนใจอยู่ดี

ด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ ในแบบของ จอห์น เลอคาร์ ที่ถูกถายทอดมา ยังคงทำให้หนังมีความเข้มข้นผสมโดยเฉพาะในช่วงที่เรื่องเดินเครื่องแรงขึ้น แม้ไม่ได้มีความตูมตามเป็นส่วนประกอบ การแสดงมีดีพอจะสวมกับเนื้อเรื่อง และความกดดันของหนัง ไปจนตอนจบ ซึ่งเป็นตอนจบที่น่าสะท้อนใจทีเดียว... แม้ไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ หรือเป็นหนังที่โดดเด่นมาก แต่ภาพรวมของหนัง เป็นหนังในแนวทางของรหัสคดี ที่มีปมให้ติดตามลุ้น ได้อย่างสนุกอยู่ในขั้นน่าพอใจ 7.7 คะแนน แฟนๆหนังแนวนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าจะดูกันได้อย่างน่าพอใจครับ


แบบยาวๆ

[ภาพยนตร์] THE HANDMAIDEN ล้วง เล่ห์ ลวง รัก : ตุ๊กตาใจ


แบบสั้นๆ
หนังเกาหลีนั้นความจริงแล้วก็น่าจะสร้างชื่อมาจากรสชาติและลีลาเฉพาะตัว ซึ่งหลายครั้งก็ขึ้นกับรสมือ(การกำกับ)ของผู้กำกับเป็นสำคัญด้วยอย่างนึง หนังเกาหลีหลายเรื่องจึงโดดเด่นขึ้นมาด้วยความ'ถึงใจ' (และอาจจะ'ใจถึง') ทั้งในเรื่องของ บรรยากาศ โปรดักชั่น ความโหด หรือจะความอีโรติกก็ตาม ฯลฯ

หลายครั้งเรื่องเหล่านี้ก็เหมือนเป็นการขุดลึกเข้าไปในความดำมือของใจมนุษย์จนทำให้เรื่องราวที่ถูกบอกเล่ามีความเข้มข้นทั้งในเรื่องของการเล่าเรื่อง บรรยากาศ และความรู้สึก ที่ทำให้หนังเกาหลีหลายเรื่องจากผู้กำกับหลายท่านมีรสชาติเฉพาะตัวอย่างยากจะหาตัวเทียบ กระทั่งหนังหลายเรื่องที่นำเอาหนังเหล่านี้ไปรีเมคก็ไม่สามารถเก็บรสชาติ บิดผัน หรือปรุงรสชาติเหล่านี้ใหม่ จะฟิวชั่น ปรุงซ้ำสูตรเดิมใส่เครื่องใหม่ ปรุงใหม่ หรืออะไรก็ตามทีให้มันมีรสชาติน่าสนใจสำหรับผู้ชมได้เทียบเท่าต้นฉบับ

แล้วนี่จะยังไม่เข้าเรื่องตัวหนัง The Handmaiden หรืออย่างไร? ข้างบนก็เขียนแปะไว้ไงว่าพูดสั้นๆก่อน...

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์, สารคดี] THE LOVERS & THE DESPOT ท่านผู้นำ & คนทำหนัง : หลงใหล หลงไป ในมายา (กับท่านผู้นำ)


แบบสั้นๆ
 สารคดีของเรื่องราวประหลาดอีกเรื่องนึงที่ดูราวกับพลอตหนัง เป็นเรื่องของผู้กำกับชื่อดังชาวเกาหลีใต้ที่ถูก 'พาตัว' ไปโดยเกาหลีเหนือ เพราะท่านผู้นำเกาหลีเหนือต้องการนักทำหนังที่มีวิสัยทัศน์ เพื่อสร้างหนังเกาหลีเหนือให้ทัดเทียมและเหนือกว่าหนังเกาหลีใต้ ทั้งให้ทัดเทียมหนังระดับสากล!

แค่พลอตก็ขนาดนี้แล้ว สำหรับคนสนใจเรื่องราวแปลกประหลาด รู้สึกว่าดินแดนเกาหลีเหนือลึกลับ สนใจเรื่องราวน่าแปลกในวงการหนังภาพยนตร์ เรื่องราวราวหนังสายลับนี้ ถือว่า 'น่าดู' 'น่าสนใจ' และอาจจะ 'น่าทึ่ง' อย่างลึกลับทีเดียว ลองมาติดตามความหลงใหลใน 'โลกมายา' ที่นำพาให้ได้พานพบกันใน 'ดินแดนมายา' ในสารคดีเรื่องนี้กัน  8.3 คะแนนจากผมเอง

นำเข้ามาฉายโดย Documentary Club อีกเช่นเคย ในโรงภาพยนตร์เครือ SF 'จำนวนหนึ่ง'


แบบยาวๆ

[ภาพยนตร์] TRAIN TO BUSAN ด่วนนรกซอมบี้คลั่ง : เจอซอมบี้คลั่งพันธุ์เกาหลี!!


เพิ่งเจอซอมบี้ชิหายวายป่วงพันธุ์ญี่ปุ่นไป ใน I Am A Hero (ไปหาอ่านมังงะมาแล้ว ไว้จะกลับไปเขียนเพิ่มละกัน...นะ...) คราวนี้เจอซอมบี้เกาหลีบ้างครับ (จริงๆก็กะจะนึกถึงตั้งแต่เขียนถึงซอมบี้ญี่ปุ่นเรื่องก่อนแล้ว แต่...ไม่ได้เขียนซะทีไง...)


แบบสั้นๆ
นี่เป็นหนังซอมบี้ดราม่าแบบเกาหลี ที่ตัวละครในเรื่องอาจจะมีบางคนบางช่วงที่เท่เกินธรรมดาในสไตล์เกาหลีไปบ้าง และดราม่าบางช่วงบางตอนก็อาจจะดูเขียนมาเพื่อให้ดราม่าแบบรู้สึกได้ไปซักหน่อย แต่ดราม่าและตัวละครส่วนใหญ่ก็เป็นธรรมชาติมาก (บางช่วงก็เท่แบบธรรมชาติ บางช่วงก็ตลกหน้าตาเฉยอย่างเป็นธรรมชาติด้วย - แม้โมเม้นต์นั้นจะไม่เยอะเท่าความขวัญผวาหรือกดดันก็เถอะ) ให้เรารู้สึกไปกับตัวละครและเนื้อเรื่อง การกระจายความสำคัญและการเปิดตัวละครทำได้ดี แบบที่หนังฮอลลีวู้ดหลายเรื่องสู้ไม่ได้ เราจึงลุ้นระทึก เวทนา เอาใจช่วย และหวาดผวาไปกับการเดินทางของเหล่าตัวละครในพื้นที่จำกัดอย่าง เช่น รถไฟ ซึ่งยิ่งเพิ่มความระทึกให้กับชะตากรรมของเหล่าตัวละคร แม้อาจจะมีบางรายะละเอียดที่รู้สึกว่าจงใจเกินไปบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่ของหนังแล้วหนังไม่ได้ทำให้รู้สึกแบบนั้นและในตอบจบหนังก็ยังคงสะเทือนใจ...

 ในด้านของหนังซอมบี้ คิดว่าหนังยังอยู่ในรูปรอยของประเด็นหนังซอมบี้ ด้านความ 'คลั่ง' แม้ซอมบี้ในเรื่องจะไม่ได้มีรูปลักษณ์หรือรูปแบบที่พิสดาร แต่หลายๆเหตุการณ์ก็ยัง 'คลั่ง' ในระดับขวัญผวา โดยเฉพาะเมื่อ ฝูงซอมบี้ ไลล่า แถมหนังยังมีเอ็ฟเฟ็คท์จัดเต็มที่ดูสมจริงและวินาศไม่เบาเอาการ นี่จึงเป็นหนังดราม่าซอมบี้ที่มีรสชาติเฉพาะตัวของเกาหลี ที่การเกิดในพื้นที่เฉพาะยิ่งเพิ่มความระทึกให้หนัง ประเด็นดราม่าก็ทำได้ดี รสชาติในเรื่องนี้เป็นดราม่าที่ทำได้ถึงแบบเทรดดิชั่นชัดกว่า I Am A Hero ซึ่งมีองค์ประกอบแปลกๆเฉพาะตัวเสริมเข้ามามากกว่า มีความสมจริงและกดดัน (ทั้งจากเหตุการณ์ ซอมบี้ และความชิหาย) (และเนื่องจาก I Am A Hero สร้างจากมังงะ ที่ยาวกว่าเรื่องราวในหนัง มันจึงยังดูมีปมที่ยังไม่ถูกสะสางอยู่ด้วยมากกว่า แม้ว่าจะถือว่าจบในตัวแบบนี้ก็ได้เหมือนกันก็ตาม) แม้ว่าในด้านความคลั่งและรูปลักษณ์ของซอมบี้ ผมจะให้คะแนน I Am A Hero มากกว่าก็ตาม คือถึงเรื่องนี้จะให้ความรู้สึกชิหายแบบนึงเหมือนกัน แต่ในเรื่องนั้นมันมีความชิหายเฉพาะตัวเข้ามาด้วย เพราะงั้น... ขอให้คะแนนเท่ากันที่ 8.1 คะแนนละกันครับ (แม้ว่าจะหักคะแนนความชิหายจนจิตใจอันอ่อนไหวเกือบจะรับไม่ได้ของ I Am A Hero ไปนิดหน่อยก็ตาม - นี่ก็ยังจะไปดูอีกนะ... จิตใจอ่อนไหวประสาอะไรเนี่ย...)

เอาเป็นว่ายังคงแนะนำสำหรับแฟนหนังซอมบี้มั่กๆ ถือเป็นหนังคุณภาพ ดูซอมบี้ญี่ปุ่นมาแล้วก็มาดูซอมบี้เกาหลีบ้างปะไร (หรือกลับกันดูนี่แล้วก็ไปลองหาญี่ปุ่นมาดู) หรือแฟนหนังดราม่าเกาหลี ลองไปดูดราม่าแบบเติมซอมบี้เข้าไปด้วย ก็อาจจะน่าสนใจไม่หยอกนะ...



แบบยาวๆ

[ภาพยนตร์, อนิเม] THE SECRET LIFE OF PETS เรื่องลับ แก๊งขนฟู : แก๊ง(สรรพ)สัตว์ผจญนิวยอร์ค



แบบสั้นๆ
อีกหนึ่งอนิเมจาก Illumination ภายใต้ค่าย Universal ที่มีเจ้าตัวเหลืองพูดไรไม่รู้เป็นตัวชูโรง ซึ่งใครเป็นแฟนเจ้าตัวเหลืองก็มีอนิมเสั้นฉายแปะหน้าอนิเมเรื่องนี้ด้วย แต่จะมีแค่เจ้าตัวเหลืองอย่างเดียวก็ใช่ที่คราวนี้เขาจึงขอส่งอนิเมเรื่องอื่นเข้าประกวดบ้าง (ซึ่งยังไม่หมดแค่นี้ด้วยนะในปีนี้ Hint ก็มีให้เห็นกันในเรื่องนี้ล่วย)

เรื่องราวน่าจะเรียกความสนใจได้จากหลายๆท่านที่ชมชอบบรรดาสัตว์เลี้ยงทั้งหลายตั้งแต่ในตัวอย่างว่า เจ้าตัวแสบรึเจ้าหนูน่าเอ็นดูทั้งหลายนี่จริงๆพอลับสายตาเจ้านายไปแล้วน่ะ มันประพฤติตัวอย่างไรกันบ้าง? คือใครชอบก็คงเตรียมตัวดูกันตั้งแต่เห็นตัวอย่างแล้ว

ซึ่งใครดูตัวอย่างแล้วชอบก็ไปดูเถอะ เพราะมันก็ให้อารมณ์ตามตัวอย่างจริงๆ หนังก็เป็นสไตล์เล่าเรื่องเบื้องหลังของชีวิตเหล่าตัวละครที่คอนเนคกับสังคมมนุษย์แต่เราอาจไม่รู้เรื่องของมัน คล้ายๆ Toy Story หรือ Finding Nemo แม้จะคล้าย Toy Story ในเรื่องของความผูกพันระหว่างเจ้าของด้วย แต่ก็ไม่ต้องเทียบหรอก อนิเมเรื่องนี้ก็มีความสนุกเรื่องราวและรสชาติเฉพาะตัวใช้ได้ทีเดียว ซึ่งแม้โครงอาจจะไม่เหนือคาด(ดูตัวอย่างเอาเลย) แต่การผจญภัยและคาแรคเตอร์ของแต่ละตัวก็ได้ใจและสนุกสนานกันดีทีเดียวเจียว แม้ว่าเหตุการณ์ความลึกอะไรต่างๆอาจจะมีส่วนที่ดูง่ายไปบ้างตามสไตล์การ์ตูน แต่มันก็สามารถทดแทนได้ด้วยคาแรคเตอร์และความกวนของแต่ละตัวแทน คือพอมาคิดจริงๆโครงมันก็ไม่ได้ซับซ้อนนี่หว่า? แถมความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครก็ไม่ใช่จะมีพัฒนามากมายแฮะ? (คือไอที่ต่อกันติดก็ง่ายกันเหลือเกิน) แต่ เฮ้ย คาแรคเตอร์แต่ละตัวโดยเฉพาะที่แสบๆมันชัดดี แถมแม้จะยิงมุกถี่ (ซึ่งมักมีมุกห่ามๆปนอยู่กว่าสไตล์ Pixar อยู่แล้ว - เป็นแทบทุกค่าย - ขนาดแฮงค์ตัวละครใหม่ มาเล่นใหญ่ใน Finding Dory เรายังรู้สึกว่ามันเว่อวังมากแต่ก็ไม่ห่ามอยู่ดี) แต่มันก็ต่อเนื่องลื่นไหลและเข้าเป้า คือสนุกอ่ะ แค่คาแรคเตอร์ กับการผจญภัยของตัวแสบๆพวกนี้ก็สนุกแล้ว เช่น เจ้าแมวตัวแสบ ที่แม้บทไม่ไรมาก แต่คาแรคเตอร์กะนิสัยเจ๊นี่แสบดี รึไอตัวขนฟูหูยาวที่มาดมาตรงข้ามกะคาแรคเตอร์ได้น่าเตะมาก รึคุณเป็ดขโมยซีน และทั้งอนิเมชั่นของตัวละครรึจะเสียงพากย์(ผมดู OST นะ)ก็น่ารักน่าชัง โดยเฉพาะกิดเจ็ตนี่ชอบมาก (ชอบตั้งแต่ตัวอย่างแล้วนะเนี่ย)

เพราะงั้นใครชอบแนวนี้ บรรดาสารพัดสัตว์ไรงี้ ก็ไปดูเถอะ เป็นอนิเมชั่นที่สนุกดี ในบ้านเกิดอเมกาก็เป็นหนังฮิตมากกว่าที่คาด(มัง?)ไปแล้ว

ความจริงหนังก็สอดแทรกประเด็นเรื่องของ สัตว์(ที่มนุษย์เอามา)เลี้ยง ซึ่งก็อาจเป็นอะไรก็แล้วแต่ตามแต่ละคน จะเป็นเพื่อนคลายเหงา เหมือนลูกตัวน้อย งานอดิเรกแก้เบื่อ หรือแสดงสถานะ ฯลฯ ความจริงในเรื่องนี้เราก็ไม่ได้จะเห็นโลกของคนเลี้ยงมากเท่าไหร่ แต่ก็มีทั้งเจ้าหมาเฒ่า (ในตัวอย่าง) ที่แม้จะแก่และมีปัญหาสุขภาพแต่เจ้าของก็ยังเลี้ยงดูมีเครื่องอำนวยความสะดวกมาช่วย หรือก็มีสัตว์หลาย ('หลาย'จริงๆ) ตัว ที่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ถูกทอดทิ้งไปและ ในเรื่องนี้ก็มี 'หลาย' สัตว์ที่เราบางคนก็คงยังสงสัยว่า เขาจะเอามาเลี้ยงกันทำไม๊? นี่เลี้ยงแล้วได้เอาแก้มถูกันทุกวันรึเปล่า? อะไรแบบนี้ ซึ่งก็อย่างที่ว่าทำให้มันเป็นการผจญภัยที่อลังการพอดู ราว อินเดียน่า โจนส์ แบบโลกสรรพสัตว์ทีเดียว แต่เรื่องก็ไม่ได้ดูจะทำให้รู้สึกหรือตั้งคำถามตรงจุดนี้มากเท่าไหร่เมื่อดูไปจนจบ เพราะคงทำให้เราได้รู้สึกถึงความสนุกสนานมากกว่า เผลอๆจะมีคนสนใจอยากเลี้ยงโน้นอยากเลี้ยงนี่มากกว่าด้วยซ้ำเพราะมันน่ารักกันจริงๆ (ซึ่งอันนี้ก็คงโทษกันยาก เพราะเรื่องที่ครองใจผู้ชมก็คงให้ผลในลักษณะนี้ เช่น Finding Nemo นี่ก็ทำให้คนบ้าเลี้ยงปลาการ์ตูนเหมือนกัน อะไรแบบนั้นไปซะงั้น... - ดูขัดประเด็นในหนังชอบก๊ล...) ต่างไปจากหนังอย่าง White God ที่ดูจะพอยท์ตรงประเด็นนั้นมากกว่า (แม้มันจะมีความเป็น 'หนัง' อยู่มากก็ตาม - แต่มันก็มีพาร์ทที่จริงจังกว่าด้วย)

อีกอย่างคือ มุมนิวยอร์คในอนิเมเรื่องนี้มันดู 'ใหญ่' และ 'ซับซ้อน' มาก ราวกับเป็นตัวละครสำคัญตัวนึง แม้จะโผล่มาไม่มาก แม้จะ 'สวย' มากในเวลาเดียวกัน และก็เป็นภาพที่รู้สึกดียามที่เหล่าเจ้าของมานั่งคู่กับเหล่าสัตว์เลี้ยงของตัวเองมองดูนิวยอร์ค แต่ในขณะเดียวกันมันก็ให้ความรู้สึกว่ามันเป็นพื้นที่และโลกใบเล็กๆท่ามกลางเมืองใหญ่ ที่ใหญ่โตและวุ่นวายซัึบซ้อน จนมีความรู้สึกอีกแบบปะปนมาด้วยอย่างบอกไม่ถูก... เป็นหน้าที่ของหนังหรือการ์ตูนหรอกหรือที่จะทำให้มันดูสุขสดใสและน่าสนุกสนานมากขึ้น?...

ถ้าไม่ไปไกลขนาดนั้น เอาแค่สนุกหรือเปล่า? สดใส สวย แสบ และสนุกครับ 7.8 คะแนน ไม่ได้ชอบมากกว่าสนูปี้ แต่...ก็สนุกอ่ะ ชอบกิดเจ็ท (พูดซ้ำอีกแล้ว) ทั้งมุกและฉากแอ็คชั่นนี่มากันเยอะ บางฉากนี่ระดับ Indiana Jones, JP: The Lost Word, Terminator : Genisys (ฮ่ะ อะไรนะ? ไม่ชอบเรอะ? เฮ้ย แต่เราว่ามันโอเคนะ สนุกดีออก... T T) รึ Rise of Planet of the Apes เลยทีเดียวนะ ไม่ได้โม้(จึ๋งนึง...)!

ส่วนตัวคิดว่าสนุกกว่าหนังเจ้าตัวเหลืองเป็นตัวนำนะ เพราะเรื่องนั้นแม้จะเปิดมาสนุกดี แต่ครึ่งค่อนหลังๆมันดันรู้สึกเฉื่อยลงซะงั้น แม้จะดูไม่ได้พลาดอะไรมากมายก็เถอะ (ส่วนนึงอาจเพราะตัวอย่างมันดันตัดเรียกความสนใจไปเยอะแล้วก็ได้ - เยอะไป - แต่ใครเป็นแฟนเจ้าตัวเหลืองแค่นั้นก็คงไม่บ่นกันหรอก...ยังไงก็มีเรื่องสั้นๆมาแปะหน้าเรื่องนี้นะอย่างที่บอก) อันนี้เราว่าสนุกดีตั้งแต่ต้นจนจบน่ะนะ แถม อนิเมค่ายนี้ของปีนี้ก็ยังมีมาอีกนะเออ... ซึ่งถ้ามันสนุกดีก็ทำมาเถอะ เพราะเจ้าตัวเหลืองที่ประสบความสำเร็จน่าอุ่นใจไปแล้ว ก็ลองไปทำอย่างอื่นบ้าง ออกมาน่าสนใจเราก็พร้อมไปพิสูจน์นะ (ถ้าโอกาสเหมาะ...) 



แบบยาวๆ

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] A HOLOGRAM FOR THE KING ผู้ชายหัวใจไม่หยุดฝัน : ไปแก้ปมชีวิต ณ ตะวันออกกลาง...


แบบสั้นๆ
หนังทีกำกับโดย ทอม ทีกเวอร์ และนำแสดงโดย ทอม แฮงค์ ที่สร้างจากนิยายชื่อเดียวกัน

ทอม ทีกเวอร์ สร้างชื่อมาจาก Run Lola Run หนังเฟี้ยวฟ้าวเอาการที่หลายคนชอบหลายคนก็ไม่ชอบ โครงหลักของเรื่องอาจไม่มีอะไร แต่แนวทางการเล่าของมัน (ซึ่งบางคนบอกทำให้หนังเหมือนวิดีโอเกม - วัฒนธรรมป๊อบ) ก็เป็นสิ่งที่ทำให้หนังสนุกดี พอดีว่าผมก็อยู่ฝ่ายชอบ

หลังจากนั้น ทอม ทีกเวอร์ ก็กำกับหนังอีกหลายเรื่อง ซึ่งหลายเรื่องก็โอเค บางเรื่องก็สนุกดี แต่ผมก็ไม่ได้ชอบเท่า Run Lola Run เพราะยังคิดว่าเรื่องนั้นสนุกกว่า เช่น Perfume นี่ก็ค่อนไปทางเฉยๆ ชอบฉบับนิยายต้นฉบับมากกว่า แต่บางเรื่องก็ยังไม่ได้ดู เช่น Heaven แต่ก็เพิ่งรู้ว่า ทอม ทีกเวอร์ เป็นหนึ่งในผู้กำกับ Cloud Atlas ด้วย ทีแรกนึกว่าผู้กำกับมีแค่ พี่น้อง วาชอว์สกี้ ซะอีก ซึ่งจริงๆเรื่องนี้ก็ชอบเหมือนกันนะ สนุกดี แถม'เยอะ'ดี

ทีแรกกับเรื่องนี้รู้สึกเฉยๆว่าชื่อมันประหลาดๆ แต่เห็น ทอม แฮงค์ แสดง สร้างจากนิยายชื่อเดียวกัน (รู้สึกมีแปลไทยออกมาแล้ว) มี ทอม ทีกเวอร์ กำกับ ก็ไปดูซะหน่อย

หนังออกแนว dramedy (อีกแล้วแฮะ) ซึ่งเปิดเรื่องมาด้วยเทคนิคการเล่าเรื่องที่มีลูกเล่นพอควร ทั้งที่จริงๆเรื่องที่เล่ามันก็หนักนี่หว่า และ ทอม แฮงค์ ก็ยังน่าเครียดพอควร แต่มันก็เซตอารมณ์หนังช่วงเริ่มนี้ได้สนุกพอควร หลังจากนั้นหนังก็เล่าเรื่องของพนักงานขายจำเป็นที่ต้องไปปฏิบัติภารกิจในตะวันออกกลาง เพื่อขายเทคโนโลยีให้ราชาแห่งประเทศตะวันออกกลางให้ได้ ทั้งที่ชีวิตเขาก็ปั่นป่วนอยู่แล้ว... ยังไปเจอสถานการณ์ไม่คาดคิดพร้อมแท็กซี่ท้องถิ่นสุดกวนที่ไม่รู้ตั้งใจจะกวนจริงไม่จริงซะอีก...

เรื่องราวในช่วงต้นของหนังสนุกดีทีเดียว แม้ว่าพอดูไปซักพักพอรู้เรื่องของหนังพอควรแล้วเราก็รู้สึกว่าเรื่องธรรมดากว่าที่คิด เรื่องราวของหนังที่พาเอาพระเอกของเราล้มลุดคลุกคลานออกมาจากชีวิตที่เคยรู้จัก มาเผชิญกับปัญหาในประเทศห่างไกล ต่างวัฒนธรรมจนบางครั้งก็ยากจะเข้าใจ และปัญหาทั้งส่วนตัวส่วนงานที่ไม่รู้จะจัดการยังไง ได้มองชีวิตต่างไปจากมุมเดิม และพยายามมองหาว่าชีวิตตอนนี้จะยังไง ต่อจากนี้จะยังไง แม้จะธรรมดากว่าที่คิด แต่เรื่องก็มีเหตุการณ์และลูกเล่นสนุกๆให้เรื่องราวของหนังน่าสนใจ หนังมีเหตุการณ์และช่วงที่สนุกและน่าสนใจอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งก็ทำให้เราติดตามเพื่ออยากรู้เรื่องราวต่อไปได้ดีทีเดียว

มีสองสามอย่างที่ทำให้หนังไม่ได้กลายเป็นหนังเล็กๆรสชาติแปลกๆที่น่าจะชอบได้มากกว่านี้ในท้ายที่สุด แม้จะเริ่มได้สนุก และมีสีสัน หนังมีพลังน่าติดตามไปในช่วงครึ่งแรกค่อนข้างดีทีเดียว แต่เมื่อผ่านวิกฤติของตัวเอกในช่วงนึงไป และมุ่งเข้าสู่บทสรุปของหนัง รู้สึกว่าเหตุการณ์ที่ปูมาเพื่อเข้าสู่เหตุการณ์และการตัดสินใจสำคัญ มันไม่พอให้เราเชื่อ การพยายมเน้นย้ำในส่วนนี้ของหนังจึงเป็นเหมือนเหตุการณ์ที่เหตุและพยายามจะให้น่าประทับใจ แต่เราก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ซึ่งก็น่าเสียดายที่หนังลดระดับความน่าสนุกของหนังลง ตัวละครบางตัวก็เหมือนถูกใช้เพื่อ'งาน'เฉพาะแล้วก็หายไปเลย และหนังก็ไม่มีรายละเอียดมาหล่อเลี้ยงให้คนดู 'เชื่อ' ในส่วนสำคัญในช่วงท้ายของหนังได้ แม้นักแสดงจะพยายามแสดงให้มีความเป็นธรรมชาติ และใส่บุคลิกความสนุกไปตามบทแล้วก็ตาม กับอีกเรื่องที่ออกจะเหมือนส่วนตัวหน่อย และเป็นกรณีคล้ายๆ Demolition เลย คือ อืม...เอาน่ะ ผมเข้าใจว่าเฮียมีปัญหาชีวิต เรื่องก็หนักหนา แต่เอาจริงๆ ตอนเฮียเดินเข้าเต๊นท์ไป... ผมดันเห็นใจทีมติดตั้งมากกว่าว่ะ... ซะงั้น... (นี่ตรูไม่ใช่กลุ่มลูกค้าอีกแล้วเรอะ?! - มันก็ต้องเห็นใจทีมปฏิบัติการหัวอกเดียวกันมากกว่าป่าวหว่า? - ไม่แยกแยะเลย แย่จริง...)

หนังอาจมีช่วงเนือยบ้าง และไม่ได้เป็นหนังตั้งใจตื่นเต้นตกใจมาก หนังก็พยายามให้ข้อคิดน่าสนใจ และมีเรื่องราวที่สนุกดี ประเด็นด้านวัฒนธรรมที่ถูกใช้แม้จะมีรูปรอยแปลกน่าสนใจดี แต่แก่นของมันก็ไม่ไดู้แปลกมากและบางเรื่องของมันก็มีเรื่องราวรองรับน้อยไปซะหน่อย ยังเป็นอีกเรื่องที่เรื่องราวของประเทศมหาอำนาจใหม่ที่ส่งอิทธิพลด้านการผลิตทั่วโลกอย่างสำคัญเสริมเข้ามา และเป็นเรื่องราวที่ดูจริงอย่างประหลาด (ซึ่งจริงๆอันนี้มันก็จริงน่ะแหละ) ทำให้เรื่องของที่เป็นของอเมริกาย้ายไปเป็นของที่อื่นเอาง่ายๆ ซึ่งเรื่องราวนี้ก็ทำให้ประเด็นของมันใส่เข้ามาในเรื่องได้อย่างดูสมจริงและน่าสนใจไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้

เอาเป็นว่า... หนังก็เป็นหนังติดจะฟีลกู๊ดชื่อแปลก ที่ก็มีเรื่องราวและการเล่าที่มีกลิ่นแปลกแตกต่างให้ได้สัมผัส แม้จะสลักความรู้สึกลงในใจผู้ชมอย่างผมไม่ได้ แต่หนังก็ถือเป็นหนังดูสนุกใช้ได้ ชอบหนังฟีลกู๊ด ไม่หนักมาก พอมีข้อคิดติดใจ แบบมีองค์ประกอบแปลกๆหน่อย (แบบไม่ได้จะแปลกมากๆ) ก็หาดูได้ครับ คุณอาจจะชอบเรื่องนี้ก็ได้นะ 7.6 คะแนน ที่ได้เยอะกว่าหน่อยนึงเพราะแค่รู้สึกว่ามันไม่ดู 'เกินไป๊' เหมือน Demolition คืออันนี้ไม่เกิน แต่มันก็ดันขาดอะไรบางอย่างไปมากกว่าแฮะ...


ทำไม... คะแนนเท่าเรื่องที่แล้วเลยหว่า??... แถม... เป็นหนังท่ามกลางทะเลทรายอีกต่างหาก??!!!...
ตั้งใจป่ะเนี่ย?!

จะอะไรก็ช่างมันเฮอะ... จบนะ.


แบบยาวๆ

[ภาพยนตร์] QUEEN OF THE DESERT ตำนานรัก แผ่นดินร้อน : ชีวิตเบื้องหลังฉายา...



แบบสั้นๆ
สนใจไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะชื่อของ เวอร์เนอร์ เฮอร์ซ๊อก ผู้กำกับชาวเยอรมันครับ ความจริงหนังของผู้กำกับก็หลุดเข้ามาฉายในบ้านเราเรื่อยๆ และหลายเรื่องก็น่าจะไม่ใช่หนังดูยากอะไร แต่ก็ไม่เคยได้ดูซักที เท่าที่พอจำได้ก็มี Grizzly Man รึ Rescue Dawn จนเรื่องนี้ เห็นเป็นชื่อผู้กำกับ เวอร์เนอร์ เฮอร์ซ๊อก แถมมีดาราอย่าง นิโคล คิดแมน แสดงเป็นราชินีแห่งทะเลทราย, เจมส์ ฟรังโก รึจะ โรเบิร์ต แพตตินสัน แสดงเป็น ที.อี. ลอเรนซ์

โดยเฉพาะเป็นหนังในแนวทางหนังที่ส้รางจากเรื่องจริง เรื่องราวของ เกอร์ทรูด เบลล์ เธอเป็นทั้ง นักเขียน นักสำรวจ นักการเมือง นักโบราณคดี ผู้แหวกขนบของ 'อะไรที่ผู้หญิงจะทำได้' และเป็นนักภูมิศาสตร์ผู้สานสัมพันธ์กับชนเผ่าตะวันออกกลางจำนวนมากที่กระจัดกระจายใช้ชีวิตและเป็นแหล่งอำนาจอยู่ในทะเลทราย และเป็นผู้นำเอาเรื่องราวของพวกเขามาสู่การรับรู้ของตะวันตก อย่างประเทศอังกฤษ และทำให้เธอได้รับฉายาราชินีแห่งทะเลทราย

หลังจากเปิดตัว เกอร์ทรูด แล้ว และทำให้ผู้ชมได้รับรู้ถึงความ ขบถ และ ความแกร่ง ของเธอ เรื่องราวที่เหลือแม้จะพาผู้ชมไปผ่านการเดินทางของเธอในที่ต่างๆจนเป็นเหตุให้เธอได้ท่องไปและใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทราย เราจะได้เห็นว่าด้วยเสน่ห์ของเกอร์ทรูด ทั้งรูปโฉม และความแกร่ง ไม่ยอมใครง่ายๆ ทำให้เธอใช้ชีวิตผ่านทะเลทราย การรู้จักกับคนมากมาย ที่ยินดีให้ความเป็นมิตรและช่วยเหลือเธอ โดยเฉพาะเหล่าบุรุษหลายคนที่มีอิทธิพลกับชีวิตของเธอ รวมทั้งหลายบุรูษผู้ทรงอำนาจที่ทั้งชอบพอหรือไม่ชอบหน้าเธอ เธอรอดพ้นมาได้ด้วยทั้งไหวพริบ ความกล้า และการช่วยเหลือจากคนที่เธอผ่านพบมา

หนังต่างไปจากที่คาดพอสมควรเมื่อดูเหมือนว่าในขณะที่หนังดำเนินไป ขณะที่ความคาดหวังของผมอาจเป็นไปในลักษณะที่อยากสัมผัสกับ เกอร์ทรูด ในฐานะ หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ในงานด้านภูมิศาสตร์ของเธอ อย่างที่แสดงไว้ในชื่อเรื่อง เพื่อจะรู้จักการทำงานของเธอมากขึ้น รวมถึงรายละเอียดของสิ่งที่ทำให้เธอได้รับฉายานี้ หนังกลับพาเราไปสัมผัสกับเรื่องราวชีวิตของเธอโดยเรื่องราวของการเป็นนักภูมิศาสตร์ของเธอเป็นเพียงส่วนหนึ่งในฉากหลัง โดยเฉพาะกับชายหนุ่มหลายคนที่เธอพบพาน และชีวิตรักของเธอ

นิโคล คิดแมน สวยสง่า มีมาดเป็นผู้มีการศึกษาในตระกูลสูง และจะว่าไปแล้วก็นึกไปถึง เคท วินสเลต ในบทช่างเสื้อนางพญา ที่เธอต้องมาเข้าคู่กับหนุ่มๆนักแสดงวัยละอ่อนกว่า ซึ่งเธอก็แสดงบทบาทเหล่านั้นได้ดี (ชนิดที่บางทีก็ติดจะไปล้ำๆบทชาวบ้านเขาทีเดียว - แม้ว่ากรอบของเรื่องราวอาจไม่ทำให้การแสดงของเธอดู แซ่บ เท่า เคท วินสเลต ในบทช่างเสื้อฯก็ตาม - แม้ว่าก็ยังสงสัยอยู่ดีว่า เออ แล้วเอาดาราแบบว่า ตามวัยมาเล่นไม่ได้เลยหรือ? แต่ก็ต้องยอมรับว่า นิโคล ก็ทำได้ดี โดยเฉพาะในมาดสวยสง่า - แม้บางทีจะรู้สึกว่าเป็นความสวยสง่าที่อาจจะเกินไปนิดในบางความรู้สึกก็ตาม - แต่หนังทั่วไปก็เป็นอย่างนี้) แต่ดาราที่จับคู่กับเธอก็แสดงโดยมีมาดและบุคลิกเฉพาะตัวที่ชัดเจนดี และในหลายช่วงที่ถือเป็นการจับคู่ที่ดี ถือว่า เจมส์ ฟรังโก กับ เดเมี่ยน ลูอิส ทำได้ดีในช่วงสำคัญของเกอร์ทรูด

ความจริงแล้ว เมื่อไม่คิดถึงที่มาหรือความคาดหวังก่อนชม หนังเล่าเรื่องได้น่าติดตามดีทีเดียว และอดทำให้รู้สึกว่าความรู้สึกของหนังเป็นไปในทางติดจะเป็นหนังรักเมโลดราม่าไม่ได้ การเล่าในทำนองนี้แม้ไม่ได้ถึงขั้นยอดเยี่ยมแต่หนังก็เล่าเรื่องได้ลื่นไหล แม้ว่าในหลายสถานการณ์จะอดคิดไม่ได้ว่าแม้จะมีความกดดันแต่เหตุการณ์บางอย่างกลับดูคลี่คลายง่ายไปซะหน่อย ซึ่งในจุดนี้ไม่รู้ว่าเรื่องราวจริงๆเป็นอย่างไร? เกอร์ทรูดมีชีวิตที่โลดโผนซึ่งหนังก็ดูจะพยายามสื่อแสดงออกมาให้ครบถ้วนแม้จะดูเน้นที่ความสัมพันธ์พิเศษกับชายบางคนในชีวิตของเธอ หนังเล่าเรื่องได้ดีและน่าติดตามทีเดียวในทางที่หนังเลือกเล่านี้ แต่กราฟชีวิตและเหตุการณืที่ประดังเข้ามาซึ่งทำให้ชีวิตของเกอร์ทรูดผกผันนั้นก็ดูจะทำให้เส้นกราฟของการเล่าเรื่องขึ้นลงหลายครั้ง ซึ่งทำให้อารมณ์หนังเปลี่ยนไปมามากครั้งพอควร ขณะเดียวกันหลายครั้งหนังก็ดูจะอ่อนความกดดันไปอย่างที่ว่าในหลายจุด อารมณ์ของหนังทั้งเรื่องจึงมีจังหวะที่แปลก คือมีอารมณ์ขึ้น-ลงหลายครั้งในขณะที่อารมณ์เหล่านั้นก็ไปไม่ถึงกับสุด และในระหว่างนั้นเรื่องราวที่ดำเนินต่อก็อาจพาความรู้สึกในรู้สึกว่าเรื่องเนิบนาบไปพอควร

ซึ่งก็เป็นชอยส์ที่ว่าไปก็แปลกกับการเลือกเล่าเรื่องของ ราชินีแห่งทะเลทราย ในลักษณะนี้?

อย่างไรก็ดีผมอาจจะชิงด่วนตีความเนื้อหาและบรรยากาศที่จะได้จากหนังจากชื่อเรื่องผิดไปซะก็ได้ ในเมื่อชีวิตของผู้หญิงอย่างเกอร์ทรูดไม่น่าจะเป็นชีวิตที่ง่ายดาย ความเก่งกาจและความผิดหวังเป็นตัวผสมรวมกันผลักดันให้เธอออกสู่ทะเลทราย เธอทำหน้าที่อย่างแข็งขัน อดทน หลงใหล แต่ขณะเดียวกันแม้จะ 'แกร่ง' ก็ใช้ว่าเธอจะไม่มีความเปราะบาง ชีวิตของเธอแม้จะสูงศักดิ์และได้ทำสิ่งที่มีชื่อระบือ แต่สิ่งที่จะช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตท่ามกลางทะเลทรายนั้นจะต้องการอะไร? หรือแม้เมื่อในวันวานที่ผ่านมาเธออาจไม่ต้องการหยาดน้ำชะโลมใจ จะเมื่อใดที่ลมทะเลทรายพัดให้ปากคอแห้งผากและต้องการหยาดน้ำมาเติมความสดชื่นให้แก่ชีวิต? แม้ว่าถ้าอ่อนแออาจต้องเพลี้ยงพล้ำถูกทำร้ายก็ตาม...

แม้ว่าหนังจะผิดไปจากที่คาด และอาจไม่ทำให้รู้จัก เกอร์ทรูด ในมุมที่อยากรู้จัก จึงรู้สึกเหมือนรู้จัก    เกอร์ทรูด แค่เพียงในมุมจำกัด แต่หนังก็เล่าได้ดีพอควรในทางที่เลือกเล่า หนังจึงให้ความรู้สึกเหมือนหนังรัก ติดกลิ่นเมโลดราม่า ที่มีการแสดงที่แข็งแรงตามแนวทางนี้ บางทีความสวยสง่าของ นิโคล คิดแมน อาจเป็นการจงใจที่หนังเลือกก็ได้ ใครที่ชอบหนังในแนวทางนี้และอาจไม่ชอบหนังที่มีบรรยากาศหนักๆหรือรายละเอียดมากในแนวทางหนังประวัติศาตร์ น่าจะดูหนังเรื่องนี้ได้สนุกเหมือนกัน นอกจากนั้น หนังมีภาพในทะเลทรายที่สวยมากทีเดียว 7.6 คะแนน



แบบยาวๆ

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[ภาพยนตร์] THE CONJURING 2 คนเรียกผี 2 : สามี-ภรรยา ขอกลับมาเผชิญผีร้าย



แบบสั้นๆ 
จากภาคแรกที่ประสบความสำเร็จเกินคาด ด้วยบรรยากาศและจังหวะหนังที่กำกับเพื่อเลี้ยงความหวาดหวั่นและกระตุกขวัญผู้ชมได้ดี หนังหลอนหลอกยี่ห้อ เจมส์ วาน ยังคงติดตามเรื่องราวของสองสามีภรรยานักล่าผี ที่คราวนี้ต้องไปข้องเกี่ยวกับ 'บ้าน' ที่มีสิ่งลึกลับคุกคาม และดูเหมือนว่าสาวน้อยคนหนึ่งในบ้านจะเป็นเป้นประสงค์ของสิ่งลึกลีบที่ดูชั่วร้ายนี้มากเป็นพิเศษ นอกจากนั้นภัยดำมือดังกล่าวยังไม่เพียงคุกคามครอบครัวนี้เท่านั้น แต่ดูสิ่งลึกลับที่ว่าจะส่งความอาฆาตมาที่สามี-ภรรยานักปราบผีนี้ด้วย  อะไรที่อยู้เบื้องหลังสิ่งชั่วร้ายในความมือนี้ ภาคต่อยังมีลูกล่อลูกชนและบรรยากาศที่จะมาสะดุ้งประสาทผู้ชมได้ไม่แพ้ภาคแรกเลย 8.3 คะแนน สำหรับคอหนังผี เขย่าขวัญสั่นประสาท


แบบยาวๆ

ความจริงหนังผีเรื่องนี้ก็มีประเด็นพ้องกับหลายๆเรื่อง แต่ก็มีรสชาติเฉพาะตัวและจังหวะกระตุกขวัญที่แม่นยำดีในสไตล์ เจมส์ วาน ก็มีเรื่องน่าพูดอยู่นะ...

[ภาพยนตร์] NOW YOU SEE ME 2 อาชญากลปล้นโลก 2 : เอา มายา กล มาปล้นอีกซักทีดิ๊





แบบสั้นๆ
ภาคต่อหนังฮิต(เซอไพรส์)สไตล์รวมดาว ขนนักแสดงมาเป็นทีม หนังรวมทีมอาชญากลที่ใครชอบสไตล์เป็นทีมเยอะๆ มีการวางแผนซ้อนกลอะไรแบบนี้ ก็ยังถือว่าเป็นหนังบันเทิงที่ดูสนุกนะครับ สมาชิกหญิงที่มาใหม่ในทีมก็มีเคมีเข้ากับทีมและสร้างสีสันได้ดี ใครชอบภาคแรกก็ยังน่าจะดูภาคนี้ได้สนุกนะครับ แม้ประเด็นอาจดูไม่ใหญ่เท่าภาคแรก และอะไรๆก็ดูไม่เยอะเท่าภาคแรก (และถ้าเทียบกับภาคแรกมันอาจจะดูมีลูกกั๊ก ที่ไม่ค่อยจะบอกจะเคลียร์บ้าง กว่าภาคแรก - ถึงภาคแรกก็ใช่ว่าจะเคลียร์ก็เถอะ) แต่ปฏิบัติการทีมอัพ ของอาชญากลชุดนี้ยังดูได้สนุกบันเทิงดี แถมฉากปฏิบัติการยาวๆที่มีก็ดูโม้สนุกอยู่นะ ส่วนตัวก็คิดว่าสนุกพอๆกะภาคแรกน่ะแหละ 7.6 คะแนน


แบบยาวๆ

ไว้เผื่อว่างๆ จะมาเขียนล่ะกัน... 

[ภาพยนตร์] DEMOLITION : ประกอบชีวิต



แบบสั้นๆ
หนังจากผู้กำกับ Jean-Marc Vallée ผู้กำกับหนังอย่าง Dallas Buyers Club (ซึ่งเป็นหนังชิงออสการ์ปีนั้นที่น่าจะชอบที่สุดในบรรดาหนังเข้าชิง) และหนังอย่าง Wild ที่มี รีส วิทเทอร์สปูน แสดงนำ ข่าวว่าเป็นหนึ่งในบทหนังน่าสร้างอะไรทำนองนั้นที่วนเวียนในฮอลลีวู้ดมาซักพัก เมื่อมาอยู่ในมือของผู้กำกับหนังดราม่าระดับรางวัล จึงดูน่าคาดหวังทีเดียว แถมยังมีนักแสดงทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นละอ่อน(กว่า) อย่าง เจค จิลเลนฮาน (ที่หลังๆก็เล่นในหนังมันๆหลายเรื่อง) นาโอมิ วัตส์ หรือ คริส คูเปอร์

หนังน่าสนใจทีเดียว เมื่อมันพูดถึงชีวิตของคนเมือง ที่อาจไม่ได้คิดอะไรนอกจากการมองไปที่ทางชีวิตซึ่งดูจะชัดเจน งาน เงิน บ้าน ครอบครัว พาหนะ สถานะ ฯลฯ และอะไรก็ได้ที่พยายามจะรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ ซึ่งถ้ารักษาได้ ว่าไปชีวิตแบบนี้ก็ดูจะ 'เพอเฟ็คท์' ดีไม่น้อย? แต่ว่าชีวิตนั้นประกอบด้วยอะไรบ้างล่ะถึงจะเรียกว่าชีวิต? สำหรับชายหนุ่มในเรื่องเมื่อมีเหตุการณ์ร้ายแรงเข้ามากระทบชีวิตจังใหญ่ ดูเหมือนมันทำให้เขาต้องกลับไปตั้งคำถามกับเรื่องที่ว่า และดูเหมือนเขาจะมีบางคำถามที่ 'สงสัย' เกี่ยวกับตัวเขา แต่ภายใต้ความมึนงง เขาควรจะเริ่มจากตรงไหน? และตัวเขาที่มาจนถึงจุดนี้ จริงๆแล้วเขาควรจะพอใจ และแน่ใจ ในสิ่งเหล่านี้จริงๆหรือ?...

เรื่องราวของหนังดู 'ใหญ่' และมีเรื่องราวที่น่าสนใจดี โดยเฉพาะเมื่อมันย้อนมาตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องราวการดำเนินชีวิต และการให้ค่ากับสิ่งต่างๆรอบๆตัวในระหว่างชีวิต หนังมีเรื่องราวที่ดึงเราเข้าสู่เนื้อหาของมันได้อย่างชวนช๊อค และเมื่อเรื่องราวเริ่มขึ้น ก็มีความพิสดารบางอย่างที่กระตุกความสนใจ เพิ่มความลึกลับและน่าค้นหา เพื่อไปถึงบทสรุปของเรื่องราว และหนังก็เติมตัวละครของ นาโอมิ วัตส์ เข้ามาเพื่อดึงตัวละครออกจากมุมมองเดิม สถานะและสิ่งแวดล้อมเดิม พร้อมกับลูกของเธอ ที่ก็กำลังเติบโตเปลี่ยนวัยและดูจะกำลังค้นหาเรื่องราวของชีวิต ขณะเดียวกัน ตัวละครของ คริส คูเปอร์ ก็มีตัวตนความคิดและชีวิตที่ถูกหล่อมหลอมมาจากอีกรูปแบบและสถานะหนึ่ง หนังจึงให้มุมมองและคำถามหลากหลายเกี่ยวกับชีวิต และเป็นภาพที่ทำให้หนังน่าสนใจ

ขณะเดียวกันนักแสดงทั้ง เจค จิลเลนฮาน, นาโอมิ วัตส์, คริส คูเปอร์ และ จูดาฮ์ เลวิส (แสดงเป็นลูกของ นาโอมิ วัตส์ ในเรื่อง) รวมถึงนักแสดงในบทสมทบอื่นๆก็แสดงได้ดี มีเสน่ห์ และความเข้มข้นตามบท ทั้งยังมีเคมีระหว่างกัน(ทั้งดีและร้าย)ในฉากในระดับที่น่าพอใจด้วย ซึ่งก็เพิ่มน้ำหนักให้ความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องราวเหล่านี้ได้ดี

 เรื่องราวของหนังมีรายละเอียด ความพลิกผัน ลูกล่อลูกชน การดำเนินเรื่อง และจังหวะของเรื่องราวที่น่าสนใจ มันยังประกอบไปด้วยฉากกระตุกความสนใจและรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่น่าสนใจไปตามรายทาง ซึ่งก็ดูจะทำให้เรื่องราวของหนุ่มรายนี้นำไปถึงบมสรุปที่กระทบใจในท้ายที่สุด

แต่ทว่าก็หนังก็ดูจะไปไม่ถึงจุดนั้น แม้การกำกับของ ฌอง-มาร์ค ฯ จะดูพยายามรักษาความราบเรียบของการเล่าเรื่องเอาไว้ ไม่ให้มันดูจะล้นหรือมากไปในการแสดงอารมณ์หรือปล่อยให้ถูกเมื่อมาถึง และความจริงหนังยังมีจังหวะดีๆหลายฉาก แต่ว่าไปดูเหมือนสิ่งที่ล้นเกินดูจะเป็นรายละเอียดของเรื่องราวที่แม้จะดูพยายามกล่อมเกลาร้อยเรียงด้วยรายละเอียดแล้ว มันก็ยังอดคิดไม่ได้ว่ามันดู 'เว่อ' และ 'จงใจ' ทั้งแม้จะมีเรื่องราวแปลกประหลาดที่น่าจะเป็นส่วนที่น่าติดตามของหนัง (แม้จะเว่อ) มันก็ยังมีหลายส่วนที่ดู 'สูตร' อย่าง 'จงใจ' อย่างไม่น่าเชื่อ (คือถ้าสูตรบ้างแต่ดูเป็นธรรมชาติมันจะไม่ค่อยรู้สึก เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวไปแล้วอย่างเหมาะสมก็ได้) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรื่องราวเลือกเอาชีวิตของชายหนุ่มในวงการเงินที่ประสบความสำเร็จมาเล่า แม้จะพยายามโน้มน้าวผู้ชมให้รู้สึกไปกับเรื่องราวของเขา แต่หลายๆอย่างที่นำเสนอบางทีก็น่าสงสัยเหมือนกันว่า กลุ่มผู้ชม ที่น่าจะอินไปกับเรื่องราวแบบนี้ น่าจะเป็นผู้ชมกลุ่มไหนดี? เพราะหลายๆครั้งมันทำให้รู้สึกว่าหลายๆอย่างมันดูเป็นการ 'ละเล่นของคนมีตังค์' ไปแบบแปลกๆด้วย (ซึ่งอันนี้อาจจะผิดที่ผมเอง ที่ไม่เข้าใจโลกแบบนั้นเท่าไหร่ - ซึ่งก็อาจแปลว่า ผมไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของหนังเรื่องนี้) แถมเมื่อตัวละครดูจะอยู่ระหว่างรื้อชีวิต แต่ยังไม่รู้จะประกอบอะไรขึ้นมายังไงดี ปรัชญามองโลกในแง่ดีของตัวละครก็ยังดู 'จงใจ' จะ 'ไนซ์และน่าประทับใจเกินไป' แบบงงๆอีก ซึ่งก็ทำให้หนังดูจะไปไม่ถึงจุดหมายที่จะเป็นหนังดราม่า ขายความประทับใจ ที่มาพร้อมข้อคิดที่ฝังลึกในใจผู้ชม ไปอย่างน่าเสียดายด้วยจังหวะงงๆ

หรืออาจเป็นเพราะท่าทีของหนังด้วย? ที่ดูๆไปแล้วก็ไม่แน่ใจว่าหนังพยายามจะเป็น ดรามิดี้ ที่เป็นเรื่องราวชีวิตหนักๆที่เจืออารมณ์ขันรึเปล่า? รูปรอบของหนังจึงดูครึ่งๆในหลายช่วง แต่รวมๆถ้าจะคอมเมดี้ มันก็ดูจะมีเรื่องราวที่หนักเกินไป และเราก็ขำกับหลายๆอย่างขนจอไม่ไหว (ขำแบบดาร์คก็ไม่ไหว) ขณะเดียวกันมันก็เลยมี 'พฤติกรรม' แปลกๆเข้ามาซึ่งอาจเป็นระดับที่ เกินไป ของหนังอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนตัวคิดว่าหนังเป็นดราม่าเรื่องราวค่อนข้างหนัก ที่มีองค์ประกอบบางอย่างมาช่วยผ่อนคลายอารมณ์ของหนังมากกว่า

อย่างไรก็ดี หนังก็มีการแสดงจากตัวละครนำที่น่าประทับใจ (คือถึงพวกเขาจะพยายามและเล่นได้ดีแล้ว และมีจังหวะน่าประทับใจในหลายฉาก แต่มันก็กลบความ 'เกินไป' ของหนังไม่ได้) โดยเฉพาะดีใจมากที่เห็น นาโอมิ วัตส์ ในเรื่องนี้ แม้อาจไม่ใช่ผลงานระดับสุดยอดของเธอ แต่เธอก็ให้การแสดงที่ดี (โดยเฉพาะในฉากขำกลางงานเลี้ยงหรู - ซึ่งเป็นจังหวะ และประเด็นที่คิดว่าดีมากของหนัง - เป็นธรรมชาติกว่าประเด็นใหญ่ๆของทั้งเรื่อง ซึ่งก็ทำให้มันดูน่าสนใจตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้) และหนังก็พยายามจะนำเสนอเรื่องของ ชีวิต ที่บางครั้งเมื่อมันดูจะ ไม่ทำงาน แม้จะดู สวย เราอาจต้องการลอง รื้อมันออก เพื่อ ทำความเข้าใจมันดู เผื่อว่าเราจะเข้าใจมันมากขึ้น อย่างไรก็ดีถ้าเพียงแต่รื้อโดยไม่รู้ว่าจะประกอบมันขึ้นใหม่ยังไง... ถ้าประกอบคืนให้ ใช้งานต่อไปได้ ไม่ได้ล่ะก็... ที่เหลือก็เป็นเพียงแต่ซากรอวันผุพังเท่านั้นเอง...

ก็นี่ล่ะครับ จริงๆหนังมีประเด็นที่น่าสนใจ มีเรื่องราวและจังหวะที่ก็น่าสนใจ และมีนักแสดงและการแสดงที่ดี แต่มันก็ดู เกินไป และ จงใจ มากไป อย่างช่วยไม่ได้จริงๆ แต่ใครที่สนใจหนังเรื่องราวทำนองนี้ นี่ก็เป็นหนังน่าสนใจที่มีการแสดงดีๆ ใครที่ชอบนักแสดงคนไหนในเรื่องก็ลองเอาเรื่องนี้ไปดูได้ ที่ให้รสชาติแปลกดี มีเครื่องปรุงเครื่องเคียงบางอย่างที่อร่อยดี แม้ทั้งจานจะไม่อร่อยล้ำลึกในท้ายที่สุดก็ตาม 7.5 คะแนน ให้คะแนนการแสดง และจังหวะดีๆของหนัง รวมถึง นาโอมิ วัตส์ (ลำเอียงบ้างก็คงทำได้แค่ขออภัย)


แบบยาวๆ